- " บุคคลใดก็ตามยึดตถาคต ด้วยรูป หรือด้วยเสียง ย่อมผิดมรรควิธี ฉะนี้เขาจะไม่เห็นตถาคตได้เลย
- แม้นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานจำนวนมากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงส์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อ
- ***เขาแจ่มแจ้งเข้าใจความจริงที่ว่าธรรมนั้นไม่มีตัวตน***
- ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินมา ทรงพระดำเนินไป ประทับนั่งและทรงไสยาสน์ บุคคลนั้นย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าว ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
- ก็เพราะตถาคตหมายความว่า ‘ ไม่มาจากไหนและไม่ไปที่ไหน ‘ ดังนี้แลจึงเรียกว่าตถาคต
- อนึ่ง สุภูติ บุคคลผู้บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พึงรู้ว่า นี่คือลักษณะแท้จริงของธรรมทั้งปวง การเห็นธรรมทั้งปวงจึงเป็นไปอย่างไม่สำคัญมั่นหมายในธรรม"
__________________________________
- เมื่อจิตไม่มีเสียแล้ว พระนิพพานจะบังเกิดกับสิ่งใด
- จิตนั้น.....ไม่มีสภาวะ
- จิตนั้น.....เป็นสิ่งลวงตา แต่มันดูเหมือนของจริง
- จนท่านเข้าใจกันไปเองว่าตัวท่านเป็นเจ้าของจิต
- จิตเหมือนสายรุ้ง ก้อนเมฆ
- การพยายามกำหนดสภาวะของจิต
- ก็เปรียบเหมือนท่านพยายามหาวิธีขึ้นไปเดินบนสายรุ้ง ก้อนเมฆนั่นเอง
- สายรุ้งและก้อนเมฆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎแต่ไม่ใช่ของจริง!!!!
- ท้องฟ้าต่างหากที่เป็นของจริง และท่านคือท้องฟ้า
- เป็นที่น่าสงสารเหลือเกินว่า
- มนุษย์ส่วนหนึ่งมุ่งมั่นที่จะเข้าไปกำหนดสภาวะของจิต
- ให้ไร้ซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลง
- แต่...มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ
- เอาความโลภออกมาดูซิ
- เอาความโกรธออกมาดูสิ
- เวลานี้......ท่านหาไม่เจอหรอก เพราะมันเกิดเป็นครั้งคราว
- และอะไรที่เกิดเป็นครั้งคราวย่อมไม่ใช่ธรรมชาติเดิมแท้ของท่าน
- มันมาแล้วจากไป เหมือนสายรุ้ง ก้อนเมฆ
- จะกังวลทำไมเพราะท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นเสมอ(ความว่าง)
- ไม่มีสภาวะของจิต .....เพราะไม่มีจิตมาแต่เดิมแล้ว
- จิต มโน วิญญาณ คือ สิ่งเดียวกัน
- ฉะนั้นจิต เป็นสังขตธรรม เป็นสิ่งเกิดดับ
- นิพพานคือ อสังขตธรรม ไม่เกิดไม่ดับ
- ฉะนั้น ไม่มีจิตใครไปนิพพาน ไม่มีตัวผู้นิพพาน มีแต่ธรรมชาติของจิตที่รู้ว่า ความไม่ใช่อะไรทั้งหมด
- ความยึดติดไม่ได้อยู่แล้ว
- นี่แหละ นี่แหละ ที่จิตรับรู้อัตโนมัติ ว่าเขาเรียกมันว่านิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น