วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตอนที่ 5: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)

ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward

ตอนที่ 5: พระเจ้า (GOD)

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

S: แล้วพระเจ้ากับพระผู้สร้างมีความแตกต่างกันอย่างอื่นอีกไหม
นอกเหนือจากความแตกต่างกันด้านขอบเขตของพลังอำนาจแล้ว?


Matthew: 

  • มีครับ มีอีกสองเรื่องที่แตกต่างกัน แต่ขอให้ผมทวนซ้ำอีกทีก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระผู้สร้างก็ล้วนประกอบไปด้วยทุกๆองค์ประกอบของพระผู้สร้างครบถ้วนเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นแล้ว พระเจ้าก็คือภาคหนึ่งของพระผู้สร้าง ที่ถอดแบบออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีส่วนใดขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย และก็ทำหน้าที่เป็น “พระผู้สร้าง” สำหรับจักรวาลนี้อย่างแท้จริง 
  • พระเจ้าเป็นจิตของพระผู้สร้างด้านความรู้และภูมิปัญญา, เป็นหัวใจของพระผู้สร้างด้านความรัก, เป็นพลังอำนาจของพระผู้สร้างด้านอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
  • ตอนนี้ ก็มาที่ความแตกต่างอย่างแรกกัน นั่นก็คือ แกนกลางของพระผู้สร้างคือศูนย์กลางของลำดับชั้นทางจิตวิญญาณ และศูนย์กลางของทุกชีวิตในเอกภพ แต่ลำพังบทบาทหน้าที่หลักที่สำคัญดังกล่าวนั้น ก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ 
  • ก็เหมือนกับที่ “เพลา” ของล้อรถ หรือกงล้ออะไรสักอย่างนั่นแหละ ที่ทำหน้าที่คอยยึดล้อรถหรือกงล้อเอาไว้ด้วยกัน และเพราะว่า มีแรงพลังที่มั่นคงของพระผู้สร้างคอยยึดเอาไว้อยู่นั่นเอง จึงทำให้การเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆดำเนินไปได้อย่างคงที่อยู่ แต่ถ้าหากว่าความมั่นคงนั้นสิ้นสุดลง ชีวิตทั้งหมดก็คงจะจบลงด้วย 
  • เพราะฉะนั้น การจะสรรสร้างชีวิตในรูปแบบใดๆขึ้นมาก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะต้องอาศัยคลื่นความถี่ต่างๆ ของพลังงานนี้ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย และจำเป็นจะต้องอาศัยคุณสมบัติของพระผู้สร้าง ทั้งความมั่นคงและคุณสมบัติอื่นๆที่ตื่นตัวแล้ว (Active aspects) เข้ามาร่วมด้วยเสมอ
  • ส่วนพระเจ้า คือผู้ที่มีคุณสมบัติทุกอย่างที่ตื่นตัวแล้ว (Active) เพราะว่าพระเจ้า คือส่วนขยายของแรงพลังที่ตื่นตัวแล้วของของพระผู้สร้าง สำหรับจักรวาลนี้ ซึ่งมีแก่นแท้ของพลังงานความรักและแสงสว่างเทียบเท่ากับพระผู้สร้างทุกประการ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
  • พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสรรพชีวิต ในทุกระดับชั้น ในจักรวาลนี้ และก็เหมือนกันกับที่ในระดับเอกภพ พลังงานที่มีพลังอำนาจมากที่สุด ก็คือพลังงานแสงสว่าง ซึ่งก็คือพลังงานแก่นแท้ของพระผู้สร้าง ส่วนในระดับจักรวาลนี้ พลังงานที่มีพลังงานอำนาจมากที่สุด ก็คือพลังงานแสงสว่าง ซึ่งก็คือพลังงานแก่นแท้ของพระเจ้า
  • "พลังงานแสงสว่าง" เป็นพลังงานที่มีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา, มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ขยายตัว และหดตัวอยู่ตลอดเวลา และมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาด้วย เพื่อที่จะให้ตัวมันเองสามารถบรรจุความรักและความรู้สึกเอาไว้ให้ได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ 
  • พลังงานแสงสว่างสามารถส่งไปในทิศทางไหนก็ได้ แต่ไม่อาจจะเก็บกักหรือทำลายได้ ส่วนพลังงานความรักคือพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด 
  • ดังนั้นพลังงานแสงสว่าง และพลังงานความรัก จึงเป็นพลังงานประเภทดียวกัน 
  • เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันเท่านั้น และพลังงานทั้งคู่นี้ ก็เป็นพลังงานรากฐานของจิตวิญญาณทุกๆดวง ที่มีปฏิสัมพันธ์อยู่กับพระเจ้า
  • เพราะว่าทุกสรรพชีวิตในจักรวาลแห่งนี้ ถือกำเนิดมาจากพระเจ้า ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามนุษย์ถูกสร้างมาจากภาพลักษณ์ของพระเจ้าเอง โดยการนำเอาคุณสมบัติต่างๆของพระเจ้าเอง มาสร้างเป็นมนุษย์ขึ้นมา ลักษณะของมนุษย์และวัสดุที่นำมาสร้างเป็นกายเนื้อของมนุษย์ถูกสร้างมาจากความคิดภายในจิตของพระเจ้า
  • เมื่อให้กำเนิดสรรพชีวิตขึ้นในจักรวาลแล้ว พระเจ้าก็ได้สร้างกฏต่างๆที่สามารถขับเคลื่อนไปเองได้อย่างต่อเนื่องขึ้นมา 
  • เพื่อใช้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องการโคจรของกาแล็กซี่ ไปจนถึงเรื่องการรู้ของเมล็ดพืชสักเมล็ดหนึ่ง ว่ามันจะต้องเริ่มต้นงอกออกมาจากเปลือกของมันเพื่อเจริญเติบโตขึ้นได้เมื่อไร
  • หลังจากนั้น มันก็ดำเนินไปเช่นนี้อีกนานแสนนาน จะมีก็แต่วิธีการใช้เทคโนโลยี
  • เพื่อกำหนดทิศทางให้กับพลังงานอย่างละเอียดเท่านั้น ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ 
  • และรูปแบบการเคลื่อนที่ดั้งเดิมของพลังงานได้ แต่ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวพลังงานเองได้ 
  • เพราะว่าพลังงานก็เป็น “สิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา” อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน 
  • สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ก็คือการรู้วิธีที่จะดักจับพลังงาน และนำเอามันไปใช้
  • ในช่วงแรกเริ่ม ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้เคยปราศจากข้อบกพร่องมาก่อน, เคยบริสุทธิ์ผุดผ่อง, เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และความรักมาก่อน 
  • ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ด้วยความสามัคคีกลมเกลียวกัน และชีวิตก็เคยดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็นเช่นนั้นมาก่อน
  • แต่หลังจากที่พระผู้สร้างได้มีพระประสงค์ที่จะมอบของขวัญแห่ง “การมีอิสระแห่งความปรารถนา” (Free will) ให้กับทุกๆจิตวิญญาณทั่วทั้งเอกภพแล้ว และเพราะด้วยกฎแห่งเอกภพ ผู้ปกครองของจักรวาลทุกๆจักรวาล จึงต้องปฏิบัติตามพระบัญชาและเคารพในอิสระแห่งความปรารถนาของทุกๆจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองด้วย 
  • แต่มันก็เป็นไปได้ว่า ของขวัญชิ้นนี้ จากจำนวนของขวัญทั้งหมด 
  • ได้ถูกใช้ไปในทางที่ผิด เพราะฉะนั้น ความมีอิสระอย่างเต็มที่แห่งการเลือกนี้ 
  • จึงไม่ได้เป็นของขวัญชิ้นโบว์แดงอย่างที่มันเคยเป็นอีกต่อไป

  • ตามที่พวกเรารู้มา ในบางจักรวาล หรือแม้แต่บางส่วนของจักรวาลนี้ ก็ไม่มีใครรู้จัก “อิสระแห่งความปรารถนา” เลย 
  • จิตวิญญาณทั้งหลายได้พากันนำของขวัญชิ้นนี้ ไปใช้ในแบบที่ไม่ใช่การตัดสินใจเลือกแบบส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นการเลือกแบบร่วมกันของจิตวิญญาณจำนวนมากแทน 

  • แต่อย่างไรก็ตาม ตามกฎของพระผู้สร้างแล้ว บนโลกมนุษย์ อิสระแห่งความปรารถนา คือคำบัญชา ซึ่งแม้แต่พระเจ้าเอง ก็ได้เพียงเป็นผู้คอยสังเกตการณ์เท่านั้น 
  • ไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดขวาง หรือปฏิเสธทางเลือกใดๆของจิตวิญญาณดวงใดๆได้
  • ความแตกต่างที่สำคัญอย่างที่สองระหว่างพระผู้สร้างกับพระเจ้าก็คือ พระผู้สร้างจะตระหนักรู้ถึงชีวิตของทุกๆชีวิตทั่วทั้งเอกภพนี้ 
  • แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีปฏิสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของจิตวิญญาณดวงใดๆเลยแต่พระเจ้าไม่เพียงแต่จะตระหนักรู้ถึงชีวิต ทุกๆชีวิตในจักรวาลนี้เท่านั้น 
  • แต่ยังจะรู้ไปถึงเรื่องราวส่วนตัวทุกๆเรื่อง เช่น ความเสียใจ, ความฝันที่เป็นความลับ, ความทุกข์ทรมาน, ความสุข, ความกลัว และทุกๆเรื่องของแต่ละจิตวิญญาณอีกด้วย
  • พระผู้สร้างจะดำรงสถานภาพแห่งความสูงส่งของตนเองอยู่อย่างเงียบๆ วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์ต่างๆผ่านทางการสร้างสรรค์ และพระเจ้า ซึ่งเป็นภาคที่สมบูรณ์แบบของพระผู้สร้าง ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันนี้ด้วย 
  • แต่พระองค์จะรู้สึกผ่านทุกๆชีวิตที่พระองค์ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบที่มีรูปหรือไม่มีรูปก็ตาม 
  • พระเจ้าจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่รูปธรรมชีวิตทั้งหลายทั่วทั้งจักรวาลกำลังรู้สึกอยู่จริงๆ ไม่ว่ารูปธรรมชีวิตนั้นๆจะอยู่ในโลกทางกายภาพ หรืออยู่ในโลกของจิตวิญญาณก็ตาม 
  • และไม่มีเลยแม้ชั่วขณะเดียว ที่พระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกร่วมกับรูปธรรมชีวิตใดรูปธรรมชีวิตหนึ่ง 
  • ไม่ว่ารูปธรรมนั้นๆ จะมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณอยู่ในระดับใดก็ตาม หรือไม่ว่าจะเลือกทางเลือกใดอยู่ก็ตาม 
  • ซึ่งรูปธรรมชีวิตที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ รวมไปถึงที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรพืชทุกๆชีวิตด้วย
  • พระเจ้าสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของดาวเคราะห์โลก ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและเต็มไปด้วยพลังด้านลบเช่นนี้ได้ 
  • และสามารถรู้สึกได้ ในระดับที่รุนแรงกว่าหลายเท่าตัวด้วย และนอกจากดาวเคราะห์โลกแล้ว พระเจ้าก็ยังสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของเทหะวัตถุอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน 
  • ผมไม่อยากพูดซ้ำบ่อยๆว่าพระเจ้าและทุกๆสรรพชีวิตที่อยู่ภายในจักรวาลแห่งนี้ คือสิ่งที่มิอาจแยกขาดจากกันได้โดยสิ้นเชิง และความสัมพันธ์ในทำนองเดียวกันนี้ ก็เป็นความจริงระหว่างรูปธรรมชีวิตด้วยกันเองที่อยู่ภายในจักรวาลนี้ทั้งหมดด้วย 
  • เพราะฉะนั้น คำว่า “ความเป็นพระเจ้าของตัวเอง” ที่บางครั้งชาวโลกใช้กัน จึงเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างที่สุด เพราะว่าพระเจ้าคือทุกๆคนจริงๆ และพระเจ้าก็ยังคือทุกๆ ชีวิต ที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรพืชอีกด้วย 
  • แม้ว่าการรับรู้ถึงความรู้สึกของทุกๆชีวิตที่อยู่บนโลกพร้อมกันหมด มันจะง่ายกว่าการรับรู้ถึงความรู้สึกของทุกๆชีวิตทั่วทั้งจักรวาลพร้อมกันหมดก็ตาม 
  • แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครทำได้แบบนั้น ต่อให้เป็นรูปธรรมชีวิต ที่มีระดับวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงที่สุดในจักรวาลก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น