พระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
"กายตรัยสูตรของมหายาน"
ตถาคตมีกายเป็น 3 สภาวะคือตรีกาย คือ
นิรมาณกาย หมายถึง กายที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของสังขารในฐานะที่เป็นมนุษย์ พระศากยมุนีผู้ท่องเที่ยวอยู่บนโลก สั่งสอนธรรมแก่สาวกของพระองค์ และดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา
สัมโภคกาย หมายถึง กายแห่งความบันเทิง มีลักษณะเป็นทิพยภาวะรุ่งเรืองแผ่ซ่านปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ธรรมกาย หมายถึง กายแท้จริงอันเป็นสภาวธรรม ในฐานะเป็นสภาพสูงสุด หลักแห่งความรู้ ความกรุณา และความสมบูรณ์
นิพพาน
แบ่งตามสถานที่และตามกาลเวลามี 3 แห่ง
1. อายตนะนิพพานภายนอก = เมืองพระนิพพาน หรือ พุทธเกษตร มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต เมืองพระนิพพาน หรือ พุทธเกษตร เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์บริสุทธิ์ หรือสัมโภคกาย
2. พุทธภูมิ พุทธภูมิ ก็อยู่ในพุทธเกษตร หรืออยู่ในเมืองพระนิพพาน เพียงแต่ผู้ที่ไปอยู่ในพุทธภูมิไม่ต้องใช้กายจำแลง หรือกายทิพย์แล้ว ใช้กายแท้ของตนเองที่เป็นกายธรรม หรือธรรมกายเลย จิต(ธรรม)จะอยู่ในกาย ที่ทำสมาธิอยู่ในนิโรธ
จะเห็นว่า...อายตนะนิพพานภายนอกที่เป็นเมืองพระนิพพาน หรือ พุทธเกษตร มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต
และเป็นที่อยู่ของ สัมโภคกายของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกายแห่งความบันเทิง มีลักษณะเป็นทิพยภาวะรุ่งเรืองแผ่ซ่านปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ชาวพุทธมหายานเรียกสัมโภคกายว่า "โพธิสัตว์อรหันต์ หรือ อรหันต์โพธิสัตว์"
ถ้าคุณเชื่อว่า พระแม่กวนอิมมีจริง และยังวนเวียนช่วยเหลือชาวโลกอยู่ และเชื่อว่า พระพุทธรูปและพระเครื่อง พระบูชาต่างๆ มีอำนาจพุทธคุณจริง = คุณยอมรับว่ามีสัมโภคกาย มี"โพธิสัตว์อรหันต์ หรือ อรหันต์โพธิสัตว์"
เพราะพุทธคุณเหล่านั้นล้วนออกจากสัมโภคกายหรือกายทิพย์อรหันต์ทั้งนั้น ไม่ได้ออกจากธรรมกาย และจากนิพพาน(จิตหรือธรรม)
เพราะพวกท่านอยู่ในความว่างของนิโรธสมาบัติ คงไม่มายุ่งกับทางโลกอีก
ส่วนอายตนะที่เป็นพุทธภูมิ ก็เป็นที่อยู่ของอายตนะนิพพาน(ภายใน)ที่เป็นธรรมกาย ดังที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกล่าวกับพระสารีบุตรว่า
" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "
ผมขอเน้นจุดนี้ อายตนะนิพพานภายใน คือ ธรรมกาย ปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต และในปัจจุบันก็ตั้งอยู่อย่างมั่นคง
เป็นลักษณะของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่อยู่ในนิโรธ บางครั้งยังมีการปรึกษากันบ้าง แต่ไม่มาก สติไม่หลุดออกจากสมาธินิโรธ
ไม่เหมือนนิพพานข้อ 3 ที่เป็นจิตล้วน ดังนี้
3. นิพพานจิต หรือนิพพาน หรือปรินิพพาน นิพพานตัวนี้เป็นตัวจิตล้วน ไม่ต้องใช้กายธรรม นิพพานจิต หรือนิพพาน หรือปรินิพพาน เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา ที่ไม่มีกาลเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต และดำรงอยู่ในปจจุบันที่มั่นคง จิตทรงอยู่ในนิโรธสมาบัติตลอดกาล ไม่ส่งจิตออกไปภายนอกเลย
สรุป
นิพพาน... เป็นสภาวะที่จิต และรูปร่างของจิต คือกาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย เป็นอมตะ นิพพานแบบมีกาย+จิต และมีกาลเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องสมบูรณ์ มีอนาคต อดีต ปัจจุบัน คือ สัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์บริสุทธิ์) มีเมืองนิพพาน ซึ่งเรียกว่า "พุทธเกษตร"
นิพพาน...แบบพุทธภูมิ เป็นที่อยู่ของกาย+จิต ที่เรียกว่า "กายธรรม หรือธรรมกาย" ธรรมคือตัวจิตมหาบริสุทธิ์ ส่วนกายจะทำสมาธินิโรธ
นิพพานแบบ "กายธรรม หรือธรรมกาย" เถรวาทยอมรับ แต่ไม่ยอมรับนิพพานของสัมโภคกาย ที่มีเมืองนิพพาน หรือ พุทธเกษตร เพราะไม่เชื่อว่า ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจะเป็นโพธิสัตว์ช่วยสรรพจิตอีกได้
สัมโภคกาย ( พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์บริสุทธิ์ ) นี้คือ โพธิสัตว์อรหันต์ ที่ยังต้องการช่วยสรรพจิตให้ออกจากสังสารวัฎฎ์ จึงต้องมีเมืองนิพพาน ซึ่งเรียกว่า "พุทธเกษตร" เอาไว้สำหรับพวกเท่าน
นิพพาน ที่เป็นจิตล้วน หรือเป็นมหาสุญญตา จิตว่างอยู่ในนิโรธตลอด นั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
แต่พวกมารและพญามาร แต่เดิมบิดเบือนแค่ไม่มีสัมโภคกาย ต่อมาก็บิดเบือนอีกว่า ไม่มีธรรมกายด้วย
พวกนี้เลยบิดเบือนพุทธศาสนาแบบเบ็ดเสร็จไปเลย แม้แต่นิพพานก็ไม่ให้มีด้วย สูญหมด แล้วเราจะเข้านิพพานกันเพื่ออะไร อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่ดีหรือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น