วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎก

ในภาพอาจจะมี 1 คน

  • เคยสงสัยว่าตอบจบของไซอิ๋วคืออะไร เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังสักที 
  • เคยฟังแต่เค้าเล่ามากับดูละครช่อง 3 รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยยืมท่านเสวียนจ้าง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่แต่งให้มีอภินิหารอ่านสนุก ก็เท่านั้น ....
  • วันนี้เลยนั่ง google ดู กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า 
  • ทำไมไซอิ๋วคือนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น 
  • แต่ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน
  • รู้แค่ว่าพระถังคือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วย
  • ซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย 
    • โทสะ - หงอคง โกรธ , 
    • โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ , 
    • โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้
  • ก็แค่นั้น จน Google เจอที่เค้าอธิบายแต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งเลยในความสามารถของคนแต่ง
  • หงอคงแปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย 
  • ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้ การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น เป็นต้น
  • และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะ เราจะเหมือนหงอคง แผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง
    • แต่หงอคงแพ้อะไร ? 
    • โดนขังไว้ที่อะไร ? 
    • ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว
  • ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน ขันธ์ 5 
  • ต่อให้จิตแน่แค่ไหน สุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
  • นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดปัญหา 
  • พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
  • ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป
  • ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า
  • จะไปชมพูทวีปผมพา อาจารย์ตีลังกาไปได้ 7 ทีถึง
  • มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ พระถังบอกว่าไม่ได้ต้องเดินไป
  • ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญหา ฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แปบเดียวก็ไปถึงนิพพานละ
  • เช่น เนี่ยคนเล่าให้ฟังอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ฟังเข้าใจละ แต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ 
  • เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึง ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป ถึงจะถึง
  • โป๊ยก่าย คือศีล 8
  • ซัวเจ๊ง คือสมาธิ
  • ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์
  • แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน
  • ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย
  • เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา
  • ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ 
  • แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวาง
  • ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว
  • คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล
  • พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ ท้ายที่สุดถ้าปฎิบัติไม่ไหวก็ถามผู้รู้เอา .... จบแน่นอน
  • ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็เจ๋งมาก
  • เช่นเมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป
  • สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย
  • โจรทั้งหกคือ อายตนะ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ 
  • ต้องเอา ปัญญา (ตะบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้
  • แล้วก็เจอปีศาจไปเรื่อยๆ อ่านยังไม่จบ ท่าทางอีกหลายวัน
อ้อ แต่แอบโกงมาละ เปิดดูตอนจบ
  • สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ เดินทาง
  • กำจัดกิเลสไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร
  • ตอนจบพระถังและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
  • สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง
  • จนเจอเรือไร้ท้องเรือจอดอยู่ พระถังกังวลมาก
  • เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากยังไง
  • แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป
  • แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส
  • เรือนั้นแทน สุญญตา ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
  • เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป
  • และได้คัมภีร์มา เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม
  • แทนธรรมมะ ซึ่งคือความว่างเปล่า ...นิพพาน
  • แต่สุดท้ายเห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปจีนหน่อย
  • เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ
  • เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร
  • บันทึกการเดินทาง เรียกว่า พระไตรปิฎก ... จบ
  • อ่านแล้วคารวะคนแต่งเลย .... โห เก่งจัง
  • ปล. เข้าใจว่ามีหนังสือแปลที่ละบททีละตัวละคร ชื่อ "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ว่าแล้วต้องไปหามาอ่านก่อน
  • ถามว่าถ้าพุทธ มีไซอิ๋ว แล้วคริสต์ละมีไหม
  • ว่ากันว่าของศาสนาคริสต์ คือ นาเนียร์
  • ใช่แล้วที่ทำเป็นหนัง มี 7 เล่มแทนบาป 7 ประการ

วัชรยานในเนปาล

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


  • มงกุฎสำหรับสวมประกอบพิธีกรรมในพุทธศาสนาวัชรยานในเนปาล สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1677 
  • ได้มาจากหุบเขากาฏมาณฑุ เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert Museum ในลอนดอน
  • วัชรยานในเนปาล หรือพุทธศาสนาแบบเนวารี เป็นพุทธศาสนาที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ หลงเหลืออยู่ในแถบชุมชนหุบเขากาฏมาณฑุ 
  • พุทธศาสนาแบบเนวารีไม่มีพระภิกษุสงฆ์สืบทอดศาสนา มีแต่อนุศาสนาจารย์ หรือวัชราจารย์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัว 
  • ลักษณะคล้ายกับพราหมณ์เป็นผู้นำการประกอบพิธีแบบพุทธวัชรยานซึ่งผสมกับองค์ประกอบของศาสนาพราหมณ์

การออกจากอาบัติ

ในภาพอาจจะมี ต้นพืช, พื้นหญ้า, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง

" ใจใสบริสุทธิ์ซะอย่าง ไม่ต้องกลัว อาบัติ "
เรื่องอาบัติ 
เป็นคำที่ต้องตีความหมายให้ลึกและละเอียด 
ไม่งั้นเอะอะก็จะเพ่งโทษว่าอาบัติๆๆๆ
ข้อธรรมต่างๆ 
ที่ได้บัญญัตไว้สำหรับคนทั้งหลาย มันจะดูเป็นก้อนๆ
และคนที่ไม่รู้เหตุ 
อะไรคือทุศีล อะไรคือศีล
มันก็จะเอาความรู้อันเป็นก้อนๆ นี้ ขว้างใส่เอา
ถ้าภูมิธรรมเข้าใจเรื่องศีล เป็นใจที่มีศีล 
ผู้มีศีล
ก็จะเข้าใจเรื่องอาบัติ
อาบัติทั้งหลาย
เกิดจากเจตนาที่หลงและไม่มีสติเป็นเหตุ
คนไม่มีสติ 
ทำอะไรก็จะทำไปตามความพึงพอใจของตัวเอง 
อาบัติมันเกิดกันตรงนี้ 
พวกไร้ภูมิ 
มันก็จะเอาอาบัติเพราะข้อศีลมาเป็นตัวทิ่มแทง
การทิ่มแทง 
หากเอาข้อศีลมาทิ่มแทงใจตนเอง
มันน่าสรรเสริญ 
แต่หากนำมาทิ่มแทงผู้อื่นเพื่อยกตน
บะก็เหี้ยถือศีลดีๆ นี่เอง
แม้แต่การยึดมั่นในข้อศีลอย่างขาดปัญญา 
มันก็เป็นตัวขวางมรรคผล แทนที่จะสูงขึ้นด้วยมรรคผล

พุทธศาสนา
ชี้ให้เห็นและเข้าใจสัจธรรม
ที่มุ่งความเห็นอันเกิดปัญญา 
ไม่ใช่เชื่อสืบๆ ต่อๆ กันมาอย่างหัวปักหัวปำ
เราลอกตำราเขามาปฏิบัติ 
แต่เราไม่ได้ปฏิบัติจริง 
เราเอาแต่คำแห่งตำรามาเป็นตัวตน
เมื่อเป็นตัวตน 
มันก็เอาคำแห่งตำรามาเพ่งโทษคน 
ที่ไม่ว่าตามตำรา นี่พวกขาดเหตุขาดผล 
และ
โต่งเข้าไม่ถึงความเป็นมรรคผลแห่งสัจธรรมแท้
ผู้เดินตามธรรมเมื่อถึงจุดหนึ่ง 
เขาก็จะเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยลงไป
มันจะเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายที่ตำรากล่าวๆ มา 
มันเป็นเปลือกที่มีเนื้อเยื่อซ่อนอยู่ภายใน 
ข้อศีลต่างๆ มันเป็นหนทางให้ใจ 
มันมีที่ตั้ง
ในการคลำเข้าไปหาความจริง
และรักษาใจ
เรานำข้อศีลมาประคองใจตน 
ไว้ใช้สำหรับใจคนที่ยังอ่อนแอ 
และ
เพื่อการอยู่ร่วมกันกับชนหมู่เหล่า 
สำหรับคนที่ใจมันแข็งแรงแล้ว 
ศีลนี่เป็นความหมายแห่งใจที่เป็นกุศล 
กุศลนี้เป็นปกติแห่งใจ ที่เป็นธรรมดาของมัน
ใจที่เป็นกุศล 
ย่อมมีความละอายชั่วกล้วบาปกันอยู่แล้ว
ใจที่ละอายชั่วกลัวบาป 
ย่อมทำอะไรด้วยสติที่เป็นเหตุเป็นผล
ตรงนี้ 
ความอาบัติมันไม่เกิดขึ้นกับใจ
แต่หากมีตัวจัญไร 
บอกว่า นี่ทำอย่างนู่นนั่นนี่ ผิดจากข้อธรรมวินัย
เราก็ปลงอาบัติไปตามที่โลกเขาว่าซะ 
ก็หมดเรื่อง 
เอาใจแม่งมันหน่อย 
เอาใจพวกเด็กน้อยให้มันพอใจ 
จะได้อยู่ร่วมกันได้ 
นี่ผู้มีศีลประจำใจแต่ถูกพวกจัญไรว่าทำอาบัติ
พระอานนท์
ท่านยังต้องมาปลงอาบัติต่อหน้าพระทั้งหลาย 
เพราะเหตุแห่งการคาดโทษกัน 
ท่านก็ยอมรับแล้วก็ปลง
การปลงอาบัติ
มันก็เป็นการยอมรับ และขอขมากรรมกัน 
เปิดโปงความผิดที่ปกปิดกัน เมื่อโดนเพ่งโทษ 
แม้เป็นพระอรหันต์
ท่านก็ปลงๆ ไปตามโลกเขาว่านั่นแหละ
พระอรหันต์ ใจมันไม่มีอาบัติกันอยู่แล้ว
ภูมิธรรมท่านเข้าถึงความเป็นจริงแห่งสติและปัญญา
เมื่ออยู่ร่วมกับเด็กน้อย เด็กน้อยชอบคลาน 
เราก็คลานกันไปตามเด็กน้อย 
เด็กน้อยมันไม่รู้นี่หว่า 
ว่าการคลาน มันช้า มันเจ็บมือและหัวเข่า
วันหนึ่งเมื่อเด็กน้อยเติบใหญ่
เด็กน้อยจะรู้ได้ว่า จะเดินก็ได้มันไปได้ไวกว่าคลาน
ไม่จำเป็นต้องคลาน เพราะมันมีขาที่แข็งแรงพอ
พระที่ทรงคุณ 
ใจมันเป็นศีลโดยภูมิของมันอยู่แล้ว 
ศีลนี้เป็นปกติแห่งใจที่เป็นผู้มีสติ
จะเดินจะเหินจะพูดจะคิด มันมีสติ 
ธรรมวิวัจจยโพชฌงค์
มันสอดส่งลงไปในทุกขณะจิต
ใจเช่นนี้ จะหาอาบัติมาจากไหน

การบัญญัติข้อศีลขึ้นมา 
ก็เพื่อเป็นคอกกั้นรักษาใจ
แต่ใจที่มันมีสติ มีปัญญา มีความละอายชั่วกลัวบาป 
มันเป็นใจที่รักษาตัวมันเองไม่ให้แหกคอกกันอยู่แล้ว
คอกไม่จำเป็นสำหรับผู้มีใจปกติรักษาใจ 
คอกมีไว้ขังใจที่มันยังจัญไร 
พวกดุร้ายต้องขังด้วยคอกแห่งข้อศีล
สมัยก่อน 
ข้อศีลท่านบัญญัติมาจากพวกทำเหี้ยๆ 
ให้หมู่เหล่าเขาโดนตำหนิ ท่านเตือนไว้ว่าอย่าไปทำ 
เพราะคนที่ศรัทธา เขาจะเสื่อมความศรัทธา
คนที่ไม่ศรัทธา 
ก็จะยิ่งตำหนิและเป็นผลร้ายแก่หมู่เหล่า
ที่เขาประพฤติพรหมจรรย์กัน
ข้อศีลทั้งหลาย 
อาศัยพวกนอกศาสนาเป็นแดนเกิด 
พวกที่บวชปรารถนานิพพาน 
ใจมันไม่กล้าทำชั่วกันอยู่แล้วเป็นธรรมดา
การมีสติตรึกตรอง
ก่อนทำอะไร ย่อมเกิดปัญญา
ถีงความควรไม่ควร 
ใจที่สำรวมเช่นนี้ 
ย่อมไม่ใช่ใจที่มันทุศีล
ใจที่ไม่ทุศีล 
อาศัยสติ
สติ
อาศัยการพิจารณา
การพิจารณา
อาศัยความเข้าใจจนเกิดศรัทธา
การเกิดศรัทธา
อาศัยการได้ฟังธรรม ตรงตามความเป็นจริงจากสัตบุรุษ

นักบวชเช่นนี้ 
อาบัติทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ปลงอาบัติได้ 
หากมีใครเขาเพ่งโทษว่าเป็นผู้ต้องอาบัติ
---------------------------------
พระเทศนาจากบทธรรม เรื่อง การออกจากอาบัติ... ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับลิขิตสวรรค์

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง
ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับลิขิตสวรรค์ ...
  • ชีวิตของชายเหมือน "ฝนนอกฤดู" ที่ตกอยู่ตอนนี้ เหมือนนาจากับเทพเอ้อหลางเซินบางประการ 
  • แต่พูดไปท่านผู้อ่านอาจคิดว่าชายอวดตัวเอง คุยแต่เรื่องตัวเอง ไม่อยากอ่านละ ไม่ฟังดีกว่า ก็ไม่เป็นไรครับ 
  • ชายจำเป็นต้องบอกไว้ เพราะบางสิ่ง มันกระทบต่อโลก และกระทบต่อชีวิตของคุณแน่นอน 
  • คุณไม่ฟัง ก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รู้จะเอาตัวรอดยังไง ใครฟัง ใครเข้าใจ ก็อาจพอหาทางเอาตัวรอดได้ 
  • ดังนั้น ชายจึงต้องบอกเพื่อนคนที่ใฝ่ศึกษา ไว้ยังไงครับ
  • ชายเหมือนนาจาตรงที่ "ชายกำเนิดใหม่" ชาติที่แล้วชายยังไม่สิ้นอายุขัย ชายตายก่อนอายุขัยเหมือนนาจา 
  • ดังนั้น ชายจึงยังมีสิทธิ์ที่จะเป็นมนุษย์ได้อีกประมาณ 20 ปี ดังที่กล่าวไว้แล้ว แต่ชายไม่เหลือร่างสังขารแล้ว ชายเหลือแต่จิตวิญญาณที่เป็นมาร 
  • ชายจึงต้องหาท้องแม่เกิดใหม่ ตรงนี้ต่างจากนาจาที่เกิดจากดอกบัว 
  • ชายเกิดจากท้องแม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นการเกิดนอกเหนือลิขิตสวรรค์ไงละครับ 
  • แถมชายไม่เหลือใครช่วยให้ชายได้กำเนิดใหม่แบบนาจาเลย เพราะคนเหล่านั้นต่างยึดอยู่กับกษัตริย์องค์ใหม่ในตอนนั้น 
  • ทุกคนไม่มีใครเหลียวแลชายที่ตายไปตอนนั้นเลย ชายจึงต้องดิ้นรนด้วยตนเอง
  • ชายจึงเหมือนเทพเอ้อหลางเซิน ตรงที่เกิดนอกลิขิตสวรค์นั่นแหละ เทพเอ้อหลางเซินเกิดจากเทพธิดากับมนุษย์ 
  • ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอนนั้นเขาไม่ให้มี ถ้ามี ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไร จะเกิดผลกระทบถึงสวรรค์มากมายเลย 
  • ดังนั้น สวรรค์จึงส่งเทพมาฆ่าเทพเอ้อหลางเซินตั้งแต่เด็ก เพื่อไม่ให้เกิดภัยกระทบต่อสวรรค์ในอนาคต 
  • ชายเกิดนอกลิขิตสวรรค์จึงไม่อยู่ภายใต้ลิขิตสวรรค์ จึงไม่มีอาชีพ ไม่มีเมีย ไม่มีอะไรรองรับชายเลย 
  • สิ่งที่ชายเคยได้มาทั้งหมด เป็นการได้นอกลิขิตสวรรค์ เพราะชายเป็นปีศาจ ชายเข้าสู่ระบบทุนนิยมของลูซิเฟอร์ 
  • ชายจึงได้รับตำแหน่งงาน ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่ถูกต้องตามระบบบุญกรรม ตามลิขิตสวรรค์เลย
  • เมื่อชายบำเพ็ญธรรมถึงจุดหนึ่ง วันหนึ่งเกิดมังกรดำสี่เศียรเหินขึ้นฟ้า แล้วไปทำลายสวรรค์มากมายหลายชั้น 
  • เหมือนคราวกำเนิดซุนหงอคง ต่อมา กายทิพย์ชายไปโผล่ที่โลกมารโดยชายไม่รู้ตัว 
  • พวกมารอ้างเหตุจึงไปบุกสุขาวดีสวรรค์บ้าง สามเณรจึงตามไปปราบมารจนตายกันมากมาย ตั้งแต่นั้นมามารสวรรค์จึงหายไปเยอะเลยครับ 
  • เหตุนี้เอง ชายจึงต้องโดนทัณฑ์สวรรค์เหมือนอย่างเทพธิดาผู้เป็นมารดาของเทพเอ้อหลางเซิน 
  • แต่ชายยังมีร่างสังขารมนุษย์ ชายเชื่อในความเป็นมนุษย์ว่ากรรมใดก็แล้วแต่ หากเรารับในภาคมนุษย์แล้วย่อมเบาบางกว่าภาคทิพย์ 
  • ชายก็ยอมรับทัณฑ์สวรรค์มาหลายปี จนเหมือนว่าจะเบาบางลงแล้วละครับ 
  • สิ่งที่ชายจะทำต่อไปก็คือ ยุติสงครามโลกซึ่งสวรรค์ลิขิตเอาไว้ว่าจะต้องมี ชายจึงต้องต่อสู้กับลิขิตสวรรค์ครับ
  • ทุกคนมีอะไรๆ ไม่ด้อยกว่าชายหรอก แต่คุณต้องหามันให้พบครับ!
  • กล่าวถึงโลกในปัจจุบันบ้าง เราเห็นกรณีวัดธรรมกายใช่ไหม? 
  • นั่นละ คือ การสร้าง "มารสวรรค์" 
  • เพราะสวรรค์ขาดมาร สามภพจะไม่สมดุล สวรรค์จึงต้องสร้างมารกลุ่มใหม่ ทดแทนกลุ่มเดิม (ชายจึงไม่ขัดขวาง) 
  • ที่ชายเล่าให้คุณฟังว่าเรื่องราวของชายกระทบต่อโลกมาร ทำให้มารตายมากมายแล้วมันมากระทบต่อโลกและสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ยังไง? 
  • นี่ละครับ ที่ชายต้องเล่า ทีนี้ก็แล้วแต่ปัญญาของพวกคุณจะเอาตัวรอดกันเองละครับ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ผิดหรือที่เกิดมาเป็นมาร

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง

+++++ ผิดหรือที่เกิดมาเป็นมาร +++++
  • คนเราไม่ได้ผิดเพราะเกิดมาเป็นอะไร การเกิดมาเป็นมาร เป็นปีศาจ ไม่ใช่ความผิด ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลของมัน 
  • คนดีๆ บางคนเป็นทหารพลีชีพเพื่อชาติ ตายแล้วไปเกิดเป็นปีศาจ เป็นมาร ก็มี 
  • ถามว่า เขาคือคนเลวชั่วไหม ไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เลยที่เขาเกิดเป็นมารหรือปีศาจแล้วเขาจะผิด 
  • ถ้าเราเห็นมาร เขาจะฆ่าเขาเลยไหม? 
  • ไม่ใช่ เขาทำอะไรผิดหรือ? 
  • เราถูกสอนมาให้เกลียดมาร เกลียดปีศาจ เกลียดอะไรต่อมิอะไร โดยที่เรายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ทำอะไรผิด และเหตุใดจึงเกิดมาเป็นเช่นนั้น 
  • เหมือนเทพเอ้อหลวงเซิน ท่านเกิดมาจากมนุษย์และเทพ ท่านเป็นลูกผสม และสวรรค์มองว่าท่านผิดปกติ ผิดธรรมชาติ 
  • ท่านจึงถูกกองทัพสวรรค์ตามล่าตั้งแต่เล็ก ทำให้มีปมในใจมาโดยตลอดว่าคนเราผิดเพราะเกิดมาเป็นเช่นนี้หรือ? 
  • แต่ชายว่าไม่ใช่ โลกนี้ไม่มีใครผิดเพราะเกิดมาเป็นอะไร แต่ไม่ว่าใครเกิดมาเป็นอะไร ผิดแปลกแค่ไหน 
  • นั่นคือสิ่งวิเศษที่เราจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ต่างหาก ยิ่งแปลกประหลาดก็ยิ่งดี เพราะนั่นคือสิ่งที่ท้าทายให้ผู้มีความสามารถหาทางอยู่ร่วมกันให้ได้อย่างไรละครับ
  • วันนี้ มีพระยูไล, พระกวนอิม ฯลฯ มาติดต่อกับชายผ่านเพื่อนที่ฝึกพลังจิตด้วยกัน เพื่อมาขออยู่กับชาย 
  • ชายก็งงๆ ทำไมพระยูไลจึงมาอยู่กับชายละ ในเมื่อท่านก็มีสวรรค์อยู่? 
  • แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อท่านขอ ชายก็ให้ แล้วเขาก็หัวเราะ มีไอสีดำออกมา ชายเลยบอกว่า อ๋อ แท้แล้วเขาเป็นมารแปลง 
  • แต่เขาแค่มาช่วยเราบำเพ็ญบารมีเท่านั้น เราบารมียังไม่ถึง เขามาขอเรา เพื่อให้เราได้บุญบารมีถึง เขาไม่ได้มาทำร้ายเรา 
  • แล้วท่านมารก็คุยกับชายต่อว่าจะขอติดตามชายไปยังพุทธเกษตรด้วย ชายก็บอกว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าใจ เมื่อเขาสมัครใจก็ให้เขาได้ตามใจนั้นเถิด 
  • ชายไม่รู้จริงๆ ว่าชายทำผิดหรือถูก เพราะบริวารชายส่วนใหญ่เป็นเทพ และถ้ามีมารเข้ามา เขาจะต่อสู้กันทันที 
  • บางทีชายสับสน สิ่งที่ชายทำไปมันถูกหรือผิดกันแน่? 
  • ชายให้เขามาอยู่ จะกระทบกับบริวารเทพไหม? 
  • แต่ชายคิดได้แค่ว่านี่คือโลกมนุษย์ โลกที่มีขาวและดำ ถูกและผิด มีทุกๆ อย่างอยู่รวมกัน 
  • เรามาอยู่ในโลกมนุษย์ มิใช่อยู่บนสวรรค์ ที่เทพกับมารจะแบ่งแยกเขตแดนกันอยู่อย่างชัดเจน 
  • ชายคิดว่าเราแค่มาเรียนรู้ "ที่จะอยู่ร่วมโลกกันให้ได้" แค่นั้นเอง ชายไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้ตัดสินว่าเทพหรือมารผิด 
  • ชายแค่อยากให้ทุกคนไม่ว่าใคร เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมโลกกันให้ได้แค่นั้น
  • ท่านมารก็ว่าชายเป็นคนที่หมื่นปีมีเพียงคนเดียว (คงไม่ใช่ตงฟางนะฮะ)

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่ 22

ในภาพอาจจะมี เมฆ, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง

#ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่22
#เจตนาแห่งจิตคือ_ผิด_ถูก_ผลของการปฏิบัติ
#คำสอนของพุทธศาสนา_เจตนาเพื่อหลุดพ้นวัฏฏสงสาร
เข้าสู่แดนเหนือกาลเวลา ที่เรียกว่า นิพพาน
มี 3 หลักการใหญ่ ที่พวกเจ้าจะต้องสอบผ่านให้ได้
  • (1)ศีล>>ไม่ทำร้าย ไม่มุ่งร้ายใครทั้งกาย-วาจา-ใจ และไม่ทำร้ายตัวเอง
  • (2)บารมีจิต>>เจโตวิมุตติ หลุดพ้นที่จิต จิตนิ่งไม่หวั่นไหวทุกสภาวะอารมย์
  • (3)บารมีกาย>>ปัญญาวิมุตติ หลุดพ้นนานาสรรพสิ่งด้วยปัญญา

.
ปัญหาที่พวกเจ้าวุ่นวาย ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้
คือ ไม่เข้าใจเรื่อง
*บารมีกาย*
บารมีกายขึ้นอยู่กับ
*เจตนา*
ที่มีต่อสภาพสังคมรอบตัวเจ้า ที่เจ้าอยู่
ที่พุทธศาสนาแตกออกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย
ทุกความประพฤติ ทุกรูปแบบ-วิธีการ 
ที่แต่ละนิกายแสดงออก
จะผิด จะถูก ขึ้นอยู่ที่เจตนาแห่งจิตของพวกเจ้า
เป็นตัวตัดสิน
.
(1)เจตนาเพื่อเสียสละ เพื่อเป็นทานบารมี โดยจิตไม่ยินดี ไม่ยึดติดกับทุกสรรพสิ่งที่เป็นผลงานของพวกเจ้า ที่เจ้าได้สร้างมันขึ้นมา
มีแต่ *ปีติ* ที่ได้เห็นความสุขทั้งหลาย จากมนุษย์และสัตว์ ที่ได้รับประโยชน์ในผลงานของพวกเจ้า ทั้งผลทางร่างกาย ทั้งผลทางจิตใจ
กายในของพวกเจ้าจะสะอาดเพราะจิตเจ้าไม่ยึดติดกับ *สังสาระ *หรือนานาสรรพสิ่ง ที่อยู่นอกร่างกายของพวกเจ้า นี่แหละเคล็ดลับ *บารมีกาย*
.
(2)เจตนาเพื่อสนองกิเลส ปรนเปรอร่างกายเนื้อของพวกเจ้าเอง
ดังนั้น ผลงานทั้งหลายที่พวกเจ้าสร้าง มันจึงเป็นการแสดงละคร
เพราะจิตเจ้าไปยินดีในตัวผลงาน ไม่ใช่ยินดีต่อผู้ที่ได้รับประโยชน์
จิตเจ้าจะดีใจได้ปลื้ม ถ้ามีใครชื่นชม แล้วเจ้าจะปรุงแต่ง *โสมนัส* นี้ต่อไป 
จิตเจ้าจะไม่พอใจ ถ้ามีใครมาตำหนิผลงานของพวกเจ้า *โกรธ* ผูกใจเจ็บ จิตเจ้าจะอิจฉาริษยา ถ้ามีใครสร้างผลงาน เหนือกว่าเจ้า *มานะถือตน*
กายในของพวกเจ้า จะสกปรกเพราะ จิตของเจ้าได้ดึงดูด*สัญญาแห่งจิต* ไปบันทึกไว้ ที่กายในเจ้าทันที ทุกครั้งที่เจ้ามีอารมย์..*ไอ้พวกโง่* ด้วยเหตุผล 2 ประการนี้ คือตัวตัดสินผิด-ถูก เพราะในภาคทิพย์ หลักฐานจะปรากฎที่กายในเจ้า..ไม่ต้องมาแก้ตัว เจ้าจะจำนนด้วยหลักฐาน และจำนนด้วยสภาวะจิต ของเจ้าเองด้วย
.
ดังนั้น..ในสภาวะความเป็นจริง ทุกนิกายมีทั้งถูก และทั้งผิด ไม่มีนิกายไหน เหนือกว่ากัน เจัาอย่าคิดนะว่า ธรรมยุตจะเหนือกว่านิกายอื่น ด้วยเห็นทางสายตา ว่าเคร่ง ว่าเรียบร้อยกว่า>>
ไร้สาระส่วนมากอวดตน ปากพูดให้คนอื่นได้ยิน ว่าธรรมยุต เน้น *ภาวนา*
แต่ที่ข้าเห็น..มัน *ภาวเน็ต* กับ *ภาวนอน* กับ *ภาวโทร* กันมากกว่า
และบารมีกาย แทบไม่มีเลย แม้นิกายอื่นจะไม่เน้น ภาวนา แต่ใช่ว่าจะไม่ทำ แต่งานช่วยเหลือชาวบ้าน สร้างสังคมพุทธ ชวนคนเข้าวัด เป็นบารมีกาย ทั้งหมด ที่ธรรมยุตด้อยกว่ามาก ส่วนมากหลงประเด็น
.
เราดุ..แต่เมตตา เราไม่แพ้ใคร ถัาใครผิดซ้ำซาก จนเกินความสามารถที่มนุษย์จะแก้ไขกันเองได้ เราจะกระทืบเอง และเราก็ไม่ผิดด้วย
เพราะเรารู้เคล็ดลับของการหลุดพ้น นั่นคือ #เจโตวิมุตติ_ปัญญาวิมุตติ

งานฟ้า ต้อง สำเร็จ

ในภาพอาจจะมี 2 คน

*** งานฟ้า ต้อง สำเร็จ _/l\_ ***
  • ยุคท้ายปลายกัลป์ นี้ เป็น ยุคของการทวงหนี้กรรม ชำระหนี้กรรม กรรมจะมาอย่างติดจรวด
  • โลกจะเป็นของผู้เที่ยงธรรม เที่ยงตรง เสมอ เราทำในสิ่งที่สอดคล้อง กับ อาณัติของฟ้า เบื้องบนได้ เราก็มีบุญวาสนา 
  • ความผิดของคนอื่นไม่มี ( ทุกอย่างเป็นการทำงาน ของ ระบบกรรม หากเราไม่เคยทำกรรมไม่ดี เราย่อมไม่ได้รับกรรมไม่ดีนั้น ) 
  • เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เราต้อง ย้อนมองส่องตน ว่าเราทำไม่ดี ทำไม่พอหรือเปล่า
  • หลายๆ ครั้ง ที่เรื่องต่างๆ มากมาย ที่ไม่เป็นอย่างที่ใจเราคิด เราต้องย้อนมองดูตนเอง เราจะวิพากษ์คนอื่น เราต้องวิพากษ์ตนเองก่อน เราอยากจะชนะคนอื่น เราต้องชนะตนเองก่อน
  • ขอเพียงเรามีจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริง ก็จะถูกต้อง เที่ยงตรง ดังนั้น การกลับมาย้อนมองส่องตน เป็น วิทยายุทธ ที่เราต้องฝึกตนเองให้ได้ ต้องทำให้จิตที่เป็นอกุศล ให้เป็น กุศล 
  • ที่เราได้พบกับอุปสรรค นานาประการ การสอบเหล่านี้ มา เพราะเราจริงใจไม่พอ และ เราจะไปโทษฟ้า โทษคนอื่นได้อย่างไร ?
  • *** ฟ้าให้ภัยพิบัติ เกิดมา คนเรายังมีโอกาสที่จะรอดได้ แต่ถ้าตนเอง สร้างเวรกรรม มาอีก โอกาสที่จะรอด ก็จะน้อยลง ***
  • ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นในชีวิต ต้นตอทุกอย่างมาจากตัวเราเอง เราเป็นผู้สร้างเหตุ ของ การรับผลนั้น ถ้าเราแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองได้ เราก็จะรอด
  • ทุกคน ทำผิดได้ สิ่งที่สำคัญ คือ สภาวะหลังจากทำผิดแล้ว ยอมรับผิด ยอมรับแก้ไข 
  • ใช้ความจริงใจ จิตที่แท้จริง มาสำนึกผิด และแก้ไข ให้พวกเราตัดอกุศลทั้งปวง ( ราคะ โทสะ โมหะ ) 
  • และ ทำแต่ความดี เพื่อโปรดมวลเวไนย ในตนเอง และ ผู้อื่น เพื่อให้ตนเอง มีแต่ความดี ความจริง และ ความงาม ก็จะสมบูรณ์แบบได้
  • วันหนึ่ง ที่เรามีการขัดเกลา นั่นคือ วันที่เรามีความสว่างไสว มีการย้อนมองส่องตน ถ้าเราถูกวิพากษ์ วิจารณ์ นินทา คือ เราได้สลายหนี้เวรกรรม ของตัวเราเอง
  • เราต้องทำตนให้ จิตมีแต่กุศลกรรมบถ 10 มีแต่ความดี ปากพูดแต่สิ่งดีๆ มีแต่ความเมตตา จิตคิดดี พูดดี ทำดี ตลอดเวลา 
  • จึงจะไม่กลายเป็นว่า เรามีความโลภในสิ่งที่ไม่ดี เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นอะไรใจก็ไหวหวั่น ซึ่งถ้าหากว่าเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้นจะมีแต่ความผิดบาป และ เวรกรรม
  • คนส่วนใหญ่ หลง ไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เหตุแห่งความดี นำมาซึ่งผลแห่งความดี 
  • แต่พอบอกให้สร้างความดี พอบอกให้ทำความดี กลับ ไม่ทำ แต่กลับอยากได้ผลที่ดี 
  • รากแข็งแรง แน่นอน ปลายต้องแข็งแรง
  • บุญกุศล คุณธรรม เป็นต้น
  • บุญวาสนา เป็นปลาย
  • การบำเพ็ญธรรม ก็เหมือนกัน เราต้องขยัน อดทน สม่ำเสมอ ในการบำเพ็ญ 
  • หากว่าเราปรารถนาจะสำเร็จเป็น พุทธะ ทุกคนต้องขยันหมั่นเพียร ให้เรารักษาจิตศรัทธาเดิมแท้ 
  • มีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร อย่าหยุดชะงัก พวกเราอย่าได้ ท้อแท้ ทดถอย เกียจคร้าน รักสบาย 
  • วันหนึงที่เราไม่ขยันหมั่นเพียร เราไม่บำเพ็ญ วันนั้น เราสูญเปล่า เวลาที่ความคิดเกิดขึ้น หากเป็นกุศล เป็น แดนสวรรค์ หากไม่ใช่ เป็นแดนนรก แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

รหัสนัยแห่งแสงสีม่วง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ
รหัสนัยแห่งแสงสีม่วง
พี่ๆน้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ได้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าสีม่วงขึ้น
ที่เมือง Charles ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเราได้นำภาพมาแสดงไว้
ในห้องเรียน Visudhi Punya นี้
เพื่อให้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์แห่งโลกเสรี
ในคาบสุดท้ายของการเปลี่ยนยุค
ดังปรากฏแก่ตาของท่านทั้งหลายมาแล้ว
แต่ก็ยังมีผู้ใคร่รู้ว่า #ฟ้าสีม่วง นี้
ศาสตร์แห่งจิตจักรวาลสื่อถึงอะไรกันบ้าง
องค์จิตจักรวาลจะทรงบอกอะไรแก่ท่าน
ด้วยพระเมตตาแห่งองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
พระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลอันไพศาลนี้
จึงได้ทรงมีพระเมตตา
ให้เปิดมิติทางปัญญาต่อท่านทั้งหลาย
ที่รักพระบิดาศรัทธาในเรา
ด้วยแก่นแห่งสาระว่าดั่งนี้
1.เป็นแสงสีม่วงที่ใช้รำลึกถึง
การเสด็จลงมาประสูติในโลกเสรีของพระคริสต์
ซึ่งในปลายยุคพลังงานเก่านี้
พระองค์ทรงเลือกดอกบานบุรีสีม่วง
เป็นสัญลักษณ์
ดังนั้น
ปรากฏการณ์ “มายาแห่งฟ้าสีม่วง” นี้
จึงเป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดา
ที่จะทรงสื่อกับบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
ให้รับทราบถึงการเสด็จกลับมา
ยังโลกเสรีตามสัญญาแล้ว
2.เป็นแสงสีม่วงที่สื่อแสดงถึง
พระมหาอำนาจแห่งองค์จิตจักรวาล
ซึ่งทรงประทานผ่านมายังเรา
อันเป็นมหาอำนาจแห่งจักรพรรดิ์
(The King of the Universe)
ที่จะกล่าวพระโอวาทต่อบุตรมนุษย์
ในพระนามแห่งพระองค์
เพื่อชี้ทางกลับบ้าน
และให้ประกาศพระวรสาร
เกี่ยวกับปฏิบัติการชำระโลก
ด้วยภัยพิบัติแบบต่างๆก่อนวันสิ้นยุค
3.เป็นแสงสีม่วงที่หมายถึง ความรัก
พระอนุตรธรรมชั้นสูง และแรงบันดาลใจ
ซึ่งพระบิดาจะทรงประทาน
ผ่านเรามายังโลกเสรีนี้
เพื่อใช้ในการปิดยุคพลังงานเก่าโดยสัมบูรณ์
4.คลื่นแสงสีม่วง
เป็นพลังอำนาจลึกลับจากจักรวาล
ที่กำลังส่งผ่านเข้ามาภายในระบบโลก
เพื่อจะทำให้โลกและทุกสรรพสิ่ง
ถูกเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ
ด้วยมหันตภัยพิบัติรุนแรงในระดับที่
ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกเสรีนี้มาก่อนเลย
นับแต่ทรงสร้างโลก
มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด
ที่พระบิดากับมนุษย์
จะต้องแลกกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ในระดับแผ่นดินหาย
สัตว์หายและคนหาย
ซึ่งกล่าวโดยรวมว่า "หายนะ" (หาย-นะ)
จนนำมาซึ่งความทุกขเวทนา
ความโศกเศร้าร้าวราน
ความผิดหวัง
ความเจ็บปวด
และความแตกตื่นตกใจกันถ้วนทั่ว
5.คลื่นแสงสีม่วงนี้เป็นสัญลักษณ์ของ
การสำนึกในความผิดบาป
ถ้าปรากฏขึ้นบนโลกเมื่อใด
เมื่อนั้นมนุษย์โลกจักต้องเร่งมีสำนึก
ในความผิดบาปของตน
ด้วยการละเว้นการก้าวล่วงผู้อื่น
หรือไม่ทำชั่วอย่างสิ้นเชิง
มิเช่นนั้นแล้ว
จิตวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่าตายในการรบ
จิตวิญญาณมนุษย์และสัตว์
ที่ถูกทำทารุณกรรมจนตายอย่างทุกข์ทรมาน
ซึ่งเต็มไปด้วยไฟพยาบาทคาดแค้น
ก็จะถูกเปิดมิติออกมา
ให้เป็นนักล่าชีวิตอย่างล้นหลาม
ในบทบาทของเจ้ากรรมนายเวร
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อท่านถามมาเราจึงยินดีตอบให้
ที่เรายินดีเปิดเผย "ความลับสวรรค์" แด่ท่าน
เพราะเป็นงานสำคัญงานหนึ่ง
ในหน้าที่แห่งเราแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว
โปรดใช้ปัญญาญาณในการอ่านเถิด
เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
เท่าที่พอจะเปิดเผยได้ต่อท่านทั้งหลายแล้ว
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-02-2017

ชีวิตนอกลิขิตสวรรค์ ผู้ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ภาพระยะใกล้

ชีวิตนอกลิขิตสวรรค์ ผู้ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง +++++
  • ก่อนมาเกิดในโลกนี้ ชายอยู่สุขาวดีมีิวิมานอยู่ที่นั่น มีนามว่า "จารุคิณีโพธิสัตว์" เป็นโพธิสัตว์ที่มีลักษณะแบบเดียวกับพระอวโลกิเตศวรแต่คนละองค์กัน 
  • ชายลงมาเกิดยังโลกชาติแรก ก็ได้เป็นกษัตริย์ แต่อายุสั้น ถูกฆ่าตายไป "ก่อนอายุขัย" 
  • ชายจึงเหลืออายุขัยของมนุษย์ได้อีกประมาณ 20 ปี จิตวิญญาณของชายตายแล้วเร่ร่อนหาทางเกิดเอง ก็ได้พ่อแม่คู่หนึ่งที่มีกรรมหนัก 
  • พ่อเคยตกนรกแล้วได้รับการช่วย จากพระกษิติครรภ์ จึงได้มีโอกาสเป็นคน 
  • แม่ก็มีกรรมกับชาวนาในประเทศญี่ปุ่นมากมาย ทั้งคู่จึงมีกรรมต้องเป็นชาวนา เหนื่อยยากทั้งชีวิต 
  • หากทั้งสองคนมีบุญมากกว่านี้ หรือมีกรรมน้อยกว่านี้ ชายก็ไม่อาจได้เกิดเป็นลูกเขา เพราะชายไม่ได้เกิดจากลิขิตสวรรค์ ชายเกิดโดยหาทางเกิดเอง 
  • ชายตายแล้วเป็นมาร ยังไม่หมดอายุขัยจึงขึ้นสวรรค์ไม่ได้ จึงอาศัยจังหวะนั้น สลายกายมาร แล้วจุติลงครรภ์จึงมีโอกาสเกิดได้ 
  • ทว่า เพราะเป็นการเกิดนอกลิขิตสวรรค์ ชายไม่ได้รับการเหลียวแลจากใคร ชายในวัยเด็กจึงเกือบตายอยู่ตลอด ชายป่วยหนักจนหมอต้องให้น้ำเกลือเข้าทางหัว กว่าจะรอดมาเป็นคนได้ มันจึงไม่ง่ายเลยละครับ
  • เมื่ออายุครบ 18 ปี ถึงวาระที่ชายจะหมดอายุขัยจากความเป็นมนุษย์ (ชาติที่แล้วชายตายก่อนหมดอายุขัย จึงมีอายุขัยของมนุษย์เหลือได้อีกดังกล่าว) 
  • จิตวิญญาณของชายก็จรจากร่างไป เพราะมีเรื่องกระทบจิตใจอย่างหนักในตอนนั้น 
  • ชายเหมือนตายทั้งเป็น ชายเกือบฆ่าตัวตาย แต่ไม่ได้ทำเพราะกลัวบาป หากทำชายอาจต้องตกนรก 
  • แต่แล้ว ชายก็กลายเป็นร่างของปีศาจ (แวมไพร์) แวมไพร์ตนนี้มาจากอเมริกา มีฐานะเป็น prince of vampire และมีพระบิดาเป็นราชันต์แห่งโลกแวมไพร์ 
  • กล่าวง่ายๆ ได้ว่าชายในตอนนั้นคือ "ปีศาจในร่างคน" ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลือแล้ว 
  • แต่ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจใฝ่ดี อยากบำเพ็ญธรรมเพื่อกำเนิดใหม่เป็นมนุษย์ 
  • เมื่อชายได้รับการโปรดจากอาจารย์ ในที่สุดก็สำเร็จได้เป็นมนุษย์ ชายจึงเหมือนได้เกิดใหม่ 
  • จะต้องอยู่เหมือนเซียน เพราะอะไร? 
  • เพราะเรากำเนิดนอกลิขิตสวรรค์ สวรรค์ไม่มีแผนให้เราเกิด เราดันเกิดเอง และสำเร็จเป็นมนุษย์เอง 
  • เซียนนั้นก็เหมือนกัน จึงต้องอยู่นอกระบบ ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมากไม่ได้ ชายจึงถูกควบคุมทันที 
  • ชายเป็นยิ่งกว่าระเบิดเวลา เพราะจะทำลายแผนของสวรรค์ทั้งหมด เพราะความที่เกิดนอกลิขิตสวรรค์ไงครับ 
  • โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แผนสงครามโลกครั้งที่สาม" ซึ่งสวรรค์ลิขิตลงมาแล้ว ส่งพระบุตรลงมาเกิดเพื่อทำกิจนั้นแล้ว 
  • ชายกำลังต่อสู้กับสวรรค์ เหมือนที่ "เทพเอ้อหลางเซิน" เคยกระทำ ซึ่งท่านก็เคยมาหาชายและแนะนำวิธีใช้ตาที่สามให้ด้วยครับ 
  • ชายจึงไม่มีอาชีพ ไม่มีเมียอะไรเลย เพราะสวรรค์ไม่ได้ลิขิตไว้ให้ คู่ของชายจึงมีแต่ปีศาจด้วยกันเท่านั้น
  • ต่อมา ท่านไท่ซ่างเหล่าจวินช่วยเหลือชาย เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่า ชายคือมนุษย์คนหนึ่ง และสามารถดำรงอยู่ได้ 
  • สวรรค์ส่งท่านเซียนลงมาทดสอบชาย จากนั้น ท่านไท่ซ่างเหล่า จวินก็ช่วยให้ร่างของชาย ไม่ต้องตกเป็นของปีศาจ (ปีศาจจะเข้าร่างชายเพื่อต่ออายุขัยไปเรื่อยๆ ครับ) 
  • ท่านได้สร้างพลังคุ้มกันไว้ในร่างของชาย จากนั้นจึงให้ "เทพสมณะหอไตร" (หลวงจีนหอไตร) 
  • ลงมาจุติในร่างของชายแบบ "โอปปาติกะ" เพื่อทำให้ชายได้อยู่ใน "ลิขิตสวรรค์" 
  • การจุติของเทพสมณะองค์นี้ จุติมาเพื่อเป็นมนุษย์ และมาพร้อมลิขิตสวรรค์ครับ 
  • โดยท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ก็รับรู้แล้ว ทำให้ชายเข้ารีตสู่ระบบสวรรค์อีกครั้ง
  • ส่วนจิตวิญญาณเดิมนั้นชายก็ถวายแก่พระพุทธเจ้าไปแล้วละครับ

  • ชายใช้กิเลสเป็นโพธิน่ะครับ ถ้ากิเลสเป็นดั่งมังกรที่ดุร้าย ชายก็จะไม่ฆ่ามัน แต่จะขี่มันไปตามทางแห่ง "โพธิมรรค" ครับ
  • เง็กเซียนฮ่องเต้ท่านเคยแวะมาเยี่ยม ท่านออกอุบายให้ชายบำเพ็ญเป็นเสินกงเป้า และให้เพื่อนอีกคนเป็นท่านเจียงจื่อหย๋า 
  • คนหนึ่งสร้างเทพ คนหนึ่งสร้างมาร ชายไม่อยากให้บริวารเป็นมารอีกแล้ว ชายจึงไม่เอา 
  • แต่นั่นก็ทำให้ชายรู้ว่าองค์เง็กเซียนมีแผน "สงครามเทพประยุทธ์พิชิตฟ้า" จริงๆ 
  • คือ สงครามเหมือนในยุคห้องสินครับ ชายจึงไม่อาจขวางสงครามถล่มวัดธรรมกายได้ (ปีศาจกับมารสู้กัน) เพราะจะทำให้เป็นปรปักษ์กับสวรรค์ครับ
  • สวรรค์ก็แค่มีปัญหาคือมารจำนวนน้อย ต้องมีคนสร้างมาร เขาหาใครได้เขาก็เอาคนนั้น 
  • เพื่อให้งานสำเร็จเท่านั้นละ ชายไม่ได้เชื่อหรอกว่าสิ่งที่สวรรค์ทำนั้นดีที่สุดน่ะ บอกตรงๆ ชายคิดแบบเทพเอ้อหลางน่ะละ

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่ 21

ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง
ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่21
ศีล_บารมีกาย_บารมีจิต

ศีลคือ
การไม่ทำร้ายใคร
ไม่มุ่งร้ายใครทั้งกาย วาจาใจ
และไม่ทำร้ายตัวเอง

บารมีกายคือ
พรหมวิหารธรรม
การเสียสละ

บารมีจิตคือ
วิมุตติธรรม
จิตนิ่ง
(อุเบกขา)
.
บารมีจิตคือ
จิตนิ่งกับทุกเหตุการณ์ที่เจ้ากำลังเจอ
ไม่ยินดี-ดีใจจนเกินงาม
ไม่โกรธ ไม่เพ่งโทษ ไม่อาฆาตมาดร้าย 
ไม่ใส่ร้าย ไม่อิจฉาริษยา
จิตนิ่ง 
จะเกิดแสงออกมาจากจิตกลางตัว
เป็นคลื่นพลังงาน ครอบตัวเจ้า 
[ บาเรีย ]
.
บารมีกายคือ
เมตตา ทาน 
กับสิ่งมีชีวิตร่วมโลก
เมตตา = สงสาร
กรุณา = เข้าไปช่วยเหลือด้วยจิตที่สงสาร และดีใจที่ได้ช่วย
มุทิตา = ปลื้มใจกับผลงานความดี ความเสียสละของคนอื่น
อุเบกขา = วางเฉยเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ 
ดึงจิตกลับคืนสู่ร่าง 
ดูแต่จิตตัวเอง 
จะเกิด 
*แสงสี* 
ที่กายในเจ้า สว่างไสวเป็นสีต่างๆ 
และ
แสงแห่งจิตที่มีพลังงานสูง 
ส่อง *สีแสง* แห่งกายเจ้า
เป็นรัศมีออกไป
.
ผู้ใดที่มี 
บารมีจิต+บารมีกาย 
คือ 
สัมมาทิฏฐิ 
มีพลังงานบาเรียคุัมครอง
ผู้ใดที่ไม่มีทั้ง 2 บารมี
คือ มิจฉาทิฏฐิ 
[ มักชอบอวดตน+ข่มทับคนอื่น ]

ในภาพอาจจะมี สถานที่ในร่ม
 เรา..คือ..จิตที่ไม่ใช่มนุษย์

จิตใหม่-จิตมนุษย์ ไม่มีกายใน 

จึงสูญเสียการควบคุมกายเนื้อ ให้จิตเรา

เราใช้กายในของ พระตรีมูระติภาคที่ 18 

เป็นกายใน
เชื่อมสัญญาณพลังงาน 129 อรูปจิต

มหาพุทธะมหาบารมี

กายไร้ทิพย์ จิตไร้รูป 

จึงเป็น
*กายแทน*
ของเราในภาคมนุษย์

ข้อความสื่ิอสารจากห้วงจักรวาล



[[[ ข้อความสื่ิอสารจากห้วงจักรวาล ]]]
€£..ขณะนี้โลกใบนี้กำลังสั่นใหว
และกำลังแก่วงไปมา และใต้พื้นโลกใบ
นี้ มีบางอย่างกำลังหนุนดันขึ้นมาสู่นอก
โลก และจะทำให้มีผลกระทบต่อแผ่น
เปลือกโลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกเกิดการขยับ ทำให้เกิดแผ่นดินใหวในหลายจุดบนโลก พร้อมทั้งภูเขาไฟจะเริ่มปะทุพ่นลาวาที่อัดแน่นกันอยู่ใต้พื้นโลก
พร้อมที่จะพ่นออกมาบนแผ่นดินใด้
ทุกเวลา และโลกใบนี้กำลังเสียสมดุล
อย่างหนัก ที่เกิดจากแรงกรรมดำหรือที่
เรียกว่าพลังงานลบจากการกระทำและการนึกคิดแต่สิ่งชั่วร้ายของมนุษย์เอง ส่งเป็นคลื่นพลังงานออกสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดผลกระทบมวลรวมต่อแม่เหล็กโลกเสียสมดุลทำให้เกิดรอยรั่วของมิติต่างๆทีปิดเปิดไม่สมํ่เสมอ ส่งผลให้มิติทั้งหลายทำงานผิดปกติ ทั้งสามภพของโลกมนุษย์ และมิติปิเปิดของจักรวาล
...และขณะนี้ใด้เกิดพลังคลื่นแม่เหล็กสุริยะจากห้วงจักรวาลอันใกลโพ้น ได้เดินทางมาถึงโลกและเกิดการชนโลกทั้งสองด้าน พลังของคลื่นสุริยะ
มีพละกำลังมหาศาลมีผลต่อการหมุน
และแรงเหวี่ยง พร้อมทั้งเกิดผลกระทบ
กับคลื่นดาวเทียมทั่วโลก อาจทำให้การสื่อสารขัดข้องติดขัดบ้างบางขณะ
และมีผลต่อสภาวจิตของมนุษย์ ทำให้
เกิดกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ถ้าคน
ใดมีความเปราะบางทั้งร่างกายและจิตใจ จะทำให้พลังงานมวลสารออ่นลง
แต่ถ้าผู้ใดใด้รับการฝึกสมาธิจะช่วยให้
ร่างกายและจิตใจปรับสภาพเองอัตโนมัติ ..
...การที่โลกทั้งใบแก่วงและสั่นใหว
มิใช่เรื่องปกติ พร้อมทั้งกับมีพายุคลื่น
สุริยะจากห้วงจักรวาลโจมตี มิใช่เหตุ
บังเอิญ สาเหตุมาจากแรงกรรมของ
มนุษย์สร้างขึ้นเองทั่วโลก ภัยพิบัติที่
กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้คงหลีกเลี่ยงใด้ยาก แต่สามาถรทำให้หนักเป็น
เบาใด้ ถ้ามนุษย์รู้จักสร้างแรงต้าน คือ
การสร้างและส่งพลังงานบวกออกมาสู่
โลกและชั้นบรรยากาศโลกและรู้จักส่ง
พลังแห่งความรักให้แก่กันและกัน...
[[[ ข้อความสื่อสาร ]]]
[[ จาก ชาวแอนโดรเมดร้า ซีรีอุส ]]

สร้อยหินลาพีชสีนำ้เงิน

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี เครื่องประดับ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
มีกำไล...และสร้อยหินลาพีชสีนำ้เงิน
...ที่สายบุญบูชามาจากข้าพเจ้าเจ้าค่า...
ถึงแม้จะซีด..เมื่อยามมีภัยพิบัติคือสัญญาญสื่อกับผู้ดูแลโลกทิพย์..
รหัสการช่วยเหลือ...เจ้าค่า
และอย่าลืมเลขรหัส880มีติดไว้
ตอนนี้กำไลหินมีให้บูชา
มีให้บูชากำไล.เกรดีขนาด10มิล750บาท..
.
มีเกรดธรรมดา
ราคาทุกขนาด400บาท
รวมค่าส่ง
สร้อยคอขนาด10มิลเกรด
ธรรมดา1,000บาท
และสร้อยคอเกรดีขนาด10มิล2,250บาท..
ขนาด8มิล 1,500บาท
ขนาด5มิล1,000บาท
กำไลทรงรี ลาพีช 1,099บาทเจ้าค่า
ท่านใดจะบูชา..ขอชื่อนามสกุล...ด้วยนะเจ้าคะสำหรับเจ้าของคนที่สวมใส่....
เพราะจะต้องสวดมนต์ส่งบุญส่งกำลังเปิดกระแสบุญ...
ไปถึงยังเทวดาเทพที่รักษาร่างสังขาร....และยังต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมและนายเวรในร่างกาย...
เขาจะได้รับบุญด้วย...
เมื่อนำ้มนต์และกำไลหรือสิ่งของที่ข้าพเจ้าส่งไปให้...
สิ่งแรกที่ต้ิองทำ...
ตั้งจิตน้อมรับบุญของ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธาตุ
น้อมมาให้ตัวท่านและเทวดาประจำกายและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ให้ไปดูแลท่านและให้กรวดนำ้มนต์ที่ให้ไป.ลงดิน
สวดตามบทที่ให้กระดาษไปหรือในหนังสือในเอกสารท้ายเล่ม
.ผสมให้ได้มากๆ...แบ่งกรวดนำ้ลงดินปรับภพภูมิ....จิตวิญญาญ...
ให้ได้รับกระแสบุญ...ดวงจิตที่อาฆาตจะลดแรงพยาบาทลง....
ด้วยกระแสนำ้มนต์
และส่งไปเกิดภพภูมิที่ดีได้
และนำมามนต์ดื่มกินหรือให้ผู้ที่มีอาการไม่ดี...
นะโม3จบก่อนเสมอ..
อาราธนาคุณพระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า
พระสงฆเจ้า
มาประสิทธิที่นำ้มนต์และคุ้มครองร่างกายเรา
ค่อยดื่มกิน..
ยำ้ว่า...
ต้องกรวดนำ้มนต์
ที่ให้ลงดินแผ่บุญก่อนทุกคนที่สวมใสจะมีพลังงานที่ดีมาดูแล
ร่างสังขารที่เราอาสัยพลังงานที่ดีเป็นบุญ
เพื่อจะได้มีแสงสว่างของบุญให้
ทุกดวงจิต.....ไม่ได้นัดกันเลยเจ้าค่านัานเองที่ส่งมาเป็นปัจจุบัน
หรือที่ในภพภูมิอื่น
เป็นนำ้มนต์เมตตา
ให้โอกาสตัวเองและผู้อื่นเสมอ
สลายพลังงานไม่ดี
ให้คงมีพลังงานดี
ในจิตในร่างในที่อยู่อาสัย
ในทุกๆที่เทนำ้มนต์
จะมีคนมาร่วมช่วยกัน
เด็กเกเร
คนขี้เมา
คนติดเกม
คนไม่ดี
คนติดยาลองขอดู
คนป่วย
คนอาการมีพลังด้านลบ
ให้นำมาดื่มหรือทา
บริเวณที่มีอาการ
ไม่ใช่แค่ดื่ม่เฉยๆ
..และน้อมรับพลังงานครูวิชาพลังธาตุ..พลังครูสุริยะจักรวาลน้อมรับพลังที่ดีนี้ๆๆๆๆ
หินจะมีแร่ธาตุต่างๆๆและมีเทพเทวดาที่ดูแล..
ข้าพเจ้าน้อมอาราธนาบุญ...
ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และบุญที่น้อมจากองค์พระธาต
ุ ใช้การสวดมนต์นั่งสมาธิส่ง
ให้ผู้สวมใส่
ให้ท่านตั้งจิตลองดูนะเจ้าคะ
ทำจิตระรึกถึงความดี
ของพระรัตนตรัย
และ ..
.ข้าพเจ้าผู้เป็นสื่อด้วยด้วย.เจ้าค่า.555
(((ตรงนี้ไม่อยากพูดเลย))
คิดในใจ
ข้าพเจ้า
ขอน้อมรับพลังงานที่ดีนี้ๆๆๆขอน้อมรับบุญบารมีที่ดีนี้ๆๆๆ
กำลังพลังงานที่ดีให้บุญไป
ถึงทุกๆท่าน
ที่นึกถึง
และส่งให้ในหินทุกเม็ด..
เทพเทวดาที่ดูแลร่างสังขาร
และเจ้ากรรมนายเวร
จะค่อยๆๆลดแรงอาฆาตลง
.
หินจะช่วยเปิดให้ดวงตาที่สามเปิดคือนั่งสมาธิง่ายขึ้น
และจิตใจเย็นและดีขึ้น...
ร่างกายจะรับการเปลี่ยนแปลงได้..
ในทางที่ดีสิ่งไม่ดีจะค่อยกลายเป็นดี
และจะส่งมอบกำลังถึงใครที่อยู่ใกล้ที่อยากให้เขาดีขึ้นก็ได้..
ให้กำหินและส่งบุญให้ด้วยนึกถึง พระพุทธเจ้าจักรพรรดิ พระธรรม พระสงฆ์
น้อมบุญให้ที่หินแล้วส่งบุญออกไปที่คนไม่สบาย..
หรือนึกถึง..(((ข้าพเจ้าร่วมด้วย)))
ข้อนี้ใช้พิจจารนาดูอย่าชื่อ...
ข้าพเจ้า..
เพราะกระแสบุญที่ข้าพเจ้าน้อมรับ
กำลังบุญ...อำนาจบุญสูงสุด ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ส่งให้ทุกๆวันและแม้ข้าพเจ้าจะทำบุญหรือทำสิ่งใดๆๆที่ดี
คิดดี ทำดี พูดดี...
ทุกท่านแค่นึกถึงบุญที่ข้าพเจ้าทำท่านก็ได้รับ พลังงานบุญบารมีที่ดี...
บางครั้งพลังงานดีๆลงมาที่
ี่ข้าพเจ้ามากมายไม่ส่งออกก็มีอาการ...
เหมือนแบตเตอรี่เต็ม...
ต้องส่งกำลังออกรักษาผู้คนหรือสัตว์
จะเบาตัวเพราะคนหายปวดเมื่อย..
.ตัวเองไม่ระเบิด555แบตเต็ม...และถึงมีนำ้มนต์
เพราะมีนำ้มนต์ที่เทลงดิน...เวลาข้าพเจ้าสวดมนต์สร้างความดีทุกดวงจิตวิญญาญจะได้รับแสงบุญเช่นกันเจ้าค่า..
และพลังงานบุญบารมี
ที่ข้าพเจ้าได้คิดดีทำดีพูดดี..
และทุกๆคนนึกถึงแล้วโมทนาบุญกรวดนำ้ลงดินแผ่บุญได้ทันที..ขอรับบุญพลังงานที่ดีนี้ๆๆ
((..บางครั้งเขียนไปบางท่านก็อาจจะตำหนิได้..)))..แต่ก็จำเป็นต้องบอกเจ้าค่า...
เพราะไม่รู้ว่าข้าพเจ้า..จะไปวันใหนมีประโยชน์กับบางดวงจิตน้อยนิดก็อยากจะทำจนวินาทีสุดท้ายเจ้าค่า..
ทุกดวงจิตจะได้รับกระแสจากการกรวดนำ้อุทิศบุญในนำ้มต์.ด้่วย.จิตใจดีที่ส่งออกไป
หินนี้ส่งถึงพลังจักระกลางหน้าผาก..คือหยั่งรู้หรือเปิดตาที่สาม.
ตามความเชื่อที่เล่าต่อๆกันมาเจ้าค่า..
..และคุ้มครองหรือมีความเชื่อ.
.คือเปิดดวงตาที่3ให้รู้ทันในบาป บุญ..แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน
คือจิตใจสงบขึ้นนั่นเอง...
และท่านใดที่เคยบูชาหินไป..สีซีดลงไม่ต้องตกใจ...
บางคนสีสดใสขึ้น..และบางคนสีขาวเลยเป็นสีทอง..และสีนำ้เงินกลายเป็นสีฟ้า...
นี่คือการที่ร่างกายแต่ละท่านมีโรคภัยต่างกัน..และบุญต่างกัน
และธรรมชาติ...หินจะซีดเมื่อโดนแสงแดดจัดๆๆ..และเวลาวางไว้เฉยๆๆหินจะดูไม่มีพลังงาน...หรือเมื่อแช่เกลือนานๆๆหินก็ซีดได้...
แต่ในบางท่านที่สวดมนต์นั่งสมาธิและใส่หินกำไรสร้อย
ติดตัวประจำ...
หินกับสดใสถึงแม้จะสีจางลง..พลังงานบุญบารมีของ...ผู้สวดจะช่วยสมดุลในหินมีกำลังปรับธาตุในร่างกาย...
ถ้ามีพลังงานไม่ดีมาหินจะช่วยซับพลังไม่ดี....
วิธีล้างพลังงานไม่ดีออกจากหินคือ
1.ล้างนำ้เกลือ1นาทีหรือ30วินาที
2.ล้างนำ้เปล่าสะอาดถ้ามีนำ้มนต์ให้แช่นำ้มนต์
3.นำหินที่เช็ดแห้งแล้วมาเพิ่มพลังดั่งชีวิต...ด้วยนำนำ้มันมะกอกลูบที่เม็ดหิน
4.จุดธูปหรือกำยานให้มีกลิ่นหอมสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีกำลัง
5.สวดมนต์ในขณะสวมใส..หรือสวดมนต์กำหินหรือกำไรไว้ในมือ..ส่งบุญให้
คุยกับเขาดั่งมีชีวิต..
6.นำ้มันมะกอก..จะเพิ่มพลังให้หิน..ลูบๆที่หิน.
แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก..เช็ดนำ้มันมะกออก
ออกให้นำ้ผ่านหรือสวมใส่ได้เลย
เจ้าค่า..
(ไม่ได้บ้าคุยในใจก็ได้เจ้าค่า)
เพราะส่วนใหฯ่จะมีเทพรักษาม
ีพญานาคราช มีพระพิฆเณศ..และพลังงานที่ดี
และเป็นรหัสชาวดาว..
แต่ข้าพเจ้าพูดอะไรมากไม่ได้..
หลวงปู่ทวดปู่ดู่ท่าน..ให้ทำหินนี้ด้วยเหตุใดมิได้แอบอ้าง..แต่อาจจะเป็นมโนๆๆ
สื่อให้มี
การคุ้มครองเราในยามเกิดภัย..
พิบัติมีสื่อส่งถึงชาวดาวที่จะมองเห็น
อย่าชื่อทั้งหมดเจ้าค่า
เพราะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาตร
ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดาใช้พิจารณาดู
และมีอีกหลายพระองค์ที่ท่านมาเมตตาบอก...และให้เห็นตลอด....
และสื่อถึงพลังงานที่ลงมาในโลกมนุษย์...จะไม่ปวดเมื่อยในร่างกาย...
แต่ต้องมีการล้างพลังงานด้านลบ
ข้าพเจ้าเป็นคนธรรมดาใช้พิจารณาดค่า.
..
หินทุกเม็ดที่ท่านบูชาไปของใครชื่อใครชื่อของคนนั้นคุ้มครองคนนั้นๆๆ
นอกจากตั้งจิตขอให้เขาช่วยใครนั้นอีกเรื่องหนึ่ง...
บวกความเชื่อศรัทธา..ต่อความดีที่..
มีในตัวเองและผู้อื่น..ที่สำคัญ คิดดี ทำดี พูดดี...
จะทำให้ราบรื่นในงาน..และเงินมีใช้ตลอด...
ถึงไม่มากก็ไม่ขาดบางท่านมีโชคมีมากตามบุญที่คิดดี ทำดีด้วย.
อุดรอยรั่วของเงิน...
จะปวดเมื่อย..น้อยลงเจ้าค่า..
อย่าลืมเลขรหัส 880 ใครว่าเราบ้าช่างเขา
ไม่เดือดร้อนใคร
และทำไม่เสียหายใดๆๆ
เรายังพึ่งได้ทุกทาง
พระรัตนตรัย..
และความชื่อที่ไม่ใช่งมงายทั้งหมด
แต่สิ่งสำคัญ
จิตใจต้องดีงาม
ไม่ให้ร้ายใคร
ไม่มองโลกสองด้าน
และคิดบวก
ไม่ผิดในศีลธรรม
ไม่ตำหนิผู้อื่นให้จิตตก
แต่ควรเป็นเพื่อนปลอบโยน
มอบความรักและความหวังดี
ให้กันและกัน
งด ลด ละ เลิก
แรงอาฆาต พยาบาท
พลังดีงามจะแผ่กระจาย
ช่วยสลายพลังงานด้านลบด้วย..
บวกภาวนาสวดมนต์ในจิต
บทใดก็ได้ที่สวดได้
ทำจิตให้ดีงาม
อย่าสนใจในความร้อนหนาว
ในร่างกายทำจิตให้ผ่อนคลาย
เบาๆๆ
แล้วไม่ต้องกังวล
วางใจให้อยู่กับความดีและพอดีเจ้าค่า
ภัยพิบัติในจิตไม่เกิด
ภัยพิบัติข้างนอกจะเบาบางจางลง
เจ้าค่า

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่20

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
.
#โครงสร้างของร่างกาย มีส่วนประกอบคือ
(1)จิตใหม่คือ จิตที่ถอดออกมาจากจิตหลัก ขนาดเม็ดถั่วเขียว
อยู่ที่สมอง ที่ยังหลงผิด คิดว่ากายเนื้อคือตัวตนเจ้า [ กายหยาบ ]
(2)ร่างกายเจ้า คือ กำแพงแก้ว[ กายใน ]+รั้วไม้ประดับ [ กายเนื้อ ]
(3)กายใน คือ กำแพงแก้ว [ ร่างอากาศธาตุ หน้าตาเหมือนร่างกายเนื้อ ]
ที่เป็นกระจกใส-ที่มองออกไปนอกรั้วกำแพงได้
(4)กายเนื้อ คือ รั้วไม้ประดับนอกกำแพงบ้าน สวยงาม-ขี้เหล่ ตามแรงบุญ
(5)ลำตัวเจ้า คือ บ้านมีชาน มีห้องผลึกแก้ว 1 ห้อง กลางบ้าน
(6)กายเก่า คือสัญญากรรมเจ้า มีเป็นสิบ-เป็นร้อยตัว นอนเล่นที่ชานบ้าน
คือตัวเจ้าเอง ที่เคยเกิดในแต่ละชาติ คน เทวดา เปรต พรหม นาคราช ฯลฯ
บางคนมีแสงสว่างออกจากตัว บางคนมีผิวกายที่สะอาด
บางคนมีสีต่างๆที่ตัว บางคนเนื้อตัวมอมแมม สกปรก หรือมี หมา แมว ฯลฯ
(7)จิตเดิมคือ ห้องผลึกแก้ว กลางบ้าน มีพ่อ-แม่เจ้าอยู่ในห้องผลึกแก้ว
นั่นคือ พระพุทธเจ้า กับ พระแม่ธรณี ที่ต่อสายจิตลงมา
เมื่อเจ้าคิดถึงพระพุทธองค์ และพระราชมารดา
(8)เจ้ากรรม คือ คู่กรณีของกายเก่า แต่ละตัว
รอเจอคู่กรณีกายเก่า คู่ใคร คู่มัน อยู่นอกกำแพงบ้าน
(9)นายเวร คือ พัศดีเจ้าหน้าที่ควบคุมความประพฤติ สามารถเข้าไป
ข้างในบ้านได้ เพื่อตรวจเวร-ควบคุมความประพฤติ กายเก่าบางตัว
.
#กลไกการทำงานของแรงกรรม [ กายเก่าคือ ร่างสัญญากรรม ]
(1)กายเก่าของเจ้า จะพาเจ้า ออกเที่ยวนอกบ้าน นอกรั้วบ้าน
แต่เดินตามหลังเจ้า พูดคุยให้เจ้าได้ยินด้วยความคิด ที่หัวสมองเจ้า
เจ้าจะได้ยินตลอดเวลา ทั้งวัน ทั้งคืน มีสาระบ้าง ไร้สาระส่วนใหญ่
(2)กายเก่า จะพาเจ้าเดิน ขับรถ ไปหาคนนั้น ไปหาคนนี้ พูดกับคนนั้น
คุยกับคนนี้ เป็นเสียง หรือเป็นภาพในหัวสมองเจ้า แล้วเจ้าก็จะพูดตาม
เสียง[ ความคิด ] ที่เจ้าได้ยิน หรือภาพที่เจ้าเห็นในสมอง
(3)กายเก่าบางตัว พาเจ้าไปหาใครก็ไม่รู้ แค่เห็นก็รู้สึกรัก
ทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมคิดถึงจัง จนต้องพาตัวเข้าใกล้ชิด
จนจิตใหม่หลงรัก ไปกับกายเก่า (ที่อยู่ข้างหลัง) ไปด้วย
แต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้น หลังจากฟันเจ้าแล้ว ค่อยๆหนีหน้าเจ้าตลอดเวลา
เจ้าก็คิดถึงๆผู้ชายคนนั้น จนถูกทิ้งถาวร กายเก่าตัวนั้น ก็หายตัวไปแล้ว
[ สัญญากรรมล้างหมดแล้ว ] แต่จิตใหม่รักและคิดถึงชายคนนั้นมาก
จึงเอาความรัก-ความคิดถึง ไประบายเป็นสีที่กำแพงรั้วบ้าน จนสกปรก
[บันทึกสัญญากรรมใหม่ ลงที่กายในใหม่ ]
(4)กายเก่าอีกตัว พาเจ้าออกนอกบ้าน เดินข้างหลังเจ้า(ร่างอากาศ)
ไปเจอคนๆหนึ่ง อยู่ๆคนๆนั้นก็เข้ามาหาเรื่อง มาด่า จะเข้ามาทำร้าย
[ มีร่างเงาเจ้ากรรม คู่กรณีกายเก่าเจ้า อยู่ข้างหลังชายคนนั้น ]
เจ้าก็สวนหมัดโครม จนทะเลาะกันขึ้นโรงขึ้นศาล ร่างเนื้อทั้งสองร่าง
แต่ร่างอากาศธาตุ คู่กรณีทั้ง กายเก่าเจ้า และร่างเงาของเขาหายไปแล้ว
ร่างสัญญากรรมทั้งสองถูกล้างแล้ว แต่กายในใหม่+จิตใหม่ทั้งคู่
ได้บันทึกสัญญากรรมลงในกายในใหม่ ทั้งสองคน เป็นสิ่งสกปรก
ที่ไปป้ายทาไว้ที่กำแพงแก้ว เรียบร้อยแล้ว ส่งต่อ*ร่างสัญญากรรม*
.
(1)การไม่มีสติ คือ กายเก่า[ สัญญากรรม ] พาจิตใหม่
ออกไปเที่ยวนอกกำแพงบ้าน [ นอกร่างกาย ] ด้วยความคิด
และกายเก่าออกไปจริง เดินตามหลังกายเนื้อเจ้า
และมีเชือกผูก*จิตใหม่* เชื่อมต่อกับ*ห้องผลึกแก้ว"จิตเดิมเอาไว้
(2)ทุกครั้งที่เจ้าท่อง*พุทโธ* ๆๆๆๆๆๆ ลอยๆ รัวๆ ในใจ
จิตเดิมจะกระตุกเชือกดึงจิตใหม่ กลับเข้าบ้านทันที ความคิดจะหายไป
(3)พอเจ้าลืม*พุทโธ*กายเก่าก็พาจิตใหม่ ออกนอกบ้านเหมือนเดิม
(4)ถ้าเจ้าท่อง*พุทโธ*ๆๆๆ ลอยๆ รัวๆ ได้ตลอดทั้งวัน-ทั้งคืนนั่นคือ*มหาสติ*
(5)ถ้าเจ้าท่อง*พุทโธ*ท่องบ้าง-ลืมบ้าง คือสติชั่วคราว(ขนิกกะสมาธิ)
(6)ถ้าเจ้านั่งสมาธิ หลับตา นั่นคือ จิตใหม่จะเข้าไปในห้องผลึกแก้ว(จิตเดิม)
มองไม่เห็นอะไร คือ #สมถกรรมฐาน จะเกิดแสงสว่างที่ห้องผลึกแก้ว
กระจายผ่านชานบ้าน ที่กายเก่าเจ้าอยู่ และทะลุกำแพงแก้ว ออกนอกบ้าน
ไปถึงเจ้ากรรมทั้งหลาย ที่เป็นร่างวิญญานที่ยังไม่ได้เกิด รับแสงนั้นด้วย
ล้างสัญญากรรม ที่มีลักษณะเป็นเงาดำ จนหายไปในที่สุด
(7)ถ้าเจ้านั่งสมาธิ (สมถกรรมฐาน)จนจิตนิ่งอยู่ตัวแล้ว แล้วลืมตา
มองเห็นรอบๆตัวเจ้า นั่นคือ #วิปัสสนากรรมฐาน เจ้าจะเห็นทุกอย่าง
ด้วยตาเนื้อ แต่ที่หัวสมองเจ้า ไม่มีความคิดใดๆเลย แต่รู้ทุกสิ่งที่เจ้าเห็น
เรียกว่า #วิปัสสนาญาน
(8)เมื่อเจ้าเพ่งมองไปที่รั้วไม้ประดับ ซึ่งคือกายเนื้อเจ้า แล้วเห็นตับ ไต
ใส้ พุงตัวเองทั้งหมด โดยที่หัวสมองเจ้าไม่มีการคิด แต่จะมีเสียงคุยกับเจ้า
ในจิต อธิบายสิ่งต่างๆที่เจ้าเห็น ที่เกิดจากจิตเดิม(ห้องผลึกแก้ว)คุยกับเจ้า
นี่คือ #อริยะปัญญา
(9)หากเจ้านั่งสมาธิ แต่ยังไม่เห็นอะไร แต่ที่หัวเจ้าคิดว่า ผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง [ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ] ตามที่เคยถูกสอนมาว่าให้พิจารณา
ร่างกาย แสดงว่า จิตใหม่เจ้าออกจากห้องผลึกแก้ว ไปนอกตัวตามจิตใหม่เจ้า
จินตนาการ นั่นคือ #วิปัสสะนึก ไม่ใช่ #วิปัสสนา เพราะวิปัสสนาจะไม่มี
การคิด แต่เจ้าจะเห็นด้วยตาในเจ้า และมีเสียงพูดออกมาจากในจิตเจ้า
(10)หากเจ้าเดินจงกรม ในหัวเจ้าจะต้องไม่มีความคิด มีแต่คำว่า พุทโธๆๆ
ทุกสิ่งที่เจ้ากำลังมองเห็น นั่นคือ #ญานทัศนะ
(11)หากเจ้าเดินจงกรม แล้วจู่ๆเจ้ากลับเห็นร่างกายเจ้า มี 2 คนเห็นตัวเอง
กำลังเดินจงกรมอยู่ แสดงว่า กายเก่าเจ้า พาจิตใหม่เจ้า
ถอดออกจากกายเนื้อ มาเป็นอีกร่าง เห็นกายเนื้อเจ้ากำลังเดินจงกรม
ตามปกติ เพราะถูกควบคุมด้วยจิตเดิม นั่นคือ #อริยะปัญญา
(12)ถ้าเจ้านั่งสมาธิ หลับตา จนกำแพงแก้ว ถอยตัวห่างจาก รั้วไม้ประดับ
แสดงว่า กายใน แยกจาก กายเนื้อแล้ว นั่นคือ #ฌาน4 รอกายเก่าพา
จิตใหม่เจ้า ท่องมิติทิพย์ จิตเดิมอยู่เฝ้ารักษากายเนื้อ
(12)กายเก่าที่เป็นเทวดา จะพาจิตใหม่เจ้าเที่ยวแดนสวรรค์ หรือภพนาคราช
(13)กายเก่าที่เป็นพรหม จะพาเจ้าเที่ยวแดนพรหม ที่มีแสงสว่างสวยงาม
นั่นคือ #ฌาน6 หรือ #วิญญานัญจายะตะนะ
(14)จะเป็นกายเทวดา หรือกายพรหม สอนจิตใหม่เจ้าให้เดินจงกรม
ในมิติทิพย์ นั่นคือ #ฌาน7 หรือ #อากิญจัญญายะตะนะ
(15)ถ้าจิตใหม่เจ้า เข้าไปในห้องผลึกแก้ว นอนหนุนตักแม่เจ้า ฟังเสียง
แม่เจ้ากล่อม จับมือแม่เจ้าที่แสนอบอุ่น แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ นั่นคือ
#ฌาน8 หรือ #เนวะสัญญานา_สัญญายะตะนะ ครึ่งหลับ-ครึ่งตื่น
(16)หากเจ้าหลับคาตักแม่เจ้า ไม่รู้สึกตัว แต่แสนอบอุ่นมีความสุขมาก
นั่นคือ #นิโรทสมาบัติ หรือ #สัญญาเวทยิทนิโรท(ดับความจำ-ดับความรู้สึก)
(17)ตั้งแต่ฌาน5 จนถึง นิโรทสมาบัติ จะไม่มีการเรียงตามลำดับ
จากฌาน4 กระโดดไปฌาน ไหนๆได้เลย ไม่เหมือนฌาน1 จนถึงฌาน4
.