วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 2 ภูมิธรรม สำหรับ พระมหาโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญทวนบารมี กลับขึ้นมา จนได้กายยูไล แล้ว

ในภาพอาจจะมี 3 คน, รองเท้า

# ภูมิธรรม สำหรับ พระมหาโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญทวนบารมี กลับขึ้นมา จนได้กายยูไล แล้ว ตอนที่ 2 จ้า
หมายเหตุ : กายยูไล บางคน ต้องทำของทิพย์คู่บารมี ดอกบัวทิพย์ , ดวงแก้วมณี , เจดีย์บุนเซียง ทั้ง 3 อย่าง พร้อมกันเลยจ้า >___<
พระยูไล แต่ละองค์มีความแตกต่างกันตามการบำเพ็ญบารมี พระยูไล จะทรงปรากฏพร้อมของทิพย์คู่บารมีเพื่อให้เราทราบถึงบารมีที่ ท่านได้สร้างมาเมื่อครั้งยังอยู่ บนโลกมนุษย์ เช่น พระยูไลถือดอกบัวทิพย์ คือ พระยูไลที่สอนธรรม เกิดสำนักปฏิบัติธรรม เป็นต้น พระยูไลที่ถือดวงแก้ว คือ พระยูไลที่บำเพ็ญบารมีปกป้องอาณาเขต หรือประเทศ เป็นต้น
1. พระยูไล ถือ ดอกบัวทิพย์
ดอกบัวทิพย์ คือ ดอกบัวดอกเล็กๆ อยู่บนฝ่ามือองค์ยูไล ซึ่งมีพลังมาก สามารถกำหนดแบ่งออกมาให้แก่ศิษย์ได้ เมื่อศิษย์ได้รับพลังส่วนเล็กๆ รูปดอกบัว หมุนอยู่ในจักระต่างๆ ในกายสังขารของตน จะช่วยให้ลมปราณหมุนเวียนได้ดี และทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดการพัฒนาไปถึงที่สุด เมื่อดอกบัวหมุนทำให้จักระคลายออก และเปิดทะลวงเชื่อมต่อกัน จากจักระที่หนึ่งคือ ก้นกบ ทะลวงสู่จักระที่สองคือ ท้องน้อย ( ใต้สะดือแต่เหนือหัวเหน่า ) ต่อด้วยจักระที่สามคือท้องใหญ่ ( ใต้ลิ้นปี่แต่เหนือสะดือ ) ต่อด้วยจักระที่สี่คือหน้าอกหรือหัวใจ ต่อด้วยจักรที่ห้าคือ คอหอย ( บริเวณกล่องเสียง ) ต่อด้วยจักระที่หก คือ ตำแหน่งตาที่สามลึกลงไป เวลาทะลวงจะทะลวงออกด้านหน้าเพื่อเปิดตาทิพย์ หรือทะลวงขึ้นไปด้านบนทะลุกระหม่อมก็ได้ ถ้าทะลุกระหม่อม นับเป็นจักระที่เจ็ดเชื่อมต่อกับพลังจักรวาล หรือสรรพสิ่งทั้งมวล เมื่อทะลวงจักระที่เจ็ดได้ จะสำเร็จอย่างน้อย “ชญาณ” ( คือ การหยั่งรู้ในแบบศาสนาเชน ) คือ ความหยั่งรู้ได้ด้วยวิญญาณแต่การหยั่งรู้นี้ยังไม่บริสุทธิ์ เช่น ในคนทรงที่รู้ได้ด้วยการทรง ซึ่งไม่ใช่จิตรู้ แต่เป็นรู้ด้วยการสื่อวิญญาณ เมื่อฝึกต่อไป จิตจะพัฒนาตามวิญญาณขันธ์ที่เข้ามาครอบนั้นๆ จนจิตรู้พัฒนาถึงที่สุดก็สำเร็จ “ ญาณ ” คือจิตหยั่งรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาวิญญาณขันธ์ของเทพหรือพรหมองค์ใด มาเข้าทรงอีก

การบำเพ็ญดอกบัวทิพย์

๑) การฝึกหมุนจักระเข้าถึงธรรม
ขั้นนี้ ผู้ปฏิบัติยังไม่สำเร็จธรรม จำต้องฝึกหมุนจักระให้สำเร็จขั้นสูงสุด ซึ่งก็คือการฝึกธรรมจักร หรือสมาธิหมุน หรือเรียกว่าฝึกหมุนจักระก็ได้ ในการฝึกหมุนจักระนั้น จะค่อยๆ ฝึกไปช้าๆ ให้กายสังขารปรับสภาพตามได้ ไม่มีเกิดปัญหา แต่ในบางท่านที่ฝึกธรรมจักร จะใช้พลังปราณมาก และสำเร็จรวดเร็วแบบลัดสั้น แบบนี้ ใช้ได้กับท่านที่มีบารมีเก่าอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้น จะเกิดการทรงเจ้าเข้าผีมาก กล่าวคือ จิตไม่มีบารมี แต่จักระเปิดรับพลังจากจักรวาลหรือจิตวิญญาณได้แล้ว ทำให้ไม่ทันได้ปรับตัว ต้องอยู่ในสภาพคนทรง ซึ่งบางท่านจะปรับตัวไม่ค่อยได้ ชีวิตปั่นป่วน เพราะจิตวิญญาณที่ประสานเข้ามาทางจักระที่เปิดนั้น ทำให้รบกวนวิถีชีวิต แต่เมื่อฝึกจนถึงที่สุดก็จะสำเร็จขั้นสูงสุดได้คือ ยูไล นั่นเอง

๒) การเปิดสอนธรรมในแบบต่างๆ
ขั้นนี้ ผู้สำเร็จยูไลแล้ว จะทำหน้าที่สอนมวลสัตว์ บางท่าน มีทรัพย์สมบัติเก่าอยู่ ก็เอามาสร้างสถานธรรมไว้โปรดสัตว์ก็มี บางท่านไม่มีทรัพย์มากใช้การธุดงค์ไปเรื่อยๆ เพื่อโปรดสัตว์ตามที่ต่างๆ แล้วแต่บุญวาสนาก็มี แบบแรกช่วยคนได้มาก แต่มีภาระมาก และอาจไม่ได้สอนคนที่ตรงทาง คนบางกลุ่มที่ไม่ตรงกลุ่มก็เข้ามาฝึกแต่ไม่ได้ผลก็มีมากแต่แบบหลัง จะดำเนินไปตามกรรม มักไม่ค่อยพลาด คือ ได้คนที่สมควรได้รับธรรมและพร้อมจะบรรลุจริงๆ และมีกรรมพัวพันกับคนน้อย ยุ่งเกี่ยวกับคนน้อย และมีภาระดูแลน้อยอีกด้วย

๓) การถ่ายทอดวิธีฝึกจิตแก่ศิษย์
ขั้นนี้ คือ หลังจากได้หาวิธีโปรดสัตว์ได้แล้ว ก็ถ่ายทอดวิธีปฏิบัติธรรมจนศิษย์บรรลุธรรมนั่นเอง ในขั้นนี้ก็มีปัญหาและอุปสรรคมากมาย ตามมาเรื่อยๆ บางสถานธรรมก็ได้รับการก่อกวนจากภาคมารและอสูรมาก ทั้งที่มาในรูปมนุษย์ที่มีสังขารและอมนุษย์ที่ไม่มีสังขาร เช่น แทรกเข้ากายสังขารของผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อขัดขวางการเข้าถึงธรรม เป็นต้น
–จบ-
2. เรื่อง พระยูไลถือดวงแก้วมณี
ดวงแก้วมณี คือ ดวงแก้วที่ย่อและขยายขนาดได้ กำหนดด้วยใจ ( มโนมยิทธิ ) ให้เล็กอยู่ในฝ่ามือ หรืออธิษฐานให้ใหญ่มากขึ้นก็ได้แต่ถ้าใหญ่เกินไปพลังจะจางลง ดวงแก้วมณีสามารถฝึกให้มีหลายชั้นก็ได้ ซ้อนกันหลายๆ ดวง หรือฝึกให้หนามากๆ แต่มีดวงเดียวก็ได้ นอกจากนี้ดวงแก้วแต่ละชั้นสามารถมีค่ายกลและเทพคุ้มกันประจำอยู่แต่ละชั้นก็ได้ แต่ทั้งหมดไว้ทำหน้าที่ “ปกป้องอาณาบริเวณ” ไม่ให้สิ่งไม่ดีไม่งามเข้าทำร้าย, รบกวนบริเวณนั้นๆ ได้ เช่น การสวดมนต์พร้อมถือดวงแก้วไว้ในมือ ส่งกำลังจิตไปคุ้มครองประเทศ หรือการทำสมาธิกำหนดดวงแก้วคลุมประเทศไว้เนืองๆ ในประเทศญี่ปุ่น ก่อนมีพระพุทธศาสนา มีศาสนาชินโตอยู่ก่อนแล้ว ศาสนานี้ จะนิยมสร้างศาลเจ้า บูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ และมีผู้ดูแลศาลเจ้า และ “มิโกะ” ที่ทำหน้าที่สื่อกับจิตวิญญาณ สื่อกับเทพเจ้าต่างๆ อยู่ นอกจากนี้ มิโกะ ยังต้องทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองบริเวณศาลเจ้า ไม่ให้ถูกจิตวิญญาณเหล่าอื่นรบกวนด้วย เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้านั้นๆ ซึ่งก็คือการใช้พลังดวงแก้วมณีปกป้องคุ้มครองอาณาเขตนั่นเอง อนึ่ง การใช้ดวงแก้วมณีปกป้องอาณาเขตนี้ มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ทำให้จิตวิญญาณชนิดหนึ่งเกิดขึ้นมากภายในเขตอาคมนั้น คือ “เทพไก่” ซึ่งอยู่ได้ในเมืองลับแล หรือเมืองที่ได้รับการปกป้องด้วยเขตอาคม ซึ่งส่งผลให้เทพไก่เข้าแทรกอยู่กับกายมนุษย์ได้ มนุษย์จะทำตัวเป็นไก่ ผู้ชายเป็นไก่อ่อนคือ ไม่เท่าทันผู้หญิง หลงและยอมผู้หญิงอย่างโง่ๆ ผู้หญิงจะกลายเป็นไก่คือ ยอมมีกามได้ง่าย ส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันมี Free sex มาก สำหรับประเทศไทย ก็มีผู้ใช้พลังคุ้มกันด้วยดวงแก้วมณีเหมือนกัน ส่งผลให้หลังๆ ประเทศไทยก็มี Free sex เพิ่มขึ้นด้วย
การบำเพ็ญดวงแก้วมณี
๑) การเพ่งดวงแก้ว
คือ การฝึกเพ่งดวงแก้วแบบวิธีเจริญกสิณหรือการใช้พลังจิตส่งเข้าสู่ดวงแก้วจริงๆ ก่อนที่จะใช้ “มโนมยิทธิ” หรือการกำหนดด้วยใจ ให้พลังดวงแก้วนั้น ไปปกป้องคุ้มครองที่ใด บางท่าน จะใช้การสวดมนต์ส่งกำลังต่อเนื่องเข้าสู่ดวงแก้ว โดยถือดวงแก้วไว้ในมือก็ได้

๒) การกำหนดเขตอาคม
คือ การอธิษฐานจิตก็ได้ หรือการเพ่งนิมิตก็ได้ ให้ดวงแก้วใหญ่ขึ้นครอบคลุมทั้งประเทศ หรือย่อให้เล็กลงตามกำลังจิตที่สามารถมีได้ ถ้าขยายวงให้ใหญ่เกินไปเขตอาคมจะอ่อนกำลัง ถ้าเล็กเกินไป ก็ไม่ครอบคลุมทั่วถึง จึงต้องกำหนดให้พอดีแต่กำลังของผู้กระทำ

๓) การเคลียร์ภายในเขตอาคม
เช่น การดึงคนในบริเวณเขตอาคมมาทำบุญ เพื่อชำระวิบากกรรมให้ลดลง หรือเร่งให้คนในเขตอาคมปฏิบัติธรรมจนหลุดพ้นไป หรือทำให้วิบากกรรมของคนในเขตอาคมหมดลงก่อน จึงค่อยเปิดเขตอาคม หยุดการส่งกำลังจิตเข้าสู่ดวงแก้วมณีที่คุ้มครองประเทศอยู่

การจะได้ถึงยูไลถือเจดีย์ดวงแก้วมณีได้นั้น ต้องบำเพ็ญธรรมถึงยูไลให้ได้ ทั้งยังต้องฝึกฤทธิ์สายปกป้องคุ้มกัน ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อสด ก็สำเร็จเป็นพระยูไล ได้บารมีถือดวงแก้ว เพราะเคยปกป้องคุ้มครองประเทศไทยช่วงที่มีวิกฤติสงครามด้วย (หลวงพ่อโต ได้ยูไลถือเจดีย์บุ่นเซียง, หลวงปู่มั่น ได้ยูไลถือดอกบัว เพราะเผยแพร่ธรรม สอนกรรมฐาน)
3. เรื่อง พระยูไลถือเจดีย์บุ่นเซียง
เจดีย์บุ่นเซียง คือ เจดีย์ที่ย่อและขยายขนาดได้ กำหนดด้วยใจ ( มโนมยิทธิ ) ให้เล็กอยู่ในฝ่ามือ หรืออธิษฐานให้ใหญ่เทียบเท่าเจดีย์ของจริงก็ได้ เจดีย์บุ่นเซียง มีหลายชั้น แต่ละชั้นมีค่ายกลและวิธีการจัดการต่างกัน แต่ทั้งหมดไว้ทำหน้าที่ “กักขังสัตว์ร้าย” ให้อยู่ในเจดีย์นั้น พร้อมรับการโปรดสอนธรรมจากพระยูไล จนกว่าจะหลุดพ้นและหายดุร้ายได้ เจดีย์บุ่นเซียง เป็นของคู่บารมีของท้าวจตุโลกบาลองค์หนึ่งด้วย แต่อานุภาพจะน้อยกว่าเจดีย์บุ่นเซียงของพระยูไล คือ ของพระยูไลสามารถกักขังสัตว์ที่ดุร้ายได้มากกว่านั่นเอง

บำเพ็ญบารมีอย่างไรจึงได้ถือเจดีย์บุ่นเซียง

๑) การกักตนฝึกวิชชา
การใช้เจดีย์บุ่นเซียงกักขังสัตว์ร้าย จะส่งผลให้พระยูไลได้รับกรรมตามที่ตนกระทำด้วย กล่าวคือ ท่านกักขังสัตว์ร้ายในเจดีย์บุ่นเซียง ท่านก็ต้องรับวิบากกรรมด้วยการกักตนฝึกวิชชาหรือเข้าสมาธิ หรือท่านได้ฝึกเก็บตน กักบริเวณตนเอง เป็นระยะเวลายาวนาน มีขันติบารมีมาก คือ ความอดทนอดกลั้นมาก ก็จะสามารถโปรดสัตว์ที่ดุร้ายได้มาก ยิ่งฝึกมากก็ยิ่งมีอานุภาพมาก ยิ่งอดทนยอมกักตนอยู่นานมาก เจดีย์บุ่นเซียงก็ยิ่งมีกำลังมาก

๒) การโปรดสัตว์ดุร้าย
เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการใช้เจดีย์บุ่นเซียงกักสัตว์ร้าย เพราะหากกักขังสัตว์ร้ายไว้นานเกินไป กรรมก็ตกแก่พระยูไลองค์นั้นมากเกินไปด้วย การปล่อยสัตว์ร้ายออก มาได้นั้น จะต้องโปรดสัตว์ร้ายให้หลุดพ้นให้ได้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ ก็ยังปล่อยออกมาไม่ได้ ถ้าโปรดจนหลุดพ้นจากความเป็นสัตว์ดุร้ายแล้วค่อยปล่อยออกมา จึงไม่เป็นภัยแก่สัตว์อื่นทั้งหลาย เช่น การที่หลวงพ่อโต โปรดนางนาค นี่ก็ให้ผลได้บารมีเป็นเจดีย์บุ่นเซียง

๓) การยอมให้สัตว์ร้ายเข้าสู่กายตน
เมื่อมีกายสังขารเป็นมนุษย์อยู่ จำต้องกักจิตวิญญาณสัตว์ร้ายไว้ในกายสังขารของตน การกักสัตว์ร้ายไว้ที่อื่น เช่น ผูกมัดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่าช้าก็ดี, เสาไม้ที่ทำขึ้นในที่ลับก็ดี ฯลฯ ล้วน มีกรรมมาก สัตว์ได้รับความทรมาน และจะไม่ได้บารมีเป็นเจดีย์บุ่นเซียง การยอมให้สัตว์ร้ายเข้ากายสังขารของตน จะทำให้ได้บารมีเป็นเจดีย์บุ่นเซียง และสัตว์ร้ายจะอยู่ในเจดีย์บุ่นเซียง ซึ่งอยู่ในกายทิพย์ และกายทิพย์ก็อยู่ในกายสังขารของเราอีกที

การจะได้ถึงยูไลถือเจดีย์บุ่นเซียงได้นั้น ต้องบำเพ็ญธรรมถึงยูไลให้ได้ ทั้งยังต้องฝึกฤทธิ์สายอิม คือ การฝึกดูดซับพลังงานภายนอกเข้าตัว จากพลังงานเล็กๆ จนเป็นพลังจิตวิญญาณ เมื่อใช้ร่างกายดูดซับได้ทั้งจิตวิญญาณแล้ว ก็สามารถเดินทางไปโปรดสัตว์ที่มีแต่จิตวิญญาณยังที่ต่างๆ ดึงจิตวิญญาณเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในกายก่อน คือ ให้อยู่ในเจดีย์บุ่นเซียง สัตว์ร้ายจะค่อยๆ อ่อนฤทธิ์ลง ช่วงแรกจะอาระวาดมาก เราอาจได้รับความกระทบกระเทือนทางร่างกาย เจ็บป่วยได้ และอาจถูกหลอก ดลจิตดลใจจากสัตว์ร้ายนั้นได้มาก แต่ต้องอดทน จนโปรดสัตว์ร้ายได้สำเร็จ กว่าจะได้บารมีเป็นเจดีย์บุ่นเซียงนั้น ผู้บำเพ็ญต้องอดทนกับการถูกจิตวิญญาณเข้าแทรก (ผีเข้า) และคุมเขาให้ได้ โปรดเขาให้ได้ เมื่อทำได้แล้ว จะเกิดบารมีกลายเป็น “เจดีย์บุ่นเซียง” ให้ใช้การอธิษฐานขอเก็บจิตวิญญาณร้าย เข้าเจดีย์บุ่นเซียง แล้วกักตนโปรดเขาจนกว่าเขาจะหลุดพ้นจึงสำเร็จ
Cr. พุทธบาท โอกาสแห่งการชำระกรรม ด้วยแสงธรรมไร้ประมาณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น