๔๕๘. ระบบจัดการวิญญาณใน ๓ ภพ..
ทุกดวงจิตถ้ายังมีเชื้อไฟแล้ว ย่อมจุติตามสถานที่เหมาะสมกับกรรมที่ส่งผลก่อนก่อนจุติ ตามระบบการเวียนว่ายตายเกิด ใน ๓ ภพ
๑) อสถาน (ทุกข์ล่องลอย)
- คือ สถานที่ ไม่ได้อยู่ในสารระบบการจัดการเวียนว่ายตายเกิดของนรก, โลก, สวรรค์ ไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของพระยายม (ภพนรก), ไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของโลก (โดยพระอินทร์) และไม่มีรายชื่อในกระบวนการจัดการของสวรรค์ ทำให้ดวงจิตเป็น “จิตวิญญาณเร่ร่อน” หรือ “สัมภเวสี” ไม่ได้ไปผุดไปเกิด
๒) นรก ( ทุกข์รอคอย)
- คือ สถานที่ ไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ทรมาน เป็นสถานที่ชดใช้เวรกรรมที่ทำมาให้เบาบางลง จึงรับผลกรรมที่เหลือน้อยลงเมื่อยามเกิดบนโลก จิตวิญญาณของสัตว์นรกจะต้องถูกทรมานก่อนเพื่อให้ระลึกความผิดบาป และยอมละเลิก ตั้งจิตกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แล้วรอคิวเกิด
๓) โลก ( สุข ใน เสื่อม)
- คือ สถานที่ที่ได้รับการเพาะบ่มดูแล ของสิ่งมีชีวิตและดวงจิตต่างๆ รับพลังชีวิตลง เรียกว่า “วิญญาณาหาร” หรือ “ปราณชีวิต” หรือ “ออร่า” เพื่อให้สิ่งมีชีวิต ได้ชดใช้เศษกรรมเก่า บำเพ็ญเพียร และพัฒนาจิตตนเอง ไปยังถานที่ถูกที่ควรอันเป็นที่สุด คือ สุขาวดีและแดนนิพพาน
๔) สวรรค์ ( สุขบนเสวย)
- คือ สถานที่พักของดวงจิตที่บำเพ็ญคุณงามความดีมากกว่าความชั่ว เป็นภพที่มีความสวยสดงดงามและมีสุข มีความเสื่อมน้อย (เทวดาบนสวรรค์ก็มีทุกข์ได้เพราะกิเลสเผาใจให้เร่า )
- ๑ ชาติในภพสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ดังนี้ เมื่อมนุษย์ตัดต้นไม้ใหญ่เพียงหนึ่งต้น เท่ากับ รุกขเทวดาผู้นั้นไม่มีที่อยู่อาศัยไปนานถึง ๒๐ ปี จนกว่าต้นใหม่จะขึ้นมา
๕) พรหมโลก ( สุขบนความไม่รู้)
- คือ สถานที่พักของดวงจิตที่บำเพ็ญเพียรทางจิตขั้นสูงจนได้ฌาน พรหมไม่มีเพศ ไม่มีการร่วมรัก ไม่มีการครองคู่ เป็นดั่งนักพรต หรือฤษีโดดเดี่ยวสงบสุขสมถะ มีความปราศจากกิเลสได้ชั่วคราว แต่ไม่ถาวร พรหมจะได้เกิดเป็นมนุษย์จึงไม่บ่อยเท่ากับเทวดาที่ขยันลงมาเกิด
๖) สุขาวดี ( ทิพยสุขบนปัญญา)
- คือ สถานที่ที่มีแต่ความสุขอย่างเดียวเท่านั้น พร้อมด้วยปัญญา ไม่เสื่อมแบบโลกมนุษย์ โดยจิตที่จุติสุขาวดีนี้มี ๒ ประเภท คือ
- ๖.๑) ปฏิสนธิจิต (จิตที่มีการปฏิสนธิชาติภพใหม่)
- เมื่อหมดวาระก็ต้องเกิดใหม่อีก ไม่สถิตถาวร หรือได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเกิดอีกเพื่อโปรดสรรพสัตว์ จึงสามารถเกิดได้อีกตามจิตปรารถนา หรือตามการร้องขอของปวงสรรพสัตว์ หรือตามการบัญชาขององค์พระพุทธเจ้าต่างๆ ในแดนสุขาวดี มีทั้งจิตที่พ้นอวิชชา “กิเลสนิพพาน” หรือ “บรรลุธรรม” แล้ว
- แต่ได้ตั้งความปรารถนาเพื่อจะทำสิ่งดีงามต่อไป เป็นจิตที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยปัญญา ได้แก่ พระมหาโพธิสัตว์, พระอรหันต์โพธิสัตว์ทั้งหลาย เช่น เจ้าแม่กวนอิม, พระจี้กง, พระสังกัจจายน์ ฯลฯ ดวงจิตเหล่านี้สามารถเกิดใหม่เพื่อโปรดสัตว์ได้อีก
- ยังมีจิตที่ปนอวิชชา คือ ดวงจิต จึงยังไม่บรรลุธรรม แต่ได้บำเพ็ญบุญบารมีมาก ได้ตั้งจิตตรงมายังสุขาวดีด้วยการระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ใน เมื่อสิ้นใจลง จิตจึงเคลื่อนมาปฏิสนธิยังสุขาวดีได้ จำต้อง “ฟักตัว” ในดอกบัวก่อน ระหว่างนั้น จะได้ฟังธรรมของพระอมิตาภพุทธเจ้าจนกระทั่งได้บรรลุธรรม พ้นจากความทุกข์ทั้งมวลแล้ว จึงออกจากดอกบัวนั้นได้ และเป็น “โพธิสัตว์” โดยสมบูรณ์ ซึ่งสามารถเกิดใหม่ได้อีกด้วย
- ๖.๒) นิพพานจิต
- คือ จิตที่ไม่มีการปฏิสนธิอีก เป็น “จิตอรหันต์” ทั้งหลาย แดนสุขาวดี ประกอบด้วยดินแดนของพระพุทธเจ้าที่นิพพานแล้วทั้งหลายมากมาย เช่น
- ด้านทิศตะวันตก เป็นดินแดนของพระอมิตาภะพุทธเจ้า,
- ทิศตะวันออก เป็นดินแดนของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ฯลฯ
- ทั้งยังมี “สาวก” หรือ “อรหันต์สาวก” ประทับอยู่ด้วย
- บางท่านบรรลุอรหันต์ที่แดนนี้ ด้วยการเทศนาสั่งสอนของพระอมิตาภพุทธเจ้า ไม่ลงมาเกิดอีกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น