677. .. หลง..
- ..หลง.. คือ.. ไม่รู้ความจริง.. หลงในสิ่งใด ก็จะยึดติดในสิ่งนั้น ต้องเวียนตายเวียนเกิดไม่จบไม่สิ้น ความหลงมีหลายระดับ หลงโลก หลงอารมณ์ (มาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ทำให้เกิดทุกข์
- เรา(จิต)..มักหลงกาย กายที่ไม่เที่ยง เป็นตัญหาอุปทาน หลงในกามคุณ 5 รสสัมผัส... ดุจลมพัดผ่าน .แม้เมื่อไถ่ถอนกิเลสหยาบ ปล่อยวางทางโลกแล้ว เรายังมาหลงดีอีก นำความดีมายึดถือไว้ จนทำให้เหนื่อยให้หนัก ..
- .. เมื่อเลิกหลงโลก .. ยังหันไปหลงบุญ .. หลงธรรม.. แทนอีก เพราะธรรมนั้นเป็นสภาวะที่เย็นกว่า สงบกว่า หลงโลกกับหลงธรรม มันก็ยึดเกาะเหมือนกัน ต้องเวียนเกิดตายเช่นกัน …..
- การหลง เกาะยึด ก่อให้เกิด”อัตตา” พออัตตาเกิด กิเลสตัณหา อุปาทานก็เกิด ไม่ควรยึดถือไว้โดยทั้งปวง
- ..บางท่านก็หลงองค์ หลงเทพ หลงนิมิต หลงบารมี ยิ่งสมัยกึ่งกลางพุทธกาลนี้ เหล่าองค์เทพ พรหม อาสาลงมาดูแลพุทธศาสนามาก จึงมีการสื่อ ประทับทรง กับมนุษย์กายหยาบที่มีบุญสัมพันธ์กัน
- ..แม้จะมีความปารถนาดีมีจิตเมตตา แต่ด้วยองค์เทพพรหมท่านมิได้เป็นอริยะเทพ.. อริยะพรหม.. จึงไม่รู้แจ้งในคำสอนพระพุทธองค์ จึงสื่อคำสอนถูกบ้างผิดบ้าง ตามความรู้ที่ตนมี เทพพรหมที่หลงมาก ยิ่งสื่อคำสอนที่”เพี้ยนมาก” ตามไปด้วย เมื่อองค์เทพพรหมท่านยังไม่ปารถนานิพพานชาตินี้ แล้วร่างทรงองค์เทพ..ที่มีสัญญากัน จะเข้าสู่อริยะ เข้าสู่นิพพาน อย่างไร..?
- ....ส่วนร่างทรงองค์เทพ และ ผู้เห็นกายทิพย์เทพพรหม..ด้วยความศรัทธาจึง”หลง”ตามองค์ไปด้วย..บางท่านเห็นมาก เห็นบ่อยๆ จนหลงว่าตนเอง”คือ”องค์เทพพรหมชั้นผู้ใหญ่เลย”
- ..หลงตนเองเป็นผู้มากบารมีจะมาช่วยโลกและสรรพสัตว์...มิได้มองความจริงในใจตนเอง ที่ยังมีกิเลส มีความสะเทือน เมื่อถูกกระทบ .มีอารมภ์ฟุ้งซ่าน.มีนิวรณ์
- จำเป็นมาก ที่เราจะต้องยึด พระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นหลัก เป็นสัจธรรมแท้ มิแปรผัน ไม่เกี่ยวกับกาลเวลา
- ต้องยึดมรรคองค์8- ไตรสิกขา- บารมี10 -สังโยชน์10 เป็นแผนที่ อย่าหลงนอกเส้นทางนี้..ถ้าคิดจะตัดภพตัดชาติในชาตินี้..
- ...ปุถุชนหลงแบบปุถุชน อริยะหลงแบบอริยะ โสดาบันหลงแบบโสดาบัน สกทาคามีหลงแบบสกทาคามี อนาคามีหลงแบบอนาคามี ล้วนเรียก”ผู้หลง”
- ยังไม่แจ้ง ยังต้องมีภพรองรับจิตวิญญาณ..ยังมีอีก..มิได้เป็น”อริยบุคคล”..แต่หลงว่าตนเป็น..และหลงอริยะขั้นต้น ว่าเป็นอริยะขั้นสูง..
- ***..เราต้องฝึกปัญญารู้เท่าทัน ตามความเป็นจริงของโลก ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สลายไป รู้โลก คือรู้ เมื่อรู้จักธรรมะ ก็รู้แจ้งโลก เมื่อรู้แจ้งโลก ก็ไม่ติดในโลก เป็น “โลกวิทู รู้แจ้งโลก”ปล่อยวาง ในสิ่งทั้งหลาย
- สิ่งใดที่ปรากฏขึ้น จงกำหนดรู้ แต่อย่าถือเอา ไม่หลงชั่วหลงดี อย่าหลงธรรม ธรรมอยู่ในกายกับจิต .. ผู้รู้..หรือ “สติ” ให้รู้อยู่ในกายตลอด จะเห็นความเคลื่อนไหวของใจ ปล่อยให้คิดไป
- แต่ให้มีสติกำหนดตามรู้ ความคิด จะกลายเป็นปัญญาในสมาธิ ถ้าจิตเฉยๆให้รู้ที่จิตเฉย ถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่าง ถ้าจิตคิดรู้ที่ความคิด เราจะเห็นชัดต่อความเกิด-ดับของใจ เมื่อใจดับใจได้ อาการของใจจึงจะกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเจือปน
- ..... เมื่อจิตไปนิ่ง รู้เฉยอยู่ ให้กำหนดตัวผู้รู้ จะเห็นจิตเห็นใจของเรา อะไรผุดขึ้นมา จิตจะกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อรู้ชัด ย่อมวาง เมื่อ วาง ย่อมพ้น ย่อมเบา ย่อมรู้ชัด ว่าภพชาติจบสิ้นแล้ว ภพหน้าไม่มีแล้ว.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น