วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

447.“พุทธะ ๔”

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

447.“พุทธะ ๔” 

  • “จิตคือพุทธะ” เป็นพุทธะในตัวอยู่แล้ว มีความบริสุทธิ์ประภัสสรในตัวอยู่แล้ว แต่ก็มีความแตกต่างกันตามธาตุธรรมของจิต สะสมบุญบารมีมาต่างกัน 
  • ดังนั้น “พุทธะ” จึง แตกต่างกัน เป็น ๔ ประเภท ตาม “มโนธาตุ” ที่แตกต่างกัน ได้แก่ 
    • “สัมมาสัมพุทธะ”, 
    • “ปัจเจกพุทธะ” 
    • “อรหันตพุทธะ” 
    • และ “มหาพุทธะ” 

๑) สัมมาสัมพุทธะ คือ การตรัสรู้ธรรมแบบพุทธภูมิ (พระพุทธเจ้า)

  • คือ การบรรลุธรรมด้วยการตรัสรู้ด้วยตนเอง และใช้บุญบารมีของตนเพื่อสร้างศาสนา โปรดสัตว์ และได้สั่งสอนธรรมแก่คนทั่วไป คือ การได้เป็น “พระพุทธเจ้า จะไม่มีชาติต่อไปอีก ไม่เกิดอีก เมื่อบรรลุธรรมครั้งแรก จะเข้าสู่ภาวะ “กิเลสนิพพาน” คือ กิเลสที่บดบังสภาวธรรมความจริงนั้น สูญไปหมดสิ้นก่อน จึงมีดวงตาเห็นธรรม เห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามประสงค์ เรียกว่า “ตรัสรู้ธรรม” ซึ่งจะล่วงรู้ได้ทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า “สัพพัญญูญาณ” จากนั้นจะการบรรลุ “พุทธภูมิ” คือ เห็นแจ้งว่าตนมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์ จากนั้น จึงทำกิจต่างๆ ในการสร้างศาสนา, เผยแพร่ศาสนา ระยะนี้เอง จะบรรลุธรรมขั้นสูงที่เรียกว่า “พุทธธรรม” หรือ “บรรลุยูไล” คือ ธรรมะที่ใช้ในการเคลื่อนพระธรรมจักร ธรรมะระดับพระพุทธเจ้า ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าและ พระอรหันต์สาวกไม่มี

๒) ปัจเจกพุทธะ คือ การตรัสรู้ธรรมปัจเจกภูมิ (พระปัจเจกพุทธเจ้า)

  • คือ การบรรลุธรรมด้วยการตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ไม่มีบุญบารมีพอที่จะสร้างพระศาสนาหรือเผยแพร่ธรรมได้ จำต้องปลีกวิเวก คือ การได้เป็น “พระปัจเจกพุทธเจ้า” เป็น “ปัจเจกบุคคล อาจเคยปรารถนาพุทธภูมิ จึงบำเพ็ญบารมีตามพุทธภูมิ แต่ไม่ครบทุกส่วน และมักเกิดในชาติที่โลกว่างเว้นพระพุทธเจ้า และเวลาดับขันธ์ มักเข้าป่าอาศัยในถ้ำจนตาย “หุบเขากลืนฤษี” คือ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าบรรลุแล้วก็จะแสวงหาสถานที่สงบวิเวก 

๓) อรหันตพุทธะ คือ การบรรลุธรรมแบบสาวกภูมิ (พระอรหันตสาวก)

  • สเวก แปลว่า ผู้รับฟัง ต้องการบรรลุธรรมด้วยการได้รับการสั่งสอนจากผู้อื่นแล้วนำมาปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเอง และไม่มีบุญบารมีที่จะสร้างศาสนาได้ คือ การได้เป็น “สาวกของพระพุทธเจ้า” นั่นเอง 

๔) มหาพุทธะ คือ การบรรลุแบบมหาโพธิสัตว์ (พระมหาโพธิสัตว์)

  • คือ การบรรลุธรรมแบบพิเศษ ด้วยการได้รับการสั่งสอนจากผู้อื่น หรืออาศัยพระธรรมที่ผู้อื่นตรัสรู้ไว้ก่อนแล้ว แล้วนำมาปฏิบัติจนรู้แจ้งด้วยตนเอง ทั้งยังสามารถเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนสืบทอดต่อไปได้ เพราะมีบุญบารมีสะสมมามากพอ แต่จะไม่สร้างพระศาสนาใหม่ นอกจากนี้ การบรรลุธรรมแบบพิเศษนี้ ยังสามารถกลับมาเกิดช่วยสรรพสัตว์ได้อีกเรื่อยไปไม่สิ้นสุด 
  • “พระมหาโพธิสัตว์” ที่มีบารมีมากเท่านั้น เมื่อซักฟอกธาตุธรรมจนรู้ตนเองเป็น “พุทธภูมิ” แล้ว พระมหาโพธิสัตว์ จะผสมธาตุธรรมในส่วนสาวกภูมิเข้าไป เพื่อไม่ให้ธาตุธรรมของตนบริสุทธิ์จนไม่อาจเกิดใหม่ได้อีก เช่น พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ที่เมื่อบรรลุแล้วจะทรงเพ่งจิตศรัทธาพระอมิตาภะพุทธเจ้า (ผสมธาตุสาวก) เมื่อจากโลกไป ก็จะไปเกิดยังสุขาวดี และสามารถลงมาช่วยมนุษย์ได้อีกเรื่อยๆ 
  • อนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์นี้ แรกเริ่มเดิมทีก็บำเพ็ญเพียรแบบพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ภายหลังสละได้แม้พุทธภูมิ ขอเพียงโปรดสรรพสัตว์ได้ก็พอ จึงบรรลุธรรมและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ เรียก“อรหันต์เกิดใหม่” (อยู่ที่การตีความหมาย..มิควรถกเถียงกัน) ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของคนมีความแตกต่างกัน 
  • พระอรหันต์จึงไม่อาจเข้าใจถึงความเป็นไปของพระโพธิสัตว์ได้ แม้จิตจะมีความบริสุทธิ์ก็ตาม

คาถาพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรความหมายในพระคาถาหัวใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

คาถาพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรความหมายในพระคาถาหัวใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

  • คาถาพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ความหมายในพระคาถาหัวใจของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์  
  • โอม  มา  นี  แปะ  หมี่  ฮง โอม 
  • สีขาว คือองค์ปัญญาของท่าน ฌานบารมีของท่านได้ขจัดความเฉื่อยชา หลงในความสุขสบายของอัตตา ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเทวดา ดุจดังพระรัตนสัมภวะพุทธเจ้าทางทิศใต้มา 
  • สีเขียว คือเมตตาจิตของท่าน ขันติบารมีของท่านได้ขจัดความริษยา การแสวงหาชัยชนะด้วยเล่ห์กลต่างๆ ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิอสูร ดุจดังพระอโมฆสิทธิพุทธเจ้าทางทิศเหนือนี 
  • สีเหลือง คือกาย วาจา ใจ การกระทำ และบุญบารมีของท่าน ศีลบารมีของท่านได้ขจัดความยึดติดในตน ความปารถนาไม่สิ้นสุด ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิมนุษย์ ดุจดังพระวัชรปาณิโพธิสัตว์แปะ 
  • สีฟ้า คือเสมอภาพ ปัญญาบารมีของท่านได้ขจัดความโง่เขลา ชาด้าน เก็บกด ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเดรัจฉาน ดุจดังพระไวโรจนพุทธเจ้าอยู่ตรงศูนย์กลางหมี่ 
  • สีแดง คือความอิสระ ความมั่งคั่ง ทานบารมีของท่านได้ขจัดความโลภ ความหิวกระหาย ไม่ต้องเข้าสู่ภูมิเปรต ดุจดังพระอมิตภพุทธเจ้าทางทิศตะวันตกฮง 
  • สีดำ คือมหาเมตตากรุณา วิริยะบารมีของท่านได้ขจัดความโกรธแค้น การต้องการทำลาย ไม่ต้องเข้าสู่นรกภูมิ ดุจดังพระอักโษภยพุทธเจ้าทางทิศตะวันออก
  • อานิสงฆ์ในการปฏิบัติธรรมในองค์พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ ดุจดังแก้วสารพัดนึก
  • โอมฺ 
    • หมายถึง ไวปุลมุนีศาสนติพุทธะมา 
    • หมายถึง อมฤตราชาโพธิสัตว์นี 
    • หมายถึง สมาธิประภาราชาโพธิสัตว์ปะ 
    • หมายถึง อิศวรราชาโพธิสัตว์หมี่ 
    • หมายถึง อมิตายุสโพธิสัตว์ฮง 
    • หมายถึง พระมหาพละโพธิสัตว์ทางอำนาจความขลังของบทสวด 
  • มีความหมายดังนี้
    • โอม หมายถึง พ้นจากสิ่งขัดข้องทั้งปวง
    • มานี หมายถึง พ้นจากสิ่งเศร้าหมอง และทวีบุญกุศลทั้งหลาย
    • ปะ หมายถึง ทำให้สมปรารถนาทุกสิ่ง
    • หมี่ หมายถึง ขจัดภยันตรายต่าง ๆ
    • ฮง หมายถึง ทำให้จิตสำเร็จความตรัสรู้ดูเพิ่มเติมจากเว็บนี้

พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทกับหลวงปู่มั่น

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ ข้อความ

พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทกับหลวงปู่มั่น

พระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่น มีใจความว่า...
"เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา
ที่คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬาร และแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัว และติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจเกี่ยวกับทุกข์ ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น
ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัญหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไร
สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล"
พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า.....
"ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจ นำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรมะ
ธรรมะก็อยู่แบบธรรมะ สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม
พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์ และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลก ที่เพิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้
เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรี้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัญหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น
ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษ
ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน
โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัญหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น"

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

บทบาทครูในยุคปัจจุบัน E – teacher

บทบาทครูในยุคปัจจุบัน E
บทบาทของ E – teacher ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
 

ส่วนที่ 1 ครูทำหน้าที่ วางแผน ออกแบบ ดำเนินการจัดกิจกรรมที่หลากหลายและ จัดเตรียมแหล่งเรียนรู้ให้เพียงพอ รวมทั้งจัดการประเมินผลอย่างชัดเจนได้มาตรฐาน
 
ส่วนที่ 2  ครูเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นสื่อในการ จัดการเรียนรู้
 


ลักษณะของ E – teacher สรุปได้ 9 ประการ ดังนี้

 
Experience ครูควรสร้างสรรค์และเรียนรู้การใช้เครื่องมือ/เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Internet

Extended ครูควรค้นหาความรู้ตลอดเวลา มีการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการค้นคว้า หาความรู้ด้วยเทคโนโลยี

Expanded ครูควรขยายผลความรู้ เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ชุมชนโดยรวม

Exploration ครูควรค้นคว้าและเลือกเนื้อหาสาระ เอกสารหลักฐานอ้างอิง ที่ทันสมัย เพื่อให้เกิด ความคิดสร้างสรรค์ในการน ามาพัฒนาการจัดการเรียนการสอน

Evaluation ครูควรเป็นนักประเมินที่ดี มีการน าเทคโนโลยีมาใช้ในการประเมินผล และให้ เหมาะสมกับรูปแบบการเรียน เพราะไม่ใช่ทุกเทคโนโลยีจะใช้ได้กับการเรียนทุก รูปแบบ

End – User ครูควรเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างหลากหลายและสามารถเป็นผู้ใช้ปลายทางที่ดี เช่น สามารถ Browse ไป Web Site ได้ เป็นต้น

Enabler ครูควรสามารถนำเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ มาใช้ในการสร้างบทเรียน สื่อ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้กับผู้เรียนมากขึ้น

Engagement เป็นลักษณะครูที่ให้ความร่วมมือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ

Efficient and Effective ครูที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ในการใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นผู้ผลิต ผู้กระจาย และผู้ใช้ความรู้จาก e 8 ข้อข้างต้น
 

การปรับบทบาทและพัฒนาครูให้เป็น e – teacher อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง กับสภาวการณ์ในปัจจุบัน และเป็นกลไกสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  เก้าสำคัญสู่ E – Teacher
 เรียบเรียงโดย : ครู eduzones

เบื้องบน ไม่เลื่อน เวลา แล้ว นะคะ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ผู้คนกำลังยืน, ท้องฟ้า, ภูเขา, ธรรมชาติ และ สถานที่กลางแจ้ง

เบื้องบน ไม่เลื่อน เวลา แล้ว นะคะ
ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะตาย ใครจะรอด
คัดจาก จิต ล้วนๆ 
การโดนทดสอบรุนแรงต่างๆ 
ถูกส่งลงมา เพื่อ พิสูจน์ ว่า เราเป็นของจริง หรือ ไม่
แบ่งแยกดีชั่ว คัด หิน ออก จาก หยก

โปรด 3 ภพ ยุคท้ายปลายกัลป์ ยุคภัยพิบัตินี้
โปรด โลกมนุษย์เสร็จ 
โปรดอนันตจักรวาล ต่อ


โดย 
คุณ ปพรพงษ์ ชะหมู่ 
(คุณเต้ย)

บางสิ่งบางอย่างนั้นไม่ได้รู้ไว้
เพื่อตัวเราเอง แต่รู้ไว้เพื่อคนอื่น
แค่ก่อรูปไม่เหมือนกันเท่านั้น
มนุษย์ทำให้โลกอ่อนแอ..
ด้วยการกำจัดเชื้อร้าย
ธรรมชาติให้เวลามนุษย์มามากพอแล้ว 
ในการกลับตัวกลับใจ หันมาใส่ใจโลก
แต่แล้วมนุษย์กลับเพิกเฉยในโอกาสนั้น 
ทางสมาพันธ์ทราบดีว่าจะเกิดอะไร 
แต่ถูกสั่งห้ามไม่ให้แก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น..
งานที่เหลือคือ รอช่วย และรอฟื้นฟูเท่านั้น
คนที่ถูกเลือกนั้นจะไม่ได้ถูกอพยพในช่วงเกิดวิกฤติ..
เหล่าคนที่ถูกเลือกจะต้องวิ่งเข้าใส่
ในพื้นที่เกิดเหตุในขณะที่คนอื่นนั้นหนีออก

คนที่ถูกเลือก 
จะมีหน้าที่ช่วยคน รักษาคน และส่งคน 
แต่จะได้ขึ้นยานหรือถูกส่งตัวไปยังที่ปลอดภัย
ก็ต่อเมื่อไม่มีใครเหลือให้ช่วยแล้ว

435. การอธิษฐานปล่อยปลา

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง
435. การอธิษฐานปล่อยปลา
การปล่อยปลา คือการต่อชีวิตให้สัตว์ จึงมีอานิสงส์ต่ออายุเราได้ ถ้ายังไม่ถึงอายุขัยจริง ส่วนจะปล่อยกี่ตัว แล้วแต่สะดวก อาจปล่อยตามกำลังวันเกิดก็ได้ หรือปล่อยตามอายุบวกเพิ่มอีก 1 ปี..ควรหาปลาจากท้องตลาดสด.ที่กำลังจะถูกทุบหัว จะมีอานิสงส์มากกว่าปลาปกติ
1. ก่อนปล่อยปลา นะโม ๓ จบ
(จะจุดธูป 1,3,5,7-31 ดอก หรือไม่จุดก็ได้)…
.
คำอธิษฐาน การปล่อยสัตว์
ข้าพเจ้าชื่อ.........นามสกุล เกิดวันที่.....เดือน.พ.ศ......อายุ....ปี
ได้ปล่อย ...............จำนวน......ตัว
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเทวดา ปู่พระยายมราช พระแม่คงคา พระแม่ธรณี เป็นสักขีพยาน
"อิทังปุญญผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลาครั้งนี้
ขอผลบุญนี้ จงบังเกิดแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า บิดามารดาครูบาอาจารย์ บุตร บริวาร ญาติมิตรของข้าพเจ้า
และขออุทิศบุญ แก่พรหมเทพเทวดาทั้งหลาย ท่านพระยายมราช นายนิริยบาลทั้งหลาย ขอได้โปรดโมทนา และเป็นสักขีพยานในการปล่อยสัตว์ปล่อยปลาครั้งนี้ด้วยเถิด สาธุ.."
2.หลังจากปล่อยปลาลงน้ำแล้ว คิดในใจหรืออกเสียงว่า”ข้าช่วยชีวิตเจ้าแล้วนะ ขอให้เจ้ามีความสุข” แล้วอธิษฐานขอพร..ที่ต้องการ..เช่น.
"บุญกุศลนี้...ขอให้ข้าพเจ้าหายจากโรค ได้พบหมอดียาดี ขอให้คล่องตัวในทรัพย์ ค้าขายรุ่งเรือง
...ขอให้ครอบครัวมีสุข ขอให้ได้สมบัติอัศจรรย์ทันใช้ หมดหนี้ มีทรัพย์
....ขอให้เข้าถึงไตรสรณคมน์ และบรรลุธรรมได้ง่ายโดยเร็วพลัน สาธุ."
" เพราะเวลาที่ทำอธิษฐาน เทวดาที่อยู่บริเวณนั้นจะบอกต่อ ๆ กันไป ฝั่งท่านพระยายมราชจะมีนายบัญชีคอยบันทึกไว้ เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เวลาขึ้นมาจากนรกในยมโลก หรือนรกขุมใหญ่ ระหว่างปล่อยขุมจะมีการเปิดบัญชีนี้
โดยท่านพระยายมราชจะให้ข้อธรรม คล้ายเป็นการเจรจาต่อรองกับเจ้ากรรมแทนเรา เจ้ากรรมยังไม่ถึงวาระ เมื่อรับบุญปล่อย ๆ บางดวงจิตที่ทุกขเวทนา เมื่อเราไปบรรเทาทุกขเวทนา ทำให้เขาไม่อยากจองเวรกับเราต่อไป กลายเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป"
ความหมายของการปล่อยสัตว์
ปลาไหล หมายถึง เงิน งาน เรียน ราบรื่น
ปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพ
ปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณ
ปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่าย
ปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูน
ปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบ
ปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่น

ปล่อยกบ หมายถึง ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
หอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น
หอยโข่ง หมายถึง ผู้นำ ข้าทาสบริวารมาก
ตะพาบ หมายถึง อายุมั่นขวัญยืน
การปล่อยสัตว์ ตามกำลังวัน
วันอาทิตย์ 6 ,วันจันทร์ 15 , วันอังคาร 8 , วันพุธ 17 , วันพฤหัสบดี 12 วันศุกร์ 21 , วันเสาร์ 10

437. คนทรง วิญญาณ .กับ อิสระแห่งจิต*

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
437. คนทรง วิญญาณ .กับ อิสระแห่งจิต*
ก่อนที่วิญญาณจะเข้ามาประทับทรงจิตเค้าก็สงบลงเป็น สมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งมีความสบายเบา กายก็เบา กายก็เบา กายก็สงบ จิตก็สงบ เมื่อใดที่เขาจะให้วิญญาณประทับทรง เขาจะนั่งสมาธิ พอจิตเริ่มสงบภาพนิมิตของวิญญาณก็มาปรากฏ เค้าก็น้อมจิตเอาภาพนิมิตนั้นเข้าไปในตัว แล้วก็เป็นการประทับทรง
เมื่อวิญญาณเข้ามาประทับทรงแล้ว ความเบากาย เบาจิต เปลี่ยนเป็นความหนักกายหนักจิต
กายเปรียบเหมือนถูกบีบ จิตก็เปรียบเหมือนถูกบีบ เพราะมีอำนาจอื่นเข้ามาบีบ มาควบคุม
หลังจากนั้นเค้าก็ไม่เป็นตัวของตัว ตกอยู่ในอำนาจของวิญญาณที่เข้ามาประทับทรง
หลังจากนั้นจะทำอะไรแสดงกิริยาอาการคำพูดอะไรออกมา
เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของวิญญาณไปหมด มารู้ตัวอีกที เมื่อวิญญาณประทับทรงจรออกไป

ภายหลังเค้าก็ตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ทรงวิญญาณ จะยึดแต่พุทธะ ธรรมมะ สังฆะ เท่านั้นเป็นที่พึ่งตลอดไป ไม่ต้องการร่วมสร้างบารมีกับใครเพื่อสืบภพสืบชาติอีกต่อไป
พอทำจิตให้สงบลงไป มีสมาธิลงไป มีปีติ มีความสุข มีความสว่าง
...แล้วภาพวิญญาณที่เคยเข้ามาประทับทรง ก็ปรากฏขึ้นมา
ในตอนนี้จิตของเค้าก็นึกต่อต้าน ไม่ให้วิญญาณเข้ามาทรงแน่ เพราะในจิตของเรามี แต่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ประทับอยู่แล้ว จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระเป็นสรณะ เค้าก็กำหนดจิตเพ่งดู ภาพ วิญญาณที่มองเห็นอยู่นั้น เจ้าวิญญาณนี้ ก็เดินถอยหน้าถอยหลัง จะเข้ามาบ้างไม่เข้ามาบ้าง
ในที่สุดร่างของวิญญาณเนื้อหนังถูกพลังจิตของเค้าทำลายไปหมด
ยังเหลือแต่โครงกระดูก ในที่สุดโครงกระดูกก็ถูกพลังจิตของเค้าทำลายให้แหลกละเอียดไป
จนไม่มีอะไรเหลือ
หลังจากนั้น ภาพนิมิตที่เป็นการทรงวิญญาณ
ไม่เคยมาปรากฏกับเค้าอีก เค้าภาวนาทีไร
จิตสงบลง แล้ว ก็มี ปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
ถูกต้องตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จิตที่เป็นอิสระ
อนึ่ง บทความนี้ ไม่ใช่ว่าการทรงเจ้าไม่ดีทั้งหมดนะ เพียงแต่ถ้าผู้นั้นต้องการเข้าสู่อริยะในชาติปัจจุบัน จำต้องทำจิตให้มีไตรสรณคมภ์เป็นที่พึ่ง ให้จิตของเราเป็นเนื้อเดียวกับพระรัตนตรัย ทำจิตให้เป็นอิสระจากการครอบงำของดวงจิตอื่น เพื่อให้ดวงจิตเราได้เดินปัญญา เพราะไม่มีดวงจิตประทับทรงองค์ไหน จะเดินปัญญาให้เราได้ เราต้องทำเอง

438 ** การเกิด- การดับ..ของ ๓ ภพ

ในภาพอาจจะมี 1 คน
438 ** การเกิด- การดับ..ของ ๓ ภพ***
..*.ภาคการเกิดของ๓ภพ..*.
โลกธาตุนี้ เป็นเพียงดาวเคราะห์ที่ไร้สิ่งมีชีวิตมาก่อน จากนั้นเมื่อมีสภาวะที่เหมาะสมกับการมีสิ่งมีชีวิตบนโลกแล้ว จึงมีดวงจิตพรหม ลงมาจุติเป็นมนุษย์ ในป่านี้ จะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตเกิดขึ้นก่อน แม้ต้นไม้ต่างๆ (จะยังไม่มีรุกขเทวดามาครอง) จะมี สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เคลื่อนไหวได้เอง จะมีเพียงวิญญาณ แต่ยังไม่มีจิต เมื่อมนุษย์พรหม เสื่อมจากศีลธรรม จึงไม่สามารถกลับพรหมโลก ดวงจิตจึงพุ่งออกจากโลกไปยังชั้นบรรยากาศ พร้อมกรรมดีเป็นพลังบุญ ในช่องว่างชั้นบรรยากาศ จึงเกิดเป็นเมืองที่สร้างจากพลังจิตขึ้น นี่คือที่มาของภพสวรรค์
และเมื่อมนุษย์เสื่อมลงอีก ก็ก่อให้เกิดภพสวรรค์ชั้นต่ำลงไปเรื่อยๆ จนถึงสวรรค์ชั้น๑ (สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา) ซึ่งมีพวก นาค, ครุฑ, คนธรรพ์, รุกขเทวดา, กุมภัณฑ์ อาศัยอยู่ ลงมาถึงภาคอากาศใต้ก้อนเมฆ พื้นดิน บาดาล วิญญาณกลุ่มไหน ยิ่งอยู่ติดโลก เราจึงพบเจอพวกเขาได้ง่าย เช่น นางตานี, นางตะเคียน, นางไม้, เจ้าที่เจ้าทาง, เจ้าป่าเจ้าเขา, ผีจอมปลวก ฯลฯ
และเมื่อมนุษย์จิตเสื่อมถอยลง ก็จะมีความยึดมั่นในโลก กระแสจิตที่เลวร้ายจะสร้างสิ่งที่เลวร้ายลงไปยังข้างล่าง (ความถี่พลังหยาบ ย่อมไหลลงที่ต่ำ) กลายเป็นวัตถุเครื่องลงทัณฑ์ต่างๆ ในนรก และเมื่อตายลงจิตก็พุ่งไปสู่คลื่นหยาบเดียวกัน คือ นรกนั่นเอง เหตุที่ต้องแบ่งชั้นอยู่กันอย่างนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงจิตของมวลสรรพสัตว์แตกกระจายไป เป็นสัตว์ที่หลงทาง เป็นวิญญาณเร่ร่อนหาที่เกิดไม่ได้

* ภาค การดับของ๓ภพ*
เมื่อถึงคราวที่โลก จักรวาล กำลังจะแตกดับ เทวดากลุ่มหนึ่ง(โลกพยุหเทวดา) จะลงมาจากสวรรค์ พร้อมร้องตะโกนว่า “ อีกแสนปี ข้างหน้าโลก จักรวาล รวมทั้ง๓๑ ภพภูมิ นรก สวรรค์ จนถึงพรหมโลก (โดยลงมาบอกทุก ๑๐๐ ปี) จะถูกทำลาย บางกัปทำลาย ถึงชั้นพรหมที่ ๓ บางกัปป์ถึงพรหมชั้นที่๖ บางกัปป์ถึงพรหมชั้นที่๙(ขึ้นอยู่ว่าถูกทำลายด้วยอะไร.. ไฟ,ลม,น้ำ) ดวงจิตเหล่านั้น จึงเร่งเจริญพรหมวิหารธรรมเมื่อตายแล้วจึงพากันไปบังเกิดในเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ท้ายสุด จึงไปอยู่ที่แดนพรหมที่ไม่ถูกทำลาย รอเวลาจุติตามอายุขัยต่อไป
ส่วนสัตว์ในอบายภูมิ จะมีญานชนิดหนึ่ง ชื่อ “ชาติสรญาณ “คือ ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่านั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรมของตน เมื่อรู้สำนึกตนเช่นนี้แล้ว อำนาจของกุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของเหล่าโลกพยุหเทวดาก็พากันเจริญฌานต่อๆ ไปจนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด
แต่ยังมีอบายสัตว์ที่มีกรรมหนัก หนาแน่นมาก เมื่อโลกพินาศ
แล้วจุติไปบังเกิดเป็นอบายสัตว์ อยู่ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่มีการถูกทำลายให้พินาศ

440. เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

440. เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
โลกได้ทำการทดลองอาวุธที่รุนแรงใต้พื้นดิน ทำให้ระบบแม่เหล็กโลก แปรปรวนอย่างรุนแรง จนไม่อาจปกป้องรังสีบางชนิดจากนอกโลกได้อีก ยังส่งผลให้ระบบป้องกันสามภพแปรปรวน เช่นกัน เพราะทั้งภพหยาบ ภพทิพย์ ล้วนเชื่อมโยงกัน ดังคำว่า”เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว “ จุดศูนย์กลางกระแสแม่เหล็กโลกนี้ ก็คือ ส่วนของ “เขาพระสุเมร(ภูเขาทิพย์) นั่นเอง โดยรากของเขาพระสุเมรุก็คือแกนโลก จากขั้วเหนือไปใต้ ร้อยทะลุนรก แล้วแผ่เป็นพลังหนาแน่นออกพวยพุ่งเป็นท่อที่เล็กลง
เพราะเมื่อเขาพระสุเมรุหรือกระแสแม่เหล็กโลก พุ่งผ่านสวรรค์ชั้นใดๆ ก็จะแผ่กระแสแม่เหล็กบางส่วนออกไปป้องกันสวรรค์แต่ละชั้น ทำให้กระแสแม่เหล็กเบาบางลง กลายเป็นรูปทรงกรวยยอดแหลมแทน เมื่อดูด้วยตาทิพย์จะเห็นเป็นเขาพระสุเมรุ แต่เมื่อดูด้วยตาเนื้อจะมองไม่เห็นอะไรเลย
แต่เมื่อตรวจดูด้วยกล้องถ่ายพิเศษทางวิทยาศาสตร์ จะเห็นเป็นกระแสแม่เหล็กโลก
การทดลองระเบิดใต้พื้นดิน ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ยังจะทำให้กระแสหยาบชั้นข้างล่าง(คลื่นความถี่ต่ำย่อมอยู่ข้างล่าง) จะถูกรบกวนการไหลเวียน ส่งผลต่อชั้นบรรยากาศชั้นบน คือ สวรรค์ แปรปรวนด้วย
นอกจากจะรบกวนโลกมนุษย์แล้ว ยังทำให้ คลื่นพลังบางชนิดที่ถูกซ่อนไว้ใต้พื้นดินก็จะถูกขับดันออกมาด้วย รวมทั้ง “จิตวิญญาณของมารนรก” จึงส่งผลให้จิตวิญญาณมากมายมาวนเวียนและเกี่ยวข้องกับมนุษย์โลกมากเป็นพิเศษ (กระแสคลื่นความร้อนความถี่เหมาะกับจิตวิญญาณชั้นต่ำมีเพิ่มขึ้น) ในช่วงนี้จึงการทรงเจ้าเข้าผี สัมภเวสี อสูรกาย มากขึ้น และกระแสคลื่นหยาบ ทำให้เกิดภาวะความรุนแรง เพิ่มขึ้นในจิตใจมนุษย์โหดร้ายมากมาย
ดังนั้นถ้าเราจะเด็ดดอกไม้ ควรเด็ดด้วยความอ่อนโยน อย่างรู้คุณค่า เด็ดอย่างสร้างสรรค์ รู้จักกาลเวลา และจำเป็นต้องหมั่นปลูกดอกไม้แห่งความดีงามแพร่กระจายในหัวใจมนุษย์ ให้มากขึ้นทับทวี เพื่อก่อเกิดกระแสความดีงาม เพื่อจรรโลงโลกของเราอย่างแท้จริง

442. ถูกทักว่ามีองค์....ต้องรับขันธ์..หรือไม่..?

ในภาพอาจจะมี 1 คน
442. ถูกทักว่ามีองค์....ต้องรับขันธ์..หรือไม่..?
สาเหตุอาจเกิดจาก ก่อนที่จะจุติยังโลกมนุษย์นั้น ได้เคยเป็นเทพเทวดาบริวารของเทพองค์อื่นๆ และได้ทำสัญญากันไว้ว่าหากมาเกิดบนโลกแล้วจะต้องให้ท่านได้บำเพ็ญบารมีด้วย ท่านจึงอนุญาตให้ลงมาเกิด เทพเทวดาที่ลงมาจุติไม่ได้ เพราะติดภาระเบื้องบน จึงส่งให้บริวารบางตนที่ไว้ใจได้และขยันขันแข็งลงมาจุติแทน เมื่อถึงวาระ ก็จะดลบันดาลให้ระลึกนึกถึง หรือมีเหตุให้ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ คือ ต้องให้เทพท่านได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน ร่วมโปรดมนุษย์
นอกจากนี้ยังมีเทพเทวดา ที่แอบหลบหนีผู้ปกครองสวรรค์ลงมาทำการนี้ เนื่องจากระบบปิดกั้นสามภพมีช่องโหว่ การรับขันธ์ หมายถึง พิธีการรับครูทางจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นเทพเทวดาต่างๆ ที่จะลงมาคุ้มครองเรา และช่วยเราในการบำเพ็ญเพียรบนโลกมนุษย์นั่นเอง
สิ่งที่ต้องกลัวและต้องระวังคือวิญญาณชั้นต่ำทั้งหลาย มักจะครอบงำจิตคนได้เฉพาะคนที่จิตตก จิตอ่อนแอ อยู่ในภาวะขาดสติ เช่น ดื่มเหล้าเมามาย, เสพสิ่งเสพติด, เต้นรำเสียงดังอึกทึก เป็นต้น แม้ไม่ได้เป็นร่างทรง จิตวิญญาณเหล่านี้ ก็แทรกเข้าไปได้ ทำให้เยาวชนผิดศีลห้าได้ง่าย เช่น มีคู่นอนหลายคน, ฆ่ากันทำร้ายร่างกายกัน,
บำเพ็ญเพียรร่วมกับองค์เทพต้องทำอย่างไร?
ร่างทรงควรมีหลักไตรสิกขา การบำเพ็ญ
๑) ศีล ควรมีศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ หรือ ศีล๘ เพื่อปกป้องตนเอง จากวิญญาณชั้นต่ำที่จะมาเข้าร่างของเรา
 ๒) สมาธิ ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ เพราะจิตที่มีพลังและแจ่มใสจะสามารถติดต่อสื่อสารกับองค์เทพได้ดีกว่าจิตที่หม่นหมองขาดสมาธิ บางท่านที่ฝึกจิตได้ถึงขั้นสูง จะสามารถมองเห็นองค์เทพได้ (บรรลุทิพจักษุ) และสามารถพูดคุยกับองค์เทพได้ (ภาษาเทพ)
๓) ปัญญา ผู้บำเพ็ญต้อง ศึกษาทางธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อเพิ่มบารมี และตรวจทานองค์ที่ลงด้วย
๔) พรหมวิหาร ผู้ที่บำเพ็ญแนวนี้ จำต้องมีพรหมวิหารสี่ ถ้ามีจิตอิจฉา จะถูกมารสวรรค์ครอบงำ
๕) บารมี ผู้ที่จะโปรดสัตว์ได้ ต้องสร้างบารมี ๑๐ ทัศน์มากๆ วิญญาณต่างๆจะเกรงใจ
ผู้มีองค์เทพจริง (ไม่ใช่เพราะถูกทักเลยกลัว..ไม่ทันได้คิด..ไปตำหนักเลย..ระวังให้มาก ) ควรทำการรับขันธ์-ขึ้นครู ให้เป็นพิธีเพื่อให้องค์เทพสามารถทำกิจได้สะดวกไม่ผิดกฎสวรรค์ และไม่รบกวนเราอีก ควรทำการไหว้ครูทุกปี ซึ่งอาจเตรียมขันธ์ของเราไปร่วมกับผู้อื่นก็ได้ ที่สำคัญ อย่าไปรับขันธ์ในตำหนักที่ไม่ใช่ของจริง จะกลายเป็นรับขันธ์ อสูรกาย สัมภเวสี สัตว์นรก ผีปอบ แทน องค์เทพ หรือไม่หาผู้ที่มีบารมี มาต่อรองกับองค์ว่า ขอช่วยงานแต่ไม่ขอรับขันธ์

443. คำอธิษฐานขอพร แห่งโพธิญาณ

ในภาพอาจจะมี 4 คน, คนที่ยิ้ม
443. คำอธิษฐานขอพร แห่งโพธิญาณ
การอธิษฐาน เป็นการสร้างบารมี ในบารมี๑๐ ทัศน์ ยิ่งเป็นการอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ นับเป็นมหากุศลจิต เป็นสิ่งที่ดีงาม การอธิษฐานเช่นนี้ทำให้ดวงจิตมีกระแสพุ่งออกไป สะเทือนไปถึง ๓โลก ทวยเทพเทวดาต่างโมทนายินดีในปณิธานดีงามนี้ เราควรอธิษฐานทุกวัน เพื่อปลูกฝังโพธิในใจของเราให้เติบโตเบ่งบาน
โอม มานี เป เม ฮง(แบบวัชรยานทิเบต) หรือ โอมมณี ปัทเม หุม(ฮุม) (แบบมหายานจีน)
ขออาราธนาบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
พระอรหันตสาวกทั้งหลาย จงประสิทธิ์ประสาทผล
ดลบันดาล รวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน
ให้คำขอพรของข้าพเจ้า บรรลุผลตามปารถนา ดังนี้ด้วยเทอญ...
* ขอให้ความปราถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน จงได้รับการอุปถัมภ์สนับสนุนให้ตลอดรอดฝั่งถึงแดนพุทธภูมิ อุปสรรคขัดขวางอันใด จงแปรเปลี่ยนไปเป็นพลัง และปัญญาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป
* ขอให้ความปรารถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อการยังชีพอย่างพอเพียง จงครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกด้าน เพียงพอแก่การยังชีพเยี่ยงฆราวาสผู้ทรงธรรม จงหนุนนำคล้อยนำไปในทางแห่งสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว ปิดอบายภูมิทั้งสี่โดยพลัน
* ขอให้ความปรารถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อการสนองกามคุณ จงกลายสภาพเป็นสภาวธรรม แห่งไตรลักษณ์ อันหนุนนำสู่การบรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เป็นเครื่องหนุนนำ เพื่อการบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมี ตลอดไป
* ขอให้จิตข้าพเจ้า อุดมปัญญาดุจแสงไฟ พลิ้วไหวดุจสายลม อ่อนโยนดุจสายน้ำ กล้าแกร่งดุจหินผา
*ขอให้ข้าพเจ้า พร้อมครอบครัว และญาติมิตรจงประสบแต่สิ่งดีงาม อยู่ใต้ร่มโพธิ ร่มไทรในพุทธศาสนาตลอดไป
**ขอกำลังแห่งพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์
กำลังแห่งธาตุทั้งสี่อันเป็นรากฐานแห่งฤทธิ์
ประสิทธิประสาทร่วมกำลังให้เป็นจริง
เพื่อเป็นปัจจัยให้ถึง ฝั่งโพธิญาณ ฝั่งพระนิพพาน ด้วยเทอญ
นะ โม พุทธ ธา ยะ
นะ มะ พะ ธะ
จะ ภะ กะ สะ
นะ มะ อะ อุ
โพธิญาณะ นิพพานะ ปัจจโยโหตุ

444.ล้างบาป..ด้วยน้ำมนต์..ธาตุสี่”

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน, กลางคืน, ท้องฟ้า และ เมฆ

444.ล้างบาป..ด้วยน้ำมนต์..ธาตุสี่”
“การล้างบาป” ในที่นี้ไม่ใช่การทำให้วิบากกรรมในอดีตหมดไป แต่เป็นการปลดเปลื้องบาปที่ฝังในใจเราในปัจจุบัน ทำให้เรามีพลังในการก้าวเดินต่อไปได้ ดุจพระสงฆ์ปลงอาบัติ เพื่อเตือนตัวเองว่าจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้อีก ทำได้เฉพาะในสถานปฏิบัติธรรม ห้องพระ ยิ่งในโบสถ์ยิ่งดี เมื่อทำแล้วต้องนำไตรสิกขา ไปปฏิบัติ ต่อเนื่อง การล้างบาป เพื่อเอาพลังจิตแห่งพุทธะ มาละลดเลิกบาป ไม่ทำอีก

สิ่งที่ใช้ในพิธีกรรม
บูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ธูปเทียน ตามปกติ อาจมีค่าครู ๑บาท หรือกี่บาทก็ได้ ใส่พานไว้ ให้เตรียมขันทำน้ำมนต์ดังนี้
๑) พระธรณี (ธาตุดิน) ใช้ผงแป้ง, ดอกมะลิ, ดอกไม้ขนาดเล็ก ที่มีกลิ่นหอม โรยลงในน้ำ
๒) พระคงคา (ธาตุน้ำ)ใช้น้ำเปล่าใสเย็นบริสุทธิ์ นำใส่ในขัน ที่ทำน้ำมนต์ในพิธีนี้
๓) พระวาโย (ธาตุลม) ใช้การเป่าเสก เมื่อว่าคาถา แล้ว
๔) พระเตโช (ธาตุไฟ)
ให้ใช้เทียนขนาดเล็ก จุดไฟให้สว่าง แล้วหยดน้ำตาเทียนลงในขันทำน้ำมนต์ (แทนธาตุไฟ) เมื่อทำน้ำมนเสร็จก็ดับเทียนได้ ก่อนทำพิธีให้จุดธูปไหว้ครูก่อน
เริ่มพิธี
• บูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ธูปเทียน พร้อมขันบูชาครู
• ท่องนะโม ๓ จบ
*เตรียมน้ำในขัน พร้อมลอยดอกไม้ และจุดเทียนวางพาดนอนในขัน(เสียบก้านธูปไว้) สำหรับทำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (ตั้งหน้าพระประธาน)
• ท่องมนตราศักดิ์สิทธิ์ปลุกเสกน้ำมนต์ธาตุสี่(จุดเทียนให้หยดลงในขัน)
โอม พุทธธัง พ้น ธรรมมัง ว่าง สังฆัง ปลด
บาปกรรมจงลด บรรเทาเบาบาง จนหมดสิ้นไป
ลูกขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอริยะสงฆ์ พระโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์
โปรดเมตตา เสด็จเป็นประธานการทำพิธีชำระบาป
ลูกขอบูชา พระแม่ธรณีด้วยดอกไม้ของหอม พระแม่คงคาด้วยน้ำบริสุทธิ์ พระแม่วาโยด้วยลมปราณ
พระแม่เตโชด้วยไฟจากเทียน
ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัย และพระแม่ทั้งสี่ จงร่วมกันปลุกเสกน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี้
เพื่อขจัดความบาปให้หมดสิ้นไปจากชีวิต ของข้า นาม ....................
 ขอให้รอดพ้นจากความบาปทั้งปวง นำพาชีวิตสู่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ สาธุ...
• ยกขันขึ้นมา เป่าลมออกไป โดยยกขันที่ใส่เครื่องบูชาขึ้นจรดหน้าผาก ดับเทียน
• นำมือทั้งสองวางลงในขันน้ำมนต์ พร้อมกล่าวว่า “ขออำนาจแห่งพระแม่ทั้งสี่ จงนำความบาปของลูกให้หมดสิ้นไป จากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจ ของลูก ณ บัดนี้”
• วักน้ำขั้นลูบใบหน้า พนมมือพร้อมกล่าวว่า “ขออำนาจแห่งพระแม่ทั้งสี่ จงนำความบาปของลูกให้หมดสิ้นไป จากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจ ของลูก ณ บัดนี้
• นำมือทั้งสองที่เปียกน้ำมนต์ ที่พนมมืออยู่ ให้ลูบยอดอกเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “ขออำนาจแห่งพระแม่ทั้งสี่ จากการกระทำด้วย กาย วาจา ใจ ของลูก ณ บัดนี้”
• แล้วยกมือขึ้นไหว้จรดหน้าผากหนึ่งครั้ง
• กราบพระ๓ ครั้ง เสร็จพิธี

445.ความเป็นเลิศแห่งมหาสาวก...ในพระสมณโคตมพุทธะ


  1. ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง


445.ความเป็นเลิศแห่งมหาสาวก...ในพระสมณโคตมพุทธะ
บางท่านปารถนาพุทธภูมิและสร้างบารมีมายาวนาน แต่มีจิตผูกพันกับพระมหาโพธิสัตว์ที่ชื่นชอบมาหลายอสงไขย จึงลาจากความปารถนาพุทธภูมิ มาสู่สาวกภูมิ แต่ด้วยบารมีที่สร้างมายาวนานประกอบกับจิตอธิษฐานที่จะติดตามพระโพธิสัตว์องค์นั้น จึงได้เป็นอัครสาวก มหาสาวก ในพระสมณโคตมพุทธเจ้า และได้รับคำยกย่องจากพระพุทธองค์ พอยกมาบางส่วน ดังนี้
ฝ่ายภิกษุ
๑.พระสารีบุตร มีความเป็นเลิศในทางปัญญา
๒.พระมหาโมคคัลลานะ มีความเป็นเลิศในทางการแสดงอิทธิฤทธิ์
๓.พระอานนท์ ทรงเป็นทั้งพระอนุชาและพุทธอุปัฏฐาก เป็นเอตทัคคะ ในทางความทรงจำ
อันดี และเป็นผู้ที่สวดพระสูตรอันเป็นการสืบทอดคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
๔.พระอุบาลี มีความทรงจำในพระวินัยเป็นเลิศ เป็นผู้รับผิดชอบในการสวดพระวินัยในปฐมสังคายนา
๕.พระมหากัสสป ประธานคณะสงฆ์ในปฐมสังคายนา มีความเป็นเลิศในการรักษาพระวินัยโดยเคร่งครัด
 (ในทางมหายานถือว่า พระมหากัสสป และพระอานนท์เป็นสาวกซ้าย-ขวา )
 **********
ฝ่ายภิกษุณี
๑. พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระนางทรงเป็นทั้งพระมารดาเลี้ยง เป็นเอตทัคคะ ในการ
เป็นผู้รู้ราตรีนาน และทรงเป็นสตรีคนแรกที่ทูลขอการอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีองค์แรก
๒.พระนางเขมาเถรี มีความเป็นเลิศในทางปัญญา
๓. กุณฑลเกสีเถรี มีความเป็นเลิศในการเรียนรู้ธรรมะได้รวดเร็ว
๔. ปฏาจาราเถรี เป็นเอตทัคคะในความทรงจำพระวินัย
*************
ฝ่ายอุบาสก
๑. พระเจ้าพิมพิสาร เป็นกษัตริย์ องค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา ทรงถวายสวนเวฬุวัน เพื่อให้เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ และบรรลุพระโสดาบัน
๒.อนาถบัณฑิกเศรษฐี มีความเป็นเลิศในการบริจาคทาน
๓.หมอชีวกโกมาราทัศ ผู้มีความมั่นคงในศรัทธา หมอประจำตัวพุทธองค์
๔. พระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดาแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ
*******************
ฝ่ายอุบาสิกา
๑.นางวิสาขา มีความเป็นเลิศในการถวายทาน
๒. นายขุชชุตตรา มีความเป็นเลิศในการแสดงธรรม
๓. นางสิริมา เป็นโสเภณี มีความงามยิ่งนัก จนพระภิกษุสงฆ์หนุ่มลุ่มหลง เมื่อนางฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จึงบรรลุโสดาบัน
๔. นางสุชาดา ผู้ได้ถวายพระกระยาหารแด่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนการตรัสรู้ เมื่อนางฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จึงบรรลุโสดาบัน นางเป็นอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา

446..องค์ปฐมพุทธะ องค์ปฐมพรหมะ องค์ปฐมพระศิวะ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
446..องค์ปฐมพุทธะ องค์ปฐมพรหมะ องค์ปฐมพระศิวะ

  • ผู้ที่เป็นองค์แรกในการบำเพ็ญบารมี และเป็นแบบอย่างแนวทางขององค์อื่นๆ ในการบำเพ็ญบารมีตามแนวทางนั้นๆ เรียกองค์นั้นว่า”องค์ปฐม” หรือ”องค์แรก”
  • แต่จะเป็นองค์ปฐมแนวทางไหนอยู่ที่วิชชาความรู้บารมีที่สร้างมา ถ้าเป็นการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า ก็มีแบบอย่างมาจากการบำเพ็ญบารมีของพระ “พุทธเจ้าองค์ปฐม “ คือ “พระพุทธสิกขีทศพลที่๑ 
  • ถ้าเป็นการบำเพ็ญบารมีแบบพระพรหม ก็เรียก “องค์ปฐมพรหมะ” 
  • ถ้าบำเพ็ญบารมีแนวทางพระศิวะ ก็เรียก”องค์ปฐมศิวะ” องค์ปฐมนารายณ์ฯลฯ
  • แม้แต่องค์ปฐมแห่งพุทธะ ยังแยกย่อยไปอีก เช่น
    • องค์ปฐมต้นธาตุต้นธรรมพุทธวงค์ 
    • องค์ปฐมต้นธาตุต้นธาตุปราบมาร 
    • องค์ปฐมต้นธาตุพระธนายิพุทธะ 
  • แม้กระทั้งในแต่ละกัปก็เรียกองค์ปฐมต้นกัปป์ เช่นในภัทรกัปนี้ พระกกุสันโธคือ องค์ปฐมต้นกัป แต่เป็นที่เข้าใจกันว่า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว หมายถึง สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธสิกขีทศพลที่๑
  • ดังนั้นองค์ปฐม ก็เป็นองค์ต้นแบบของจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ที่บำเพ็ญบารมีตามๆ กันมา ใครที่บำเพ็ญบารมีตามใครมา ทำได้ถึงระดับ ก็จะได้บารมีคล้ายกับท่าน แต่จะไม่เท่าองค์ปฐม มีศักดิ์ศรี มีฐานะ เสวยบุญบารมีใกล้เคียงกับท่าน ลดหลั่นกันไปตามกำลังที่ตนบำเพ็ญมา เรียกองค์ที่บำเพ็ญบารมีตามๆ กันมานี้ว่า”องค์แทน” เวลาอธิษฐานขอบารมีท่าน บางครั้งองค์แทนที่มีบารมีก็จะมาแทน”องค์หลัก”
  • หรือแม้แต่พระมหาโพธิสัตว์พระแม่กวนอิม ก็ยังมีพระแม่กวนอิมองค์ปฐม” คือ
  • พระแม่กวนอิมองค์แรกที่สร้างบารมีแบบนี้ มีปณิธานแบบนี้ แล้วจึงมีผู้ปฏิบัติตามแนวทางพระแม่กวนอิม ได้สร้างบารมีเดินตามรอยท่าน และตั้งจิตยังไม่ขอเข้านิพพานเหมือนท่าน 
  • เรียก””องค์แทนกวนอิม” จะมีบารมีลดหลั่นกันมา เมื่อเราทำจิตขึ้นไปข้างบนสวรรค์อาจพบพระแม่กวนอิมองค์แทนมากมาย มีกายทิพย์คล้ายพระแม่กวนอิมองค์หลัก เพราะบำเพ็ญมาแนวทางเดียวกัน
  • เช่นเดียวกันบางท่านสร้างบารมีตามแนวพระเจ้าตากสิน พระนเรศวร แม้ยังไม่เสียชีวิตก็ตามพอบารมีถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีกายทิพย์หน้าตาเหมือนพระเจ้าตาก หรือ พระนเรศวร อยู่ในกายหยาบ เมื่อผู้อื่นผู้มีทิพยจักขุญาณมองมาที่คนนั้น เขาจะบอกว่าท่านนั้นคือพระเจ้าตาก บางครั้งทำให้ท่านนั้นก็เลยคิดว่าตนเองคือจิตพระเจ้าตากก็มี ดังนั้นเราจึงเห็นพระเจ้าตากมากมายหลายองค์ในประเทศไทย คนนั้นก็ใช่ คนนู้นก็ใช่ ส่วนมากแล้วท่านนั้นอาจเคยร่วมสร้างบารมีกับพระเจ้าตากมายาวนาน อาจเป็นสหาย หรือ บริวาร มีความจงรักภักดีชื่นชมองค์พระเจ้าตากอย่างมาก ติดตามมาหลายชาติ จึงสร้างบารมีตามรอยพระเจ้าตากมาตลอด ถึงแม้คนนั้นจะเสียชีวิตกลายเป็นเทวดาอยู่ข้างบนแล้วก็ตาม เวลาลงมาแสดงตน เช่นในพิธีไหว้ครูเข้าทรง จึงบอกว่าตนเองคือพระเจ้าตาก แล้วร่ายรำดาบ แต่ส่วนมากจะมีสัมภเวสีที่เป็นบริวารเก่าพระเจ้าตาก มักจะอวดว่าตนเองเป็นพระเจ้าตากมาก ด้วยจิตที่ฝังลึกและต้องการความศรัทธาจากผู้คน

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียร

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียร ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า “ฌาน” เพื่อให้บรรลุ “ญาณ” จนเวลาผ่านไปจนถึง ...
ยามต้น : ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุติญาณ” คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
ยามสอง : ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ” คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ยามสาม : ทรงบรรลุ “อาสวักขยญาณ” คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ ๔ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค 
ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุ
ได้ ๓๕ พรรษา
ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกอดีตชาติที่พระองค์ทรงเกิดมาแล้วได้ทั้งสิ้น ย้อนหลังไปตั้งแต่มีชัยต่อพญามารวัสวดี ลอยถาดทอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรารับมธุปายาสจากานางสุชาดา ทรงสุบินบุพนิมิตมหามงคล ๕ ประการ ย้อนไปจนถึงเมื่อครั้งไปศึกษาวิชากับ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ทรงให้ปฏิญาณแก่พระเจ้าพิมพิสาร ทรงบรรพชา ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาเสด็จหนีออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ ประสูติในสวนลุมพินีวัน ตราบจนเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร และทรงระลึกย้อนหลังไปถึง ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัปป์
ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ สามารถหยั่งรู้การเวียนว่ายตายเกิดของเหล่าสรรพสัตว์อื่นได้หมดเปรียบประหนึ่งผู้ยืนบนปราสาทอันตั้งตระหง่านอยู่หว่าง กลางถนน ๔ แพร่ง จึงสามารถเล็งเห็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมื่อ นั่ง ยืน เดิน เข้าออกจากเรือน หรือระหว่างสัญจรไปตามวิถีแห่งทาง ๔ แพร่ง
ในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทรงพระปรีชาสามารถทำอาสวกิเลสทั้งหลายให้ดับสิ้นไป จนได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ญาณอันประเสริฐอันเป็นเครื่องตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ในเวลาปัจจุบันสมัยรุ่งอรุโณทัย จึงเปล่งพระพุทธสีหนาทปฐมอุทาน ตรัสทักตัณหาด้วยความเบิกบานพระทัยว่า
“นับตั้งแต่ตถาคตท่องเที่ยวสืบเสาะหานายช่างเรือนอันก่อสร้างนามรูปคือตัวตัณหา ด้วยการเวียนว่ายตายเกิดมาตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัลป์ บัดนี้ได้พบและทำลายสูญสิ้นแล้ว จิตของเราปราศจากสังขารเครื่องปรุงแต่งให้เกิดในภพอื่นแล้ว”

คลื่น ตอนที่ 1

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
สำหรับคนที่พร้อมจะอยู่ในหลาย ๆ มิติคะ แต่ถ้าคนจะอยู่ในมิติที่ 3 คือ โลกอย่างเดียวก็ข้าม ๆ ไปคะ
______________
เครดิตป้านบพ์คะ
มันเป็นเรื่องของ คลื่น ตอนที่ 1
โลกทั้งใบในเวลานี้ คือคลื่น หรือการสั่นสะเทือน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีรูป จะต้องมีคลื่นสั่นสะเทือนเพื่อรักษาสถานะแห่งตน
การดำรงอยู่ของเราที่แท้จริง จึงเป็นการดำรงอยู่ของคลื่นจิต
คลื่นความถี่ของจิตที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาคือ "ผู้กำหนด"
กำหนด ความเป็นไปของชีวิตของคนๆนั้น
คลื่นความถี่ที่ละเอียด (สูง) จะนำพาชีวิตของคนๆนั้น
ไปสู่สภาวะที่ดีกว่าคลื่นความถี่ต่ำ
คลื่นความถี่มวลรวมของดวงจิตของผู้อาศัยในท้องถิ่นนั้นๆ
จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของชุมชนนั้นๆ ประเทศนั้นๆ ดวงดาวดวงนั้นๆ
คลื่นความถี่แห่งการสั่นสะเทือนสูงจะนำมาซึ่งความสอดคล้อง
และทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในชุมชน ในประเทศ ในดวงดาวนั้นๆ
คลื่นความถี่แห่งการสั่นสะเทือนที่ต่ำจะนำมาซึ่งความไม่สมดุลทางอารมณ์
และเกิดการทำลายร้างซึ่งกันและกันเพื่อแย่งชิงคลื่น (สูบ)
และมีผลต่อสภาพแวดล้อมและส่วนอื่นๆที่ไม่มีจิตอาศัยให้เสื่อมสลายลง
ผู้ที่ชาญฉลาดและสามารถล่วงรู้ความลับนี้
จึงต้องการชักนำให้ผู้คนเรียนรู้วิธีการยกระดับคลื่นจิตของตน
เพื่อที่จะทำให้สันติสุขบังเกิดขึ้นในชุมชน ในประเทศ ในดวงดาวนั้นๆ
แนวทาง และ วิธีการ ยกระดับคลื่นความถี่ของจิต
ได้กลายมาเป็นสิ่งที่รู้จักกันในนามศาสนา
ส่วนผู้ที่มาแนะนำแนวทาง วิธีการ ก็จะเป็นที่รู้จักกันในนาม ศาสดา
ในโลกนี้ มีผู้ที่เข้าถึงการยกระดับจิตแห่งตนไปให้เข้าสู่คลื่นความถี่ที่สูงมาก
จนสามารถนำพาจิตออกจากคลื่นความถี่และออกจากแรงยึด
ของมิติที่ร่างกายแห่งตนดำรงอยู่ ไปสู่สภาวะที่ "ไม่มี"
คือ"ไม่มี"อะไรเหลืออยู่ แม้แต่ความเป็นคลื่นก็ "ไม่มี"
เป็นที่รู้จักกันในนาม "นิพพาน"
พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธ เป็นผู้รู้ทางเดินนี้
และได้นำมาสอนให้กับเหล่าสงฆ์สาวก พุทธบริษัท ให้ได้รู้จักหนทาง
โลกนี้ ดาวดวงนี้ หรือ ดวงดาวอื่นก็มีความเป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้ทั้งสิ้น
ให้ลองสังเกตดูกันเอาเองว่า จริงอย่างที่กล่าวมาหรือไม่?
ลองชมคลิปนี้ดูนะคะ คุ้มค่ากับเวลาจริงๆ เพียง 14:52นาที
https://youtu.be/AJJ_z6pwUrE
ได้เอาภาพประกอบของดาวเคราะห์ทั้งหลายมาให้เพื่อนๆได้ชมกัน
จะเห็นว่า เป็นคลื่นสั่นสะเทือนทั้งสิ้น
หาใช่รูปทรงที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างโดยหน่วยงานนาซ่า
แล้วเอามาทำให้คนทั้งโลกให้เข้าใจผิดว่าเป็นภาพถ่ายจริง
มันเป็นเรื่องของ คลื่น ตอนที่ 2
ความเป็นคลื่นจึงมีสนามพลังแผ่ออกมา
ลักษณะที่พอจะเปรียบเทียบให้เห็น ก็ให้ดูภาพประกอบ
ภาพที่ 1 เป็นลักษณะการหมุนปั่นของสิ่งที่ประกอบกันของคลื่น
มีลักษณะเป็นวงกลม ที่มีพื้นที่ว่างอยู่ตรงกลางและมีการหมุนวนจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน
หากเป็นมนุษย์ ก็ให้ดูภาพที่ 2 นั่นคือลักษณะของการเดินทางของคลื่นที่หมุนวนนี้
คนที่มีคลื่นความถี่สูงจะมีคลื่นที่สอดคล้องกับสเปกตรัมของแสงที่อยู่สูงสุดของแถบแสง
ที่เริ่มจากสีแดงอันเป็นตัวแสดงให้ทราบว่าจิตตนอยู่ในระดับคลื่นความถี่ต่ำสุด
ไปสู่สีม่วงอันเป็นตัวแสดงให้ทราบว่าจิตตนอยู่ในระดับคลื่นความถี่สูงสุด
พลังงานที่สะท้อนออกมาจากร่างกายสามารถตรวจจับได้
เป็นที่รู้จักกันในนาม ออร่า หรือรัศมีแห่งกายนั่นเอง
(ซึ่งจะมีความละเอียดซับซ้อน จึงจะขอไม่เอามาลงให้มากความไปกว่านี้)
ขอเพียงให้รู้ว่า เราทุกคนต่างมีสนามพลังงานของตน
คนที่มีสนามพลังงานที่ละเอียด หมายถึงคลื่นจิตที่สั่นสะเทือนในความถี่ที่สูง
จะมีพลังอำนาจเหนือคนที่มีคลื่นความถี่ของจิตที่ต่ำกว่า สามารถควบคุมคลื่นที่ต่ำกว่าได้
สสาร พลังงาน คือสองสิ่งที่เรารู้จักในโลกปัจจุบัน
สสารแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน และพลังงานก็แปรเปลี่ยนเป็นสสารได้
ความทุกข์ ความเจ็บป่วย เชื้อโรค ไวรัส มะเร็ง ความดัน เบาหวาน
โรคจิตประสาท เจ้ากรรมนายเวร ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด
ความหิวโหย ความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภโชคชะตา ราศี คาถา คุณไสย์ มนต์ดำ
ผี ปีศาจ นางมาร นายมาร เครื่องราง ของขลัง ของนำโชค พระเครื่อง
ความรัก ความแค้น ความโกรธ ความอาฆาต พยาบาท อิจฉา ริษยา
ฮาร์ป เซิร์น นิวเคลียร์ อีเอ็มพี อีเอลเอฟ เฟซบุ๊ค ยูทูป อินเตอร์เน็ท วาย-ฟาย มือถือ ทีวี วิทยุ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ดาวจริง ดาวเทียม เทวดา นางฟ้า นาคา นาคี ฯลฯ
ล้วนแล้วแต่ เป็นคลื่น ทั้งสิ้น บ้างก็เป็นคลื่นที่มีวัตถุประสงค์ คือมีจิตควบคุม
บ้างก็เป็นคลื่นที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีจิตคอยควบคุมบังคับ
ที่กล่าวมาข้างบนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคลื่นที่มีสนามพลังทั้งสิ้น
สนามพลังของมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในบรรดาคลื่นทั้งหมด
ทั้งนี้เป็นเพราะ มันไม่ถูกจำกัดให้ติดอยู่กับคลื่นความถี่ใดความถี่หนึ่ง
มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถสร้างสนามพลังงานของตนให้อยู่ในระดับใดก็ได้
คุณว่าจริงไหม?
ทีนี้พอจะเข้าใจแล้วนะคะว่า อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ มีความเป็นมาอย่างไร?
แล้วเรามนุษย์ จะสามารถนำพาตนเองให้พ้นจากความไม่ดีจากสนามพลังงานของสิ่งอื่นๆได้อย่างไร?
ชาติตะวันตกบางคนที่มีความโลภ เขารู้ข้อมูลเรื่องคลื่นดี
เขาจึงทุ่มเทศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆมากมาย
จนไปถึงขั้นที่ใช้คลื่น
1.ควบคุมกายภาพของโลก
2.ควบคุมจิตของมนุษย์ ผ่านการส่งคลื่นคำสั่ง
3.ควบคุมดิน ฟ้า อากาศ และทรัพยากร
แล้วเราถูกพวกเขาควบคุมด้วยหรือไม่?
ไม่ต้องหลอกตนเองนะคะ
ชาติไทยตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขามาตั้งนานแล้ว
ภายใต้กรอบความรู้เดิมของคนพวกนั้น
ที่เชื่อมั่นว่า
1ใครควบคุมพลังงานเชื้อเพลิงได้ควบคุมประเทศได้
2.ใครควบคุมการเงินได้ ก็จะได้เป็นเจ้าของโลก
ลองชมภาพประกอบเกี่ยวกับคลื่นที่มีอยู่ในตัวของเรา

กวนอิม.โพธิสัตว์ คือไคร

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ
โพธิสัตว์
กวนอิม.โพธิสัตว์ คือไคร
มี2ฝ่าย กล่าวไม่ตรงกัน
ฝ่ายที่1 กล่าวว่า
กวนอิม.โพธิสัตว์ เป็น ธรรม ปฏิรูป
หมายถึง อุปโหลก กวนอิมโพธิสัตว์
ขึ้นมา เพื่อรวบรวมใจชาว พุทธ ในจีน
ที่แบ่งแยกออกเป็นหลายฝ่าย
ให้เข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
และเป็นผลถึงการเผยแพร่ ธรรม
ของพุทธ ให้กว้างใหญ่ออกไปอีก
(ความคิด)
ฝ่ายที่2 กล่าว่า
กวนอิม.โพธิสัตว์ เป็น พระอโลติเกศวร
ซึ่งเป็นพระสงฆ์ รูปหนึ่งของ นิกายมหายาน
เมื่อตายไป มาเกิดไหม่เป็น หญิงสาว
ผู้มีจิต เมตตา.กรุณา เป็นที่ตั้ง
(ตรงนี้ขัดกับการเกิด เรื่องเพศ)
(บางท่านพูดว่า พระอโลติเกศวร
เป็น พระอรหันต์ (ตรงนี้ผมว่าไม่ไช่)
สิ่งที่ไช่.คือ
โพธิสัตว์ จะไม่สำเร็จ เป็น อรหันต์
เป็นเพียง ผู้สร้าง บารมีธรรม เท่านั้น
โพธิสัตว์ คือผู้ปราถนา พุทธภูมิ
คือต้องการเป็น พระพุทธเจ้า อย่างเดียว
อะไรก็ช่าง อย่าไปรับรู้ให้มากเรื่อง
รู้เพียงว่าท่านคือ กวนอิมโพธิสัตว์ ก็พอแล้ว
กวนอิมโพธิสัตว์ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งหนัก
ผมเคย ไอ อยู่3วัน ไอ จนแทบทนไม่ไหว
มันทรมารร่างกายเหลือเกิน
เจ็บหน้าอก เจ็บที่คอ ตัวงอ เวลา ไอ
ไอ แบบไร้เหตุผล ไอ แห้งๆ
วันที่3 ทนไม่ไหว นึกหาวิธีที่ทำให้หายไอ
ดันไปนึกถึง กวนอิมโพธิสัตว์
เลยก็ลอง อธิฐาน แบบเล่นๆ
กวนอิมโพธิสัตว์
หากแม้นท่านทำให้ผมหาย ไอได้
ผมจะเลิกกิน เนื้อวัวเนี้อความ ตลอดชีวิต
แต่ไม่กิน เจ นะ (นี่แหละฅนไม่มีทางไป)
อธิฐาน เพียงเท่านี้ ท่านเชื่อ เถร กวาดวัดไหม
พออธิฐานเสร็จ ไอ หายเดี๋ยวนั้น
หายเดี๋ยวนั้นจริงๆ และไม่ ไอ อีกเลย
จนทุกวันนี้ 20กว่าปีแล้ว
และก็เลิกกิน เนื้อวัว เนี้อควาย
มาจนถึงทุกวันนี้ (ตามคำ อธิฐาน)
(เคยตักแกงเผ็ดไส่ปาก พอเคี้ยว มันเหนียวๆ
รสเหมือนเนื้อควาย หยุดเคี้ยวหุบปากนั่งคิด
จะคลายทิ้งก็ไม่ได้ มีฅนมาก จะลุกก็ลุกไม่ได้
เลยบอกในใจว่า อย่าว่ากันนะ มันจำเป็น
แล้วก็กลืนลงคอ ตอนกลืนมันตันๆที่คอ
ยังไงบอกไม่ถูก และกินอย่างอื่นจนอิ่ม
ที่เล่ามา เป็นเรื่องจริง
ท่านทั้งหลาย ลองอธิฐาน กันบ้างนะ
ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ.กวนอิมโพธิสัตว์...

441. องค์ลง...องค์หลอก

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
441. องค์ลง...องค์หลอก.. ?
  • พวกภูตผีเทวดา มีกำลังญาณในการหยั่งรู้ไม่เท่ากัน จึงตอบผิดถูกไม่เท่ากัน การที่ผีหลอกคน และเทวดาทายทักผิด ก็เป็นเรื่องปกติ แม้แต่เป็นการเข้าทรงจริงก็ตาม 
  • การเข้าทรงนี้ เป็นวิชาหนึ่งในทางโยคะ เรียกว่า”การหลอมรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมัน” หรือ”การสื่อจิตถึงองค์มหาเทพ” ยิ่งองค์หลอก(ไม่มีองค์จริง,อุปทานว่ามีองค์,องค์แทรก)..อย่าไปยุ่งเลย..ชีวิตยิ่งดำดิ่งแย่ไปตามกิเลสมากขึ้นอีก
  • ส่วน ร่างทรงก็คือคนปกติที่มีกิเลส แม้ว่าจะเป็นการเข้าทรงจริงก็ตาม จึงอาจมีการหลอกลวง การขูดรีด และเรียกค่าบริการที่สูงตามกิเลสของร่างทรง ขึ้นอยู่กับร่างทรงที่ดีกับร่างทรงที่ไม่ดีอีกด้วย
  • ส่วนองค์ที่ประทับทรง มีทั้งจิตวิญญาณที่มากจากนรกและสวรรค์นั้น พอจะแยกได้ดังนี้
    • ๑) ถ้าเข้าเข้าตอนจิตตก จิตอ่อนกำลัง มักจะเป็น “สัมภเวสี” (พวกนี้กำลังจิตน้อยกว่าคนปกติ จะเข้าตอนเผลอ) ยกเว้น มารนรกที่มีฤทธิ์มาก จะครอบงำจิตคนได้มาก
    • ๒) ถ้าเข้าแล้ว ออกได้ง่ายเพียงแค่ร่างทรงได้สติ อาจเป็นสัมภเวสีธรรมดา
    • ๓) ถ้าเข้าเป็นเวลา ออกเป็นเวลา มีระเบียบเรียบร้อยมาก มักเป็นเทวดาชั้นสูง และมักยกเว้นการเข้าทรงในวันพระ สำหรับเทวดาที่มีกิจไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์
    • ๔) ถ้าเข้าแล้วชอบกินแต่ของคาวๆ เหม็นๆ เน่าๆ เลือดหรือเนื้อสดๆ มักเป็นจิตวิญญาณชั้นต่ำ เป็นพวกอสุรกาย และ พวกกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉานที่ยังเหลือในสมัยโบราณ ที่ไม่ใช่นาค
    • ๕) ถ้าเข้าทรงแล้วชอบแต่ของสวยๆ งามๆ ประณีต ของหอม มักเป็นเทวดาประเภทนางฟ้าชั้นสูงๆ
    • ๖) ถ้าเข้าทรงในงานไหว้ครู มักแสดงความสามารถที่ตนมี เช่น อยู่ๆ ร่ายเวทย์มนต์, ลุกขึ้นรำ, ฯลฯ มักเป็นเทวดาจำพวกที่เรียนวิชชาสายต่างๆ ต่างครูบาอาจารย์บนสวรรค์ จึงปฏิบัติบูชาด้วยการแสดงความสามารถที่ครูสอนให้ เพื่อบูชาแด่ครูบาทั้งหลาย เราจึงพบองค์แสดงเป็นพระเจ้าตาก องค์พ่อปิยะร.๕ องค์นารายณ์ องค์แม่ลักษมี องค์พระอุมาเทวีองค์ องค์ปู่นาคราชมากมาย
    • ๗) การแสดงอิทธิฤทธิ์ มาวัดบารมีไม่ได้ เทพเทวดาบางจำพวกเน้นด้านปัญญา จึงไม่จำเป็นต้องแสดงฤทธิ์เสมอไป บางพวกมีฤทธิ์แต่ไม่ใช้ฤทธิ์ก็มี สมควรวัดบารมีที่ศีลและบารมีมากกว่า .ให้ดูคำสอนตรงกับหลักธรรม หลักศีล หลักพรหมวิหารหรือไม่
    • ๘.)นอกจากนั้น ยังดูที่วิธีการลงด้วย ถ้าเข้ามาทางข้างบน หรือ ศรีษระมักเป็นเทพชั้นสูง และเทพชั้นนี้จะไม่มาแทรกในร่าง แต่จะใช้ส่งกระแสจิตมาบังคับแทน ส่วนเทพชั้นล่างๆ ยิ่งพวกสัมภเวสี อสูรกาย มักจะเข้าทางด้านล่าง และบางพวกจะยึดอาศัยอยู่ในร่างเลย เช่นผีปอบ มันจะกินพลังงานของร่างไปหมด จนร่างทรุดโทรม แต่จะยังไม่ตาย
    • ๙)สำหรับผู้มีตาทิพย์และทิพยจักขุญาณ ย่อมมองทะลุร่างทรง ก็จะเห็นวิญญาณ หรือ องค์ที่ลงว่า เป็นผู้ใด ใช่ตามที่แอบอ้างหรือไม่ หรือแม้แต่เห็นกายทิพย์แล้ว ยังมีกายทิพย์หลอกอีก ต้องเพ่งมองทะลุกายทิพย์ไปอีก อาจพบเป็นกายอสูรกายก็ได้..
  • ข้าพเจ้านามมะโน มิได้เป็นร่างทรงแต่อย่างใด แต่รู้จักกับร่างทรงพอสมควร ถ้าเราพบร่างทรงและองค์ที่ดีมีบารมีจริง เราจะสามารถเรียนรู้โลกวิญญาณ ได้อย่างมากมาย”ดุจห้องสมุดสรรพวิชา” ยิ่งถ้าท่านพบร่างทรงที่มีองค์ระดับ”สมณเทพ” คือ ครูสอนชาวทิพย์ข้างบน(ส่วนมากเป็นพระสงฆ์ตอนมีชีวิตอยู่ เป็นพุทธภูมิ มีอภิญญาลาเข้าสาวกแล้ว แต่ยังต้องมีกิจดูแลทางโลกอยู่) เวลาท่านจะลงร่างทรงที่เป็นสีกา(ผู้หญิง) ท่านจะให้เทพผู้ดูแลเขตนั้นลงครอบก่อน แล้วท่านจึงจะลงสวมอีกชั้นหนึ่ง เวลาลงจะนิ่งสนิท ไม่สั่นมากมาย ฉันหมาก พลู สอนธรรมได้ดีมาก ความเมตตาสูงมาก

443. คำอธิษฐานขอพร แห่งโพธิญาณ

ในภาพอาจจะมี 4 คน, คนที่ยิ้ม

443. คำอธิษฐานขอพร แห่งโพธิญาณ
  • การอธิษฐาน เป็นการสร้างบารมี ในบารมี๑๐ ทัศน์ ยิ่งเป็นการอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ นับเป็นมหากุศลจิต เป็นสิ่งที่ดีงาม การอธิษฐานเช่นนี้ทำให้ดวงจิตมีกระแสพุ่งออกไป สะเทือนไปถึง ๓โลก ทวยเทพเทวดาต่างโมทนายินดีในปณิธานดีงามนี้ เราควรอธิษฐานทุกวัน เพื่อปลูกฝังโพธิในใจของเราให้เติบโตเบ่งบาน
  • โอม มานี เป เม ฮง(แบบวัชรยานทิเบต) หรือ โอมมณี ปัทเม หุม(ฮุม) (แบบมหายานจีน)
  • ขออาราธนาบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
  • พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
  • พระอรหันตสาวกทั้งหลาย จงประสิทธิ์ประสาทผล
  • ดลบันดาล รวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน 
  • ให้คำขอพรของข้าพเจ้า บรรลุผลตามปารถนา ดังนี้ด้วยเทอญ...
  • * ขอให้ความปราถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน จงได้รับการอุปถัมภ์สนับสนุนให้ตลอดรอดฝั่งถึงแดนพุทธภูมิ อุปสรรคขัดขวางอันใด จงแปรเปลี่ยนไปเป็นพลัง และปัญญาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป
  • * ขอให้ความปรารถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อการยังชีพอย่างพอเพียง จงครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกด้าน เพียงพอแก่การยังชีพเยี่ยงฆราวาสผู้ทรงธรรม จงหนุนนำคล้อยนำไปในทางแห่งสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว ปิดอบายภูมิทั้งสี่โดยพลัน
  • * ขอให้ความปรารถนาใดๆ อันเป็นไปเพื่อการสนองกามคุณ จงกลายสภาพเป็นสภาวธรรม แห่งไตรลักษณ์ อันหนุนนำสู่การบรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เป็นเครื่องหนุนนำ เพื่อการบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมี ตลอดไป
  • * ขอให้จิตข้าพเจ้า อุดมปัญญาดุจแสงไฟ พลิ้วไหวดุจสายลม อ่อนโยนดุจสายน้ำ กล้าแกร่งดุจหินผา
  • *ขอให้ข้าพเจ้า พร้อมครอบครัว และญาติมิตรจงประสบแต่สิ่งดีงาม อยู่ใต้ร่มโพธิ ร่มไทรในพุทธศาสนาตลอดไป
  • **ขอกำลังแห่งพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์
  • กำลังแห่งธาตุทั้งสี่อันเป็นรากฐานแห่งฤทธิ์
  • ประสิทธิประสาทร่วมกำลังให้เป็นจริง 
  • เพื่อเป็นปัจจัยให้ถึง ฝั่งโพธิญาณ ฝั่งพระนิพพาน ด้วยเทอญ
  • นะ โม พุทธ ธา ยะ
  • นะ มะ พะ ธะ
  • จะ ภะ กะ สะ
  • นะ มะ อะ อุ
  • โพธิญาณะ นิพพานะ ปัจจโยโหตุ

ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, ต้นไม้, ธรรมชาติ และ สถานที่กลางแจ้ง
ดอกพยอม