ชีวิต คือ ความสดใส มีชีวิตชีวา
- เคยไหมครับที่เราอยู่กับสูตรตายตัว อะไรที่มันแน่นอนตายตัวนานๆ เช่น ธรรมะตายตัวต่างๆ
- เราจะเริ่มเบื่อหน่าย เพราะมันตายตัว เราก็จะเริ่มหม่นหมอง เศร้าซึม และรู้สึกว่าโลกเต็มไปด้วยทุกข์
- นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรอีก นี่ละครับ "น้ำเน่า" มันเน่าเพราะเราเอามันมาหมักดองในใจของเรา หมักหมมจนมันเน่ากลายเป็นกิเลสอาสวะไงครับ
- ชีวิตคือความไม่ตายตัว ความมีชีวิต ไม่ใช่ความตาย เมื่อมันไม่ตายตัว มันก็ไม่น่าเบื่อ มันก็ไม่หมักดอง ไม่เน่า
- ตรงข้ามมันคือความมีชีวิตชีวา มันคือความสดใส สดใหม่ สดชื่น เพราะมันเป็นปัจจุบันเสมอ มันจึงใหม่เสมอ
- มันไม่ใช่อดีต ไม่ใช่ของหมักดอง ไม่ใช่ของตกค้างมาจากอดีตที่ไหน ชีวิตจึงมีความสดใส มีชีวิตชีวา และไม่น่าเบื่อ
- แน่นอน ชีวิตย่อมไม่ใช่ความทุกขเวทนา แต่ชีวิตของเราอาจมีความทุกข์มาเยือน เหมือนมิตรที่มาเยือน
- เพื่อให้เราเรียนรู้หรือเข้าใจความทุกข์เท่านั้นเอง ความทุกข์ไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ใช่ของๆ เรา
- เมื่อเราไม่เอาเขามาหมักหมม หมักดองในใจ เขาก็ไม่ใช่อาสวะกิเลสของเรา เขามาแล้วเขาก็ไป เขาเกิดขึ้นแล้วก็ดับลง
- มีแต่ปัจจุบันที่สดใสเท่านั้น มีแต่ชีวิต ที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น ไม่มีของหมักดอง ไม่มีของอดีต ไม่มีทุกข์อะไรมากอง มาดองไว้ในใจเราได้อีก
- อรหันต์ผีดิบ อรหันหุ่นปั้นและอรหันต์หุ่นกระบอก เกิดขึ้นมากมาย เพราะความตายตัวของธรรมะ
- พวกเขาอยู่กับธรรมะที่ตายตัว เป็นของตาย เป็นสิ่งตายตัว ไม่ใช่ชีวิต พวกเขาจึงไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความสดใส
- เมื่อไม่มีความสดใส พรหมจรรย์ย่อมมีมลทิน ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ย่อมหมองมัวลงไป
- เพราะความตายตัว ของธรรมะหมักดอง ที่หมักหมมอยู่ในใจ ตายตัวอยู่เช่นนั้น
- พวกเขาจึงอยู่อย่างคนที่ไร้ชีวิต เหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิต เหมือนพระพุทธรูป เหมือนหุ่นปูนปั้นให้คนมากราบไหว้ฉะนั้น
- พวกเขาละทิ้งชีวิต สูญเสียพรหมจรรย์คือความใสแห่งใจ และกลายสภาพเป็นผีดิบ
- เต็มไปด้วยการหมักดองธรรมะอันเน่าแล้วเน่าอีก กลายเป็นคนหัวโบราณ ไม่อยู่กับปัจจุบันสมัย และเข้ากับความเป็นจริงไม่ได้ หรือเข้าได้ยาก
- จนต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไป อยู่ในวัด และ "เขตควบคุมพิเศษ"
- พวกเขาก็ได้แปลกแยกตัวเองออกจากโลก ออกจากความจริง และปัจจุบันเสียแล้ว
- เป็นอรหันต์ปูนปั้นที่ไร้ชีวิตชีวา รึจะสู้เป็นดาราที่สดใสได้ละครับ อิอิ
วีรภัทร พงษ์พิสุทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น