วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

437. คนทรง วิญญาณ .กับ อิสระแห่งจิต*

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
437. คนทรง วิญญาณ .กับ อิสระแห่งจิต*
ก่อนที่วิญญาณจะเข้ามาประทับทรงจิตเค้าก็สงบลงเป็น สมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งมีความสบายเบา กายก็เบา กายก็เบา กายก็สงบ จิตก็สงบ เมื่อใดที่เขาจะให้วิญญาณประทับทรง เขาจะนั่งสมาธิ พอจิตเริ่มสงบภาพนิมิตของวิญญาณก็มาปรากฏ เค้าก็น้อมจิตเอาภาพนิมิตนั้นเข้าไปในตัว แล้วก็เป็นการประทับทรง
เมื่อวิญญาณเข้ามาประทับทรงแล้ว ความเบากาย เบาจิต เปลี่ยนเป็นความหนักกายหนักจิต
กายเปรียบเหมือนถูกบีบ จิตก็เปรียบเหมือนถูกบีบ เพราะมีอำนาจอื่นเข้ามาบีบ มาควบคุม
หลังจากนั้นเค้าก็ไม่เป็นตัวของตัว ตกอยู่ในอำนาจของวิญญาณที่เข้ามาประทับทรง
หลังจากนั้นจะทำอะไรแสดงกิริยาอาการคำพูดอะไรออกมา
เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของวิญญาณไปหมด มารู้ตัวอีกที เมื่อวิญญาณประทับทรงจรออกไป

ภายหลังเค้าก็ตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ทรงวิญญาณ จะยึดแต่พุทธะ ธรรมมะ สังฆะ เท่านั้นเป็นที่พึ่งตลอดไป ไม่ต้องการร่วมสร้างบารมีกับใครเพื่อสืบภพสืบชาติอีกต่อไป
พอทำจิตให้สงบลงไป มีสมาธิลงไป มีปีติ มีความสุข มีความสว่าง
...แล้วภาพวิญญาณที่เคยเข้ามาประทับทรง ก็ปรากฏขึ้นมา
ในตอนนี้จิตของเค้าก็นึกต่อต้าน ไม่ให้วิญญาณเข้ามาทรงแน่ เพราะในจิตของเรามี แต่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ประทับอยู่แล้ว จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระเป็นสรณะ เค้าก็กำหนดจิตเพ่งดู ภาพ วิญญาณที่มองเห็นอยู่นั้น เจ้าวิญญาณนี้ ก็เดินถอยหน้าถอยหลัง จะเข้ามาบ้างไม่เข้ามาบ้าง
ในที่สุดร่างของวิญญาณเนื้อหนังถูกพลังจิตของเค้าทำลายไปหมด
ยังเหลือแต่โครงกระดูก ในที่สุดโครงกระดูกก็ถูกพลังจิตของเค้าทำลายให้แหลกละเอียดไป
จนไม่มีอะไรเหลือ
หลังจากนั้น ภาพนิมิตที่เป็นการทรงวิญญาณ
ไม่เคยมาปรากฏกับเค้าอีก เค้าภาวนาทีไร
จิตสงบลง แล้ว ก็มี ปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
ถูกต้องตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จิตที่เป็นอิสระ
อนึ่ง บทความนี้ ไม่ใช่ว่าการทรงเจ้าไม่ดีทั้งหมดนะ เพียงแต่ถ้าผู้นั้นต้องการเข้าสู่อริยะในชาติปัจจุบัน จำต้องทำจิตให้มีไตรสรณคมภ์เป็นที่พึ่ง ให้จิตของเราเป็นเนื้อเดียวกับพระรัตนตรัย ทำจิตให้เป็นอิสระจากการครอบงำของดวงจิตอื่น เพื่อให้ดวงจิตเราได้เดินปัญญา เพราะไม่มีดวงจิตประทับทรงองค์ไหน จะเดินปัญญาให้เราได้ เราต้องทำเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น