วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จิตภาคแบ่ง



  • " จิตภาคแบ่ง " และ การทำงานร่วมกัน ของ " เครือข่ายมหาโพธิสัตว์
  • จิตภาคแบ่ง สามารถรับกรรมแทนกันได้ ทั้งยังทำกิจเป็นองค์แทนกันได้ 
  • พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมาก จะเลื่อนจากสวรรค์ชั้นดุสิต ขึ้นไปยังพุทธเกษตรที่นั่นท่านจะสำเร็จเป็น " มหาโพธิสัตว์ " 
  • และได้รับธรรมจากพระยูไล ทำให้สามารถ " แบ่งภาคได้มากมาย " ( บางพระองค์มีภาคแบ่งเป็นหมื่นโกฏิ ก็มี ) 
  • เมื่อภาคแบ่งของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีร่างมากกว่า ๑ ร่าง ที่จะอยู่ภายใต้ " เครือข่ายมหาโพธิสัตว์ " องค์นั้นๆ ซึ่งท่านจะคอยเชื่อมโยงการทำกิจต่างๆ อยู่เบื้องบน
  • นอกจากนี้ ยังมีจิตภาคแบ่งที่กระจายไปยังสามภพ หรือโลกธาตุอื่นๆ อีกด้วย 
  • จิตภาคแบ่งเหล่านี้ นอกจากจะสามารถทำกิจโดยเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้แล้ว หรือ คานดุลยภาพกันเองแล้ว ( กิจขัดแย้งกัน ) 
  • ยังสามารถ " รับกรรม " แทนกันได้ และ " รับกิจ " เป็นองค์แทนในการทำกิจแทนกันได้ด้วย 
  • ดังจะได้อธิบายในส่วนต่างๆ ต่อไป
  • เมื่อแบ่งภาคจิตแล้ว จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่า ๑ คน มนุษย์เหล่านี้จะอยู่ภายใต้ เครือข่ายมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน ไม่ใช่ปัจเจกบุคคล แต่จะอยู่อย่างเชื่อมโยงกัน 
  • สมมุติเช่น นาย ก. ถึงวาระต้องได้รับวิบากกรรมแล้ว แต่ได้สร้างบุญบารมีมากได้ทันก่อน ในขณะที่ นาย ข. ( อีกภาคแบ่งหนึ่ง ) กลับสร้างบุญบารมีได้น้อย ผลคือ " วิบากกรรม " แทนที่จะถึงแก่ นาย ก. ก็จะไหลไปสู่ นาย ข. แทน อันเป็นผลจากการบำเพ็ญบุญบารมีหนุนส่งของ นาย ก. นั้น และผลจาก "เครือข่ายภาคแบ่งจิตของมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน" 
  • เพื่อให้จิตภาคแบ่งใดที่บำเพ็ญบารมีน้อย อ่อนแอเกินไป ได้เร่งบำเพ็ญบุญบารมีให้มากขึ้น และ ภาคส่วนที่บำเพ็ญบุญบารมีมากแล้ว ได้เสวยสุข อยู่เฉยๆ รับกรรมน้อยลง จะได้ชะลอการบำเพ็ญบารมีลง เพื่อเฉลี่ยให้ได้บุญบารมีพอๆ กันในแต่ละภาคแบ่งนั้น 
  • ซึ่งในการที่คนๆ หนึ่ง จะถ่ายเปลี่ยนเวรกรรมลงสู่ภาคแบ่งของตนเอง ( อีกร่างหนึ่ง ) ได้นั้น เขาย่อมกระทำโดยไม่มีมิจฉาทิฐิ คือ พร้อมยอมรับกรรมทุกอย่างแล้ว 
  • แต่ถึงวาระกรรมมาถึง เขากลับไม่ได้รับ เพราะบุญบารมีที่สร้างไว้หนุนส่ง นั่นเอง และยังต้องไปพบปะกันบ้าง อย่างน้อยเห็นหน้าที่ได้ทักทายกัน ก็จะสามารถถ่ายเทบุญกรรมสู่กันได้ 
  • เหมือนน้ำที่อยู่คนละภาชนะ หากจะให้ไหลไปมาหากัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ต้องมี " สายเชื่อมโยง " ซึ่งก็คือ " กรรมที่กระทำร่วมกัน " เช่น ไปพบเจอกัน, พูดคุยกัน, หรือทักทายกัน อย่างน้อย เป็นต้น
  • นอกจากนี้ ยังสามารถ " ถ่ายทอดกิจ " ให้เป็น " องค์แทน " ในการทำกิจหนึ่งๆ แทนกันได้ด้วย 
  • เช่น ถ้า นาย ก. ไม่อยากเป็นพระราชา และทราบว่ามีภาคแบ่งหนึ่งของตนที่พร้อมรออยู่ แล้วไปหาเขา ถ่ายทอด " จิตวิญญาณ " บางดวงในร่างของเขาให้ไป ก็จะสามารถถ่ายทอดกิจ ให้เป็นตัวแทน หรือ " องค์แทนภาคมนุษย์ " ในการทำกิจเป็น พระราชา ต่อไปได้ด้วย 
  • สำหรับท่านที่มีญาณหยั่งรู้สูงๆ หากต้องการสับเปลี่ยนบทบาท การทำกิจต่างๆ ก็สามารถทำได้ โดยการเข้าหาภาคแบ่งของตัวเอง เพื่อเชื่อมโยงร่างสังขารกันผ่านกรรมเล็กๆ เช่น การมองกัน , การได้พบกัน ฯลฯ 
  • เพียงเท่านี้ ก็สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณบางดวงสู่ร่างมนุษย์อีกร่างหนึ่งให้ทำหน้าที่แทนได้ 
  • ด้วยวิธีนี้ ทำให้จิตภาคแบ่ง " สามารถเลือกได้ " ว่าจะทำกิจใด ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับ " บุญบารมี " ที่ได้สร้างทำไว้ในชาตินั้นๆ ด้วย ( หากไม่มีบุญบารมีหนุนส่ง หรือไม่มีกรรมเปิดช่องให้ ก็ไม่สามารถรับกิจรับกรรมนั้นๆ ได้ )
  • ขุมปัญญาและความสามารถต่างๆ ของจิตภาคแบ่งทุกดวง ล้วน " ไม่ใช่ตัวตนของตน " แต่เป็น " สมบัติสาธารณะ " ที่ทุกจิตภาคแบ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด 
  • หากจิตภาคแบ่งดวงใดดวงหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง เชื่อมต่อเข้ากับ " คลังบารมีเครือข่ายมหาโพธิสัตว์ " นั้น ก็สามารถรับปัญญาและความสามารถพิเศษต่างๆ ไปได้ 
  • ไม่ว่าร่างสังขารนั้นๆ จะตายจากภพหนึ่งภพใดหรือยังก็ตาม เช่น นาย ก. ฝึกธาตุไฟ, นาย ข. ฝึกธาตุน้ำ ทั้งสองยังไม่ตายและเป็นภาคแบ่งที่มาจากเครือข่ายพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน 
  • ก็สามารถเชื่อมโยงความสามารถพิเศษ หรือแลกเปลี่ยนกันได้ ดังนั้น จึงปรากฏว่าบางท่าน ไม่ทันได้ฝึกอะไรมาก ก็มีความสามารถสูงได้ 
  • หรือในนิยายกำลังภายในที่ตัวเอกของเรื่องไม่ได้ฝึกอะไรมาก ไม่ได้ฝึกยาวนาน แต่กลับกลายเป็นยอดยุทธได้ เหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ถ้า " เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบเครือข่าย " ได้อย่างถูกต้อง 
  • เพราะสิ่งเหล่านี้ " เป็นบารมีเก่าร่วมกัน " มาก่อนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเริ่มต้นจาก ๐ สามารถก้าวต่อยอดของเก่าที่เคยทำไว้ได้เลย
  • การเกิดใหม่ในร่างของภาคแบ่ง 
  • โดยการแบ่งภาคจิตของตนเองในสังขารเดิม ให้มีจิตมากกว่า ๑ ดวง สมมุติมี ๓ ดวงในร่างกาย 
  • ก็สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณที่แบ่งภาคออกมาแล้วนั้น ไปยังร่างสังขารอื่นๆ ที่เป็นจิตภาคแบ่งในเครือข่ายของพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกันได้ 
  • พระเมตรัยแบ่งภาคเป็น นาย ๑, ๒ และ ๓ ถ้านาย ๑ แบ่งภาคจิตในสังขารเดิมของตน แล้วบำเพ็ญจิตทั้งสองดวงสำเร็จเซียน ก็สามารถถอดจิตแล้วไปถือกำเนิดใหม่ในร่างของนาย ๒ และ นาย ๓ ได้ 
  • ทำให้สามารถทำกิจได้โดยมีร่างสังขารเพิ่มเป็น ๓ ร่าง
  • สมมุติ นาย ๑ อยากเป็นพระช่วยทางธรรม, อยากเป็นฆราวาสช่วยทางโลก นาย ๑ ก็แบ่งภาคจิต แล้วบำเพ็ญจิตภาคแบ่งนั้นให้สำเร็จเซียนก่อน จิตที่แบ่งออกมาก็สามารถไปจุติ ( เกิดใหม่ ) ในร่างมนุษย์ร่างอื่นที่เป็นภาคแบ่งหนึ่งของตนได้ ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งพระและฆราวาสได้ด้วยพร้อมๆ กัน ซึ่งการจะทำได้ถึงขั้นนี้ต้องบำเพ็ญบารมีจิตขั้นอุกฤษต์ทีเดียว
  • การต่ออายุขัยให้ยืนยาวขึ้นโดยอาศัย " จิตภาคแบ่ง " ที่ตนได้แบ่งภาคแล้วเวียนว่ายอยู่ในภพมนุษย์ยังไม่หลุดพ้นไปไหน สามารถใช้จิตวิญญาณเหล่านี้ ต่ออายุขัยไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีจิตวิญญาณให้ต่ออายุขัยในร่างนั้นๆ หรือร่างนั้นๆ เสื่อมโทรมจนไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป จึงค่อยละสังขารก็ได้ ด้วยวิธีนี้ สังขารนั้นจะอยู่เหนือโลก เหนือพรหมลิขิต สามารถเป็นไปได้ตามแต่ต้องการ ซึ่งผู้ที่ฝึกจิตได้ถึงขั้นนี้แล้ว มักไม่นิยมความอายุยืน และปลงตกอย่างยิ่งยวดแล้ว พร้อมละสังขารตลอดเวลาอยู่แล้ว การต่ออายุขัยด้วยการหาจิตวิญญาณมาเสริมเพิ่มในกายสังขารเดิมนี้ จะทำให้จิตวิญญาณดวงใดที่หมดวาระในร่างสังขารนั้นได้จรออกไป แล้วจึงมีจิตวิญญาณดวงอื่นมาเสริมในร่างสังขารนั้นๆ เพื่อทำหน้าที่ต่อได้ สังขารนั้นๆ ก็จะมีอายุขัยยืนยาวต่อไปอีกได้ ทว่า จะส่งผลให้สังขารนั้นๆ เหมือนคนผีเข้าผีออก คือ มีจิตใจเปลี่ยนแปลงไป เรรวน หรือคล้ายกลายเป็นคนใหม่ หรือคนอื่นที่ไม่เหมือนเดิมก็ได้ ดังนั้น เมื่อจิตวิญญาณอื่นเสริมเข้ามาในร่างแล้ว จำเป็นที่ร่างสังขารนั้นๆ ต้องบำเพ็ญบารมีธรรมโปรดจิตวิญญาณนั้นๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงชีพได้ตามปกติต่อไปได้ นั่นเอง
  • การทำกิจโดยใช้ " เครือข่ายจิตภาคแบ่ง " สามารถทำได้โดยการระลึกถึงว่าเรามิใช่ตัวตนตัวเดียว หรือปัจเจกชนที่มีอยู่คนเดียวโดดๆ แต่มีเรา, ร่างสังขาร, จิตวิญญาณ ในภพนี้และภพอื่นอีกมากมายที่เชื่อมโยงกันอยู่ 
  • เมื่อเข้าถึง " ประตูมิติแห่งจิตวิญญาณ " แล้ว จะเห็นและเข้าใจถึงการทำงานประสานกันของจิตวิญญาณมากมายของเราเอง ได้มากเท่าที่กำลังญาณจะไปถึง เช่น บางทีจะเห็นการทำงานร่วมกันของจิต ๓ ดวงบ้าง ๑๐ ดวงบ้าง ฯลฯ ก็จะเข้าใจกลไกลการทำงานแบบเครือข่าย และสามารถวางตัวเองให้ทำกิจใดกิจหนึ่ง ให้เชื่อมโยงหรือคานดุลยภาพกับร่างสังขารอื่นๆ ก็สามารถทำได้ เพื่อให้งานในภาพรวม กิจในภาพรวม เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น โดยที่ตนเองอาจไม่ต้องออกแรง, ออกโรง หรือออกตัวเลยก็ตาม เพราะร่างสังขารจำนวนมากมายที่แบ่งไปแล้วของตนนั้น สามารถกระทำแทนได้ทุกกิจ นั่นเอง
  • กายนั้นมี ๓ กาย คือ สัมโภคกาย ( กายสังขาร ) , ธรรมกาย , และ นิรมาณกาย ผู้ชำนาญในสามกายนี้ สามารถใช้สามกายทำงานได้อย่างพิสดาร โดยเฉพาะ นิรมาณกายนั้น สามารถมีได้มากมายนับไม่ถ้วน สัมโภคกายนั้น อาจเกิดจาก การแบ่งภาคได้มากมาย อัน ธรรมกายศูนย์กลางนั้น สามารถบริหารทุกกายได้ ไม่อาจนับได้ จึงสามารถทำกิจได้ ราวกับเป็นคนหลายๆ คน อย่างน่าอัศจรรย์
  • Cr. ฉันนะ การแบ่งภาคจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น