วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บัตรทอง และความหน้าด้านของคน

ว่าด้วยเรื่องบัตรทอง และความหน้าด้านของคน
ในฐานะที่เป็นหมอ มีรุ่นพี่และรุ่นน้องที่ทำงานเป็นหมอดูแลคนไข้บัตรทอง
ตอนนี้เริ่มสงสารคนไข้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ถูกคนรวย คนหน้าด้าน เอาเปรียบและใช้อ้างเพื่อเอามาหากิน
1. คนไข้หน้าด้าน!!!!
สิทธิ์บัตรทองมีมาได้ 15 ปีแล้ว
ยังไม่เคยเห็นการพัฒนาข้อหนึ่ง
คือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรับบริการของคนจนกับคนรวย (ที่ใช้บัตรทอง)
อธิบายง่ายๆ
คนจนก็อยู่ตามบ้านนอก บัตรทองต้องไปผูกกับโรงพยาบาลบ้านนอกที่ไม่มีความพร้อมเท่ากับในเมือง
ต้องมีใบส่งตัว ต้องลองรักษาไปก่อนกว่าจะถูกปล่อยให้ออกมารักษา ก็เสียเวลาสักพักหนึ่ง
ในขณะที่คนมีเงิน บ้านอยู่ในเมือง
บัตรทองก็ผูกกับโรงพยาบาลในเมืองที่มีความพร้อมกว่า เครื่องมือและหมอเยอะกว่า รักษาฟรีเหมือนกัน
อย่างจุฬา ศิริราช รามา พระมงกุฏ
คนไข้บัตรทองก็คือคนเก่าแก่ในย่านนั้น
หลายคนเป็นเจ้าของกิจการ ร้านทอง มีธุรกิจระดับหลายสิบหลายร้อยล้านต่อปี
เจ็บป่วยทีก็ง่ายที่จะเข้าถึงการรักษาระดับโรงเรียนแพทย์
บางคนขับรถราคาหลักล้านมารักษาฟรี
ขอเลือกหมอที่ดี มีชื่อเสียง
เวลาผ่าตัด ขอจองห้องพิเศษ
ผ่าฟรี จ่ายแค่ค่าส่วนเกินห้องพิเศษ
ห้องพิเศษไม่ว่าง ก็ขอเลื่อนผ่าตัด
แล้วคิวห้องผ่าตัดที่ล็อคไว้ล่ะ
แทนที่จะให้คนไข้มะเร็งคนไข้จำเป็นมาลงคิวแทน บางทีมาเลื่อนกะทันหัน
ต้องไปแทรกคิวใหม่ (อ.หมอ ยั๊วะหลายที เพราะเอาเปรียบคนอื่นและกินที่)
บางคนขอซื้อยาดีๆ แพงๆ รักษาเอง
คุยกับหมอดิบดีว่าเบิกไม่ได้นะ
สุดท้ายหักหลัง เอาใบเสร็จไปฟ้อง สปสช ว่าโรงพยาบาลให้ออกเองหลักแสนหลักล้าน
สปสช บีบให้โรงพยาบาลหาเงินมาคืนคนไข้
ผอ.โรงพยาบาลเรียกหมอคนนั้นมาด่า
ว่าไปจ่ายยาแพงทำไม
สุดท้าย...คนไข้บัตรทองเดินเข้ามา
จะได้แค่ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติไปกินไปฉีดเท่านั้น
พวกยานอกบัญชี ไม่ต้องรู้จัก
ไม่ต้องมาจ่ายเพิ่ม เพราะหมอโดนคนไข้หน้าด้านหักหลังมาเยอะ
เงินเป็นล้านเอาไปรักษาคนอื่นได้ตั้งเยอะ
ตัวเองมีปัญญาสำรอง แต่ก็มาเรียกร้องเบียดเบียนกองทุนคนจน
นี่จึงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้คนไข้บัตรทอง ตายมากกว่าคนไข้ข้าราชการที่รักษาได้โดยไม่ได้ยึดยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ อ้างอิงจากงานวิจัยของ TDRI
(ยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติก็เคยอยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติมาก่อน
แค่รอให้ยาหมดสิทธิบัตร มีบริษัทยาก๊อบปี้ให้ราคาถูก คุ้มค่าก่อนจึงจะเข้ามาในบัญชียาได้ ทำให้คนไข้บัตรทองเข้าถึงยาหลายตัวช้ากว่า 5-15 ปี)
บัตรทองทำให้อัตราการรอดชีวิตคนจนเพิ่มขึ้น เพราะเข้าถึงการรักษาง่ายขึ้น
แต่อัตราการรอดชีวิตในคนฐานะปานกลางน้อยลง เพราะแต่ก่อนที่จ่ายเงินเอง สามารถเลือกแผนการรักษาที่ดีที่สุดได้เลย และไม่ต้องรอคิวนานจนถึงทุกวันนี้
ส่วนคนรวยโอกาสรอดก็มากเท่าเดิม
เพิ่มเติมคือประหยัด
นัดตรวจกับคุณหมอตามคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน
แล้วมารับยาหรือตามมาผ่าตัดโดยใช้สิทธิ์บัตรทองในโรงพยาบาลรัฐ
ยังไงบัตรทองก็ยังสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่ดี
คนไข้ฐานะปานกลางต่างหากที่น่าสงสาร ลองคิดตามดู ว่าคนในครอบครัวหรือคนแถวบ้าน
ที่ป่วยโรคคล้ายๆ กัน
สมัยก่อนไม่ตาย เพราะจ่ายตัง
สมัยนี้ตายง่ายขึ้น ทั้งๆ ที่วิทยาการทันสมัย
ก็เพราะคำว่า 'รอคิว'
หมอก็ไม่ได้บอกว่ารีบแค่ไหน
ถ้าเป็นสมัยก่อนจะไปโรงพยาบาลในเมืองเองกันเลยเพราะจ่ายค่ารักษาเอง
แต่สมัยนี้ต้องรอใบส่งตัวและรอคิวตรวจ
เขาให้รอก็รอ...
คิว เกิดจาก คนไข้เยอะขึ้น
แต่หมอกับเครื่องมือมีเท่าเดิม
อยากลดอัตราการตายในบัตรทอง
ต้องลดที่จำนวนรอคิว!!
สปสช. และ สธ. ต้องลงมาจี้จุดนี้
หางบประมาณมาเพิ่มบุคลากรและเครื่องมือ
จริงๆ คนไข้ก็ไม่หน้าด้านทุกคน
แต่เพราะระบบบัตรทองไม่เคยพัฒนาให้คนไข้ไปรักษาที่ไหนก็ได้
ไม่ต้องรอใบส่งตัว
ไม่ต้องถูกรั้งและส่งต่อหลายทอด
กว่าจะรักษาโรคยากๆ ได้
คนไข้ก็ตายไปแล้ว กับการรอคิวในโรงพยาบาลที่ยังไม่พร้อมดูแลเพื่อรอส่งต่อไปอีกโรงพยาบาล
(หมอก็เฝ้ามองด้วยความสงสาร วันนี้บ่นออกมาหวังว่าจะพัฒนาขึ้น อยากให้ทุกฝ่ายเอาชีวิตของคนไข้เป็นศูนย์กลาง ไม่ควรมีหลักการจ่ายเงินที่ทำให้โรงพยาบาลเล็กๆ ไม่กล้าส่งตัวคนไข้ไปให้โรงพยาบาลใหญ่ฟันกำไรจ่ายค่ารักษาตามจริง)
2. หน่วยงานคุมงบบัตรทองหน้าด้าน!!
จริงๆ คนไทยหลายคนไม่รู้ว่า
งบประมาณบัตรทองปีละแสนกว่าล้านบาท ต้องผ่านหน่วยงานที่กฏหมายตั้งขึ้นมา ชื่อว่า สปสช
สปสช ไม่ใช่ข้าราชการ ดังนั้นจึงไม่ได้รับเงินเดือนแบบข้าราชการ
(หมอข้าราชการในโรงพยาบาลรัฐ เงินเดือนสูงสุด 50,000฿ )
หมอใน สปสช ที่ได้เงินเดือนตำแหน่งสูงสุด
ได้เดือนละ 200,000฿
ค่าตำแหน่ง อีก 50,000฿
และค่าเบี้ยประชุมเหมาจ่ายอีกเดือนละ 12,000฿
(เบี้ยประชุมไม่รวมในเงินเดือน งงกับประเทศนี้ ประชุมกันตี1 ตี2 เหรอถึงต้องใช้เงินกองทุนบัตรทองจ่ายค่าแรงเพิ่มต่างหาก)
หมอตำแหน่งอื่นๆ เดือนละแสนหรือหลายหมื่นบาทต่อเดือนก็มี
เอาเป็นว่านี่คือเงินที่เขาเอามาเป็นค่ายาค่ารักษาคนไข้บัตรทองนะ
บางปีจะมีโบนัสให้อีก
(โบนัสก็คือ เงินเหลือจากการใช้จ่ายในคนบัตรทอง ซึ่งทำไมไม่เอามาพัฒนาการเข้าถึงยาของคนไข้บัตรทองล่ะ
คือ ถ้าบัตรทองจะไปต่อไม่ได้
เอาไอ้อีพวกนี้ออกไป หรือจ่ายค่าแรงแบบเงินเดือนข้าราชการ
ไม่ต้องมีเบี้ยประชุม เพราะรวมในเงินเดือนแล้ว
นี่มันอาชีพพวกคุณนะ
ไม่ควรเอาเปรียบกองทุนบัตรทอง
กองทุนที่มีไว้เพื่อคนจน
เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาที่ดี
คนไข้บัตรทองยังต้องเจอคิวกว่าจะได้รักษา 1-2 ปี
แต่คนบางกลุ่มเอาเงินกองทุนไปเป็นค่าแรงราคาแพง
รู้สึกอายแทน....
อยากให้หาคนดีที่มีเงินมาทำงานนี้ก่อน
ไอ้พวกคนดีไม่มีเงิน เอาไว้ทีหลังยังไม่ต้องเชิญมา
3. NGOs ทั้งกลุ่มคนและสื่อที่หน้าด้าน!!!
คนไทยไม่รู้แน่นอน ว่างบบัตรทอง
ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลที่พวกคุณเข้าไปรักษาทั้งหมด
แต่ส่งไปเป็นส่วยให้ NGOs และสื่อ
ในรูปแบบการจัดอีเว้นท์
"โครงการบลาๆๆๆ เพื่อคนไข้บลาๆๆ"
นึกภาพตาม
กว่าจะจัดอีเว้นท์สักงาน
ต้องใช้คน ใช้สถานที่และใช้สื่อมาโปรโมท
ต้องมีอุปกรณ์ มีรางวัลและมีใบปลิวแผ่นพับ
แน่นอนอีเว้นท์เหล่านี้ก็มีด้านดี
คือ ส่งเสริมสุขภาพ ให้ข้อมูลประชาชน
ว่าแต่...แล้วจะมีโรงพยาบาลตำบล
มีอนามัย มี อสม. ไว้ทำไม
งบประมาณที่มาลงตรงนี้
ควรเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข
ไม่ควรเอาเงินค่ายาค่ารักษาคนไข้บัตรทอง ไปเป็นค่าป้องกัน
ควรแยกกันไปเลยให้ชัดๆ
เมื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อน
เวลาเปลี่ยนนายก
เมื่อไรรัฐบาลไหนจะเขามาตรวจสอบหรือวุ่นวาย
แม้แต่นายกปูยังโดน
คนกลุ่มนี้จะออกข่าวลือว่าจะมีการล้มบัตรทอง
มีคนปกป้องที่เป็น NGOs
มีสื่อที่รับงานข่าวค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์มาช่วยโหมกระแส
สุดท้ายก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
นี่มันเงินงบประมาณค่ายาค่ารักษาคนไข้บัตรทองนะ
มันควรไปที่โรงพยาบาล
ที่ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลไม่ควรหน้าด้าน
ส่งคืนมาได้แล้ว...
ล่าสุด พอมีคนบอกว่า งบบัตรทองกันเงินไว้ให้ผู้เสียหายทางการแพทย์ปีละ 1%
หรือคิดเป็นเงิน ปีละ 1,000 กว่าล้านบาท
กลุ่ม NGOs สร้างอีเว้นท์ใหม่มาช่วยเบิกเงินก้อนนี้ทันที
จนหมอหลายคนร้อง เห้!!!!
เงินที่จะเอามาเป็นค่ายาค่ารักษาคนไข้บัตรทองยังไม่พอเลยนะ
ป.ล. ไม่ต้องไปอวยว่าหมอที่คุมเงินบัตรทองเป็นหมอเสื้อแดงนะ ถึงแม้จะเป็นหมอคนกลุ่มเดิม ตั้งแต่สมัยนายกทักษิณ
แต่พอนายกอภิสิทธิ์ขึ้นก็อ้างทันที
ว่านายกทักษิณก็อบปี้แนวคิดพวกเขา
ทำให้ไม่ว่าจะเปลี่ยนนายกสายไหน
สีไหนๆ รวมถึงสีเขียวในปัจจุบัน
ก็ยังเป็นหมอกลุ่มเดิม ที่ดูแลงบบัตรทอง
โดยส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น...
และถูกขนานนามว่า กลุ่มมาเฟียวงการสาธารณสุข
4. กระทรวงสาธารณสุขที่เคยหน้าด้าน!!!
อันนี้คือเรื่องจริง...
ระบบข้าราชการในอดีต มีหลายขั้นตอน
มีการหักหัวคิวตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
กว่าจะผ่าน กว่าจะอนุมัติก็ยืดยาดล่าช้า
และงบประมาณที่ลงไปถึงก็เหลือน้อยลง
ทำให้คุณภาพงานห่วยแตก ไม่สมกับตัวเลขงบประมาณ
นายกทักษิณเป็นนักธุรกิจ เคยเป็นข้าราชการด้วย ย่อมรู้ว่าคนพรรค์นี้มีทุกกระทรวง แม้กระทั่งกระทรวงหมอ
จึงตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาดูแลงบบัตรทอง
ไม่ใช่ระบบข้าราชการ เรียกสั้นว่า
สปสช. ทำให้เงินงบประมาณแผ่นดินปีละแสนกว่าล้านบาทของบัตรทอง
พุ่งตรงไปที่ สปสช เลย
ไม่ได้ผ่านกระทรวงสาธารณสุข
(กรุณาด่าให้ถูกคน)
แต่ถึงกระนั้น..
นายกทักษิณคงลืมคิดไปนะครัช
ว่าคนที่บริหาร สปสช ก็เคยบริหารในระบบข้าราชการมาก่อน
กลับไปอ่านข้อ 2.
สุดท้าย...เรื่องความหน้าด้านนี้
มันขึ้นอยู่กับบางบุคคลและบางกลุ่มคนเท่านั้น
ว่ามีจิตสำนึกรู้จักบาปบุญแค่ไหน
งบบัตรทอง ควรเป็นของคนไข้บัตรทอง
คนไข้บัตรทองอยู่โรงพยาบาลและสถานีอนามัย งบประมาณก็ควรลงไปตรงนั้น
เงินน่ะพอ ขอแค่คนดีมีเงินมาทำงานนี้ก่อน
อย่าเข้ามาตักตวงเงินเดือนแพงๆ เลย
นะครับคนดีไม่มีเงิน
ป.ล. 1 คนแชร์ เท่ากับ 1 คนเข้าใจว่าหมอดีๆ ที่รักษาคนไข้ในโรงพยาบาลรัฐเจอแต่คนหน้าด้านมาเอาเปรียบอย่างไร
หมอทุกคนสงสารคนไข้บัตรทอง
แต่พูดอะไรมากไม่ได้
คนไข้ต้องทวงคืนเงินทุกบาททุกสตางค์มาจากคนหน้าด้านเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น