คำเตือนจากกระแส และทะเลอารมณ์
- อาจมีผู้สงสัยว่า ในการเขียนคำสอนของอาจารย์ ใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่ายามนี้ควรเขียนเรื่องอะไร
- ความจริงก็คือว่าเมื่อก่อนก็เคยมีบ้างที่คิดว่าจะเขียนอะไรดี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องคิด
- เพราะเรื่องที่จะสอนมักจะเกิดประเด็นขึ้นมาเอง หรือไม่ ก็มักเป็นผลจากการภาวนาที่เป็นปัจจัยให้ต้องยกเรื่องนั้นๆ มาเขียน
- เหตุครานี้ของอาจารย์ เป็นผลจากการหยั่งจิตลงไปสู่จิตจักรวาล และได้เห็นอานุภาพความรุนแรงของสิ่งที่เรียกว่า “ทะเลอารมณ์” เป็นคำที่ผุดขึ้นมาในสภาวะธรรม และสภาวะที่ต้องเตรียมรับมือ
- คำว่า “จิตจักรวาล” คือคลื่นกระแสโลกียะที่มัดสรรพสัตว์ไว้ในภพ ทำให้ติดข้องอยู่ด้วยเครื่องผูกใจหรือสังโยชน์ ทำให้หลุดพ้นจากภพชาติไม่ได้
- เพราะจิตติดข้องอยู่คลื่นกระแสที่อัดแน่นไปด้วยเครื่่องผูก ในขณะที่โลกุตระ คืออาณาเขตที่อยู่พ้นจากเครื่องผูก มีความเป็นอิสระจากข่ายพลังงานนี้ไม่สามารถมาพันจิตให้ติดข้องได้อีก
- ผู้ที่จิตหลุดพ้นแล้ว คือผู้ที่ทำลายสังโยชน์สิ้นแล้ว ก่อนที่จะทำลายสังโยชน์สิ้นได้ ก็ต้องทำลายกิเลสให้ได้ก่อน
- เพราะกิเลสเป็นตัวทำให้จิตผูก หากจิตพ้นจากกระแสพันธนาการได้แล้ว แต่ยังไม่หมดอายุขัย ก็จะมีสภาพจิตที่ลอยตัวจากเครื่องผูกแต่กายสังขารก็ยังอยู่ไปจนกว่าจะสิ้นอายุ
- หากเป็นผู้ชอบเก็บตัวก็ไปอยู่ป่าเขาที่สงบระงับสบายไป แต่หากมีหน้าที่ช่วยเหลือโลก ก็ต้องทำไปตามกำลังของจิต แม้กายจะอยู่ปกติเหมือนเดิม
- แต่จิตภาพเดี่๋ยวก็พุ่งไปโน่น ไปชนนี่ ไปเจอนั่น พุ่งไปพุ่งมา คือดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอชั้นปัญหาลึกลงไปเรื่อยๆ ตามกำลังของจิต
- เรียกว่าไปรู้เห็นได้อย่างไม่จบสิ้น แล้วหากกำลังจิตมากก็ช่วยสลายพลังมืดไปทีละเปราะทีละเรื่องได้ตามกำลังความบริสุทธิ์ของจิต ..
- หากพูดให้เห็นภาพแบบหนัง ผู้ที่มีจิตพ้นแล้ว จิตก็เหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ ที่ลอยตัวอยู่นอกโลก แล้วก็พุ่งลงมาแก้ปัญหาบางอย่างในโลก
- เสร็จแล้วก็ไปลอยตัวอยู่นอกโลกใหม่ วนไปวนมาแบบนี้ โดยกระแสโลกียะไม่สามารถมาพันพัวจิตได้ เพราะจิตสามารถตัดกระแสคลื่นเหล่านี้ได้ ด้วยการวางอุเบกขาที่สมบูรณ์ของจิตรู้ หรือจิตนิพพาน
- กิเลสกับสังโยชน์ (กามฉันทะ พยาบาท มานะ ฯลฯ) จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันที่มีผลโดยตรงต่อกันการหลุดพ้น
. กลับมาเรื่องของทะเลอารมณ์ ที่ต้องส่งเตือน
- เมื่อก่อนนี้ ที่ยังไม่มีกระแสอินเตอร์เนท เวลาที่คนมีความรู้สึกติดหรือลุ่มหลงอะไร มันก็เป็นแค่ทะเลใจ คือคิดวนอยู่สักพัก ไม่นานก็พ้นมาได้ไม่ยากนัก
- แต่พอโลกพัฒนาเครือข่ายออนไลน์ สร้างระบบกระแสข่ายให้จิตพันกันไปทั้งโลก พอมีอะไรมากระทบนิด มันสะท้านเหมือนใยแก้ว เริ่มจากเส้นๆ เดียวแล้วพันส่งต่อไปหมด (นี่ไม่ได้เปรียบเทียบนะ แต่มันเป็นใยจริงๆ )
- แล้วก็รับคลื่นนั้นกลับคืนมาสู่จิต มวลอานุภาคพลังงานที่มันสะท้อนส่งกลับมหาศาลตามกำลังคลื่่นแม่เหล็กที่ถูกส่งอยู่ในจักรวาล
- ทำให้ผู้ที่ไม่ได้อบรมจิตมาบ้าง เวลาจิตติดข้อง ทำให้จิตหนักและตกได้ง่าย กลายเป็นคนเก็บกด จมทุกข์ คิดวนแบบถอนหรือหาทางออกไม่ได้
- และคอยแต่จะทำปฏิิกริยาตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เพราะจิตถูกอัดด้วยคลื่นกระแสลบที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ จนเกิดเป็นทะเลอารมณ์ที่ซัดชีวิตให้จมหายไปได้ ในการกระแทกของคลื่นม้วนเดียว
- คนบางคนจึงกระโดดตึกตาย หรือทำลายตนได้ง่ายๆ เพราะภาวะทะเลอารมณ์นี่เอง
- สังคมโลก จึงกลายเป็นสังคมของคน “แรง” คนเงียบก็เก็บกดแรง คนแรงก็ยิ่งแรง ทวีระดับความแรงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนเมืองที่อยู่ท่ามกลางกระแสเหล่านี้… เหยื่อชัดๆ
- ในบทความที่ถูกดึงมาให้จิตอาจารย์เห็นสะดุดตาจาก นสพ. เพื่อรับรู้ถึงแผนการพัฒนาในโลกว่า ในปี 2020 อีก 5 ปีข้างหน้า
- โลกจะเข้าสู่ยุค Internet of Things ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายอินเตอร์เนททั้งหมด ด้วยคลื่นความถี่ที่ต่างกัน
- บทความนี้สร้างความผวา ถือเป็น WAKE UP CALL ให้แก่อาจารย์ยิ่งนัก
- เพราะหมายถึงขุมพลังมืดมหาศาลที่จะปกคลุมจักรวาลให้มืดมิดหนักกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้โลกถูกตีกรอบด้วยคลื่นต่างๆ ที่ภาษาธรรมเรียกว่าเครื่องผูก ชนิด ฆราวาสและผู้ที่ยังใช้ชีวิต Connect กับโลกแบบไม่ปรับตัว แทบหมดทางรอด
- ใครที่ยังมองไม่ออกว่า พุทธทำนายความเสื่อมหนักของโลกจะเกิดขึ้นได้อย่างไร …เรา ผู้มีอายุขัยอยู่ในยุคนี้ คือผู้ที่ได้รู้จุดเริ่มต้นของมันแล้ว
- โลกเสื่อมเพราะกระแสการเชื่อมโยงกันทั้งโลกด้วยอินเตอร์เนทนี่เอง….น่ากลัวเหลือเกิน
- กระแสเตือนนี้มันเหมือน Dead Line ของผู้ที่จะแสวงหาความพ้นไปว่า …. “ภายในอีก 5 ปีนี้ หากพวกเจ้ายังไม่รอด โอกาสก็เลือนลางเสียแล้ว
- เพราะสุดจะต้านทานขุมพลังที่เขาเตรียมสร้างโยงโลกไว้ทั้งโลก ยกเว้นจะออกบวช
- หรือพาตนหลีกเร้นไปจากกระแสโลกเหล่านี้อย่างจริงจัง ที่เหลือนอกจากนั้น ความยากเย็นแสนเข็ญต่อการหลุดพ้น จะเพิ่มขึ้นร้อยเท่าทวีคูณ จากที่เป็นอยู่”
- และนี่คือเหตุผลที่ทำไม หลักการของเตโชวิปัสสนาจึงต้องมาถึงโลกในยุคนี้ เพราะมันไม่มีอะไรจะแรงพอที่จะมาทานพลังมืด
- และช่วยฉุดดึงและกระชากคนที่พอมีวิสัยให้หลุดพ้นจากกระแสเครือข่ายโยงจิตมนุษย์เหล่านี้ได้
- อย่าคิดว่าอาจารย์ขู่ การข่มขู่ไม่ใช่วิสัยของครูบาอาจารย์ นี่จึงเป็นคำเตือนด้วยความห่วงใยจริงๆ
- ฆราวาสบรรลุธรรมได้จริง ไม่ผิดเลย แต่มันดูเหมือนดีเกินจริง Too good to be true มั้ย?….
- แต่ด้วยการปฏิบัติเตโชวิปัสสนา ทำให้การหลุดพ้นเกิดขึ้นได้ไม่ไกลเกินเอื้อมในยุคนี้
- เพราะมีวิธีปฏิบัติที่มีอานุภาพ ในการทำลายข่ายกระแสเครื่องผูกจิตสูงมาก
- คนมาภาวนา 7 วันชีวิตเปลี่ยนตลอดกาล เพราะตั้งหน้าตั้งตาเผาประหารกิเลส กระแสข่ายอะไรที่ปิดปกคลุมใจ ให้จิตหยาบกระด้าง ก็ถูกเผาทำให้ถล่มพังลงมา
- อวิชชาหรือความล่อลวงถูกทำลายเป็นลำดับขั้น นี่เป็นทางที่เร็ว แรง ที่สามารถทานคลื่นพลังงานเช่นนี้ได้
- แต่เวลาของเรานั้นสั้นนัก เพราะเมื่อเราเลือกที่ยังจะใช้ชีวิตแบบเดิม เพียงปรับเบี่ยงองศาชีวิตมาบ้าง แต่เรายังมีความประมาท ไม่มีวินัย
- และคิดว่าพลังงานลบในโลกจะไม่ทวีคูณไปมากกว่านี้ กว่าจะรู้ตัว ก็ยากเกินจะฝ่า WEB ของเครื่องผูกโยงใยที่เขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน จาก 2G กลายเป็น 5G
- แล้วกำลังจะกลายเป็นอะไร…. คลื่นพลังงานที่สถิตย์อยู่ในโลกมันมากมายมหาศาลขนาดไหน นี่คะเนกันไว้บ้างหรือเปล่า
- เดี๋ยวนี้เวลาฝนตกฟ้าร้อง เสียงมันถล่มทะลายสะท้านเข้าไปถึงหัวใจใช่มั้ย เพราะคลื่นที่มนุษย์พัฒนาส่งแรงอัดไว้ในชั้นบรรยากาศมันทำให้แรงขนาดนี้
- แล้วจิตคืออะไร จิตคือกระแสพลังงาน จิตจะไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสนี้ได้อย่างไร
- ยิ่งหากมาเผชิญกับทะเลอารมณ์โดยขาดสติยับยั้ง อย่าว่าแต่ 5 ปีเลย ในแต่ละการกระทบกระทั่งทางจิตที่บุคคลไม่อาจปล่อยวางได้ พลาดไปนิดเดียว จิตจมดิ่งลงไปอีกไม่รู้กี่ชั้น
- ขอยืนยันว่า มันเป็นชั้นจริงๆ เป็นชั้นที่ดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างหาจุดจบไม่ได้
- พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ในบรรดาผู้เป็นใหญ่ มารนั้นเป็นเลิศ
- เตโชวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเพียงแสงที่่ส่องมาให้ผู้แสวงหาทางออกที่มีความหนักแน่นมั่นคง และมีวาสนาติดตัวมาบ้าง ให้เป็นผู้พ้นไปในยุคกึ่งพระพุทธกาล
- แสงแห่งเตโชวิปัสสนา ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ปลอดภัย คือเทือกเขาพระพุทธบาทน้อย เป็นจุดเล็กๆ ยิ่งกว่ารอยแต้มของปากกาบนแผนที่โลก
- เราไม่ใช่ผู้เป็นใหญ่ เราเป็นผู้น้อยที่มีช่องทางรอดให้ผู้หนักแน่นต่อการหลุดพ้นเท่านั้นเอง คนอื่นที่เหลือจากนั้น ก็วนต่อไปตามกรรมวิถีของตน
- สำหรับคนที่ยังงมอยู่กับการปฏิบัติแบบนิ่มนวล ขอบอกเลยว่า รอดยาก หากไม่รู้จักพลังของศัตรู ไม่ปรับตัวตามกำลังของเขา เขาไปไกลแสนโยชน์
- นี่ยังนั่งเถึยงกันเรื่องพระพุทธวัจนแปลไม่ตรงกัน ได้แต่เตรียมสติแต่ไม่พุ่งชนเป้าหมาย
- สวดมนต์ภาวนา เพื่อขอให้กลับมาติดอยู่ในข่ายนี่อีก ภาวนาสิบห้านาทีบอกว่าทนเวทนาไม่ได้
- โอ… นี่พูดตรงจนไม่รู้จะตรงยังไงแล้ว หากผู้หมายหลุดพ้นยังงมโข่งอยู่เช่นนี้ แล้วอนาคตจะเป็นเช่นไร ตื่นกันได้แล้ว
- ถ้าเรามีโอกาสคว้าความเป็นอิสระจากภพชาติให้ได้ โดยไม่แสนเข็ญเกินไปภายในเวลา 5 ปีเท่านั้น
- ชีวิตนับจากนี้ไป เราจะทำอย่างไร จะมาคิดพิจารณาวางโครงร่าง วางแผนชีวิตใหม่หรือปล่อยมันไปเช่นนี้
- เตโชวิปัสสนากรรมฐาน คือหลักการภาวนาที่ถูกส่งมาแห่งยุคนี้เพื่อ Balance พลังงาน สร้างความสมดุลย์หรือทานพลังงานลบในโลกที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
- ยิ่งศิษย์ปิดอบายมากเท่าไหร่ กระแสพลังงานมืดก็จะถูกทำให้เกิดหลุมสว่าง ไม่ให้กระแสโลกมันเอียงมากไปกว่านี้
- ทุกอย่างมีความสัมพันธ์ถึงการหมด การสอน การข้าม การปลุกจิตสำนึก การนำธรรมแท้ปลุกจิตให้ตื่น การปกป้องพระศาสดา
- ผลที่ได้จากทุกหมวดจะกลายเป็นมวลพลังงานเพื่อ Balance อภิมหาพลังงานลบที่จะถาโถมเข้ามาสู่โลก
- ในขณะที่ชาวพุทธยังหลงระเริงอยู่กับความลุ่มหลง จะมีคนจริงกี่คนที่ปฏิบัติธรรมจริงจัง เพื่อนิพพาน ที่มิใช่เพื่อการต่อสายลาภ ยศ สรรเสริญ
- ชาวพุทธขณะนี้ อย่าว่าแต่ภาวนาจริงจังเลย แค่นิพพานก็ยังไม่เชื่อว่ามีจริง ต่างกับเราโดยสิ้นเชิง
- ดังนั้น อย่าเพิ่งมาติงกันว่า เราให้ราคาตัวเองเกินไป อาจารย์แค่พูดความจริงๆ เท่านั้น ของแท้กับของที่ถูกลวง พลังมันต่างกันสิ้นเชิง
- ใครที่ยังนั่งด่าเตโชวิปัสสนา ก็เชิญตามสบาย เราไม่หลงกลไปกับเขาด้วย อาจารย์ตระหนักในหน้าที่ของเตโชวิปัสสนาว่า มันยิ่งใหญ่เกินคะเน ไม่ใช่แค่เรื่องของการพ้นไปของคนไม่กี่คน หรือเรื่องของพระศาสนายืนยงถึง 5,000 ปี เท่านั้น
- แต่โดยเป้าหมายทั้งหมดคือการทานพลังงานมืดกับพลังงานสว่าง ไม่ให้มืดมากเกินไปจนเอียงและวิบัติเร็วเกินไป
- ในขณะที่ฝั่งเขาทำงานไม่หยุดหย่อน ส่งจิตไปแทรกคนในโลกียะ ให้พัฒนาคลื่นต่างๆให้มีอานุภาพมากยิ่งขึ้น
- ฝั่งพระรัตนตรัยก็ทำงานประสานพลังรับมือเช่นกัน อาจารย์เพิ่งได้รับกระแสเมตตา ช่วยเหลือจากหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เคารพท่าน
- แต่ไม่ได้รู้อะไรมากหรือบูชาท่าน นอกจากพอรู้ว่าบารมีท่านเป็นอย่างไร จู่ๆ ท่านก็เมตตา มาเพื่อช่วยกันรับมือ
- ส่วนคนที่บอกว่าเรื่องพลังทางจิตเป็นเรื่องเหลวใหลนี่ ปัญญาน้อยมาก เพราะไม่เข้าใจเลยว่า จิตคือกระแสพลังงาน
- คนทุกคนรวมถึงนักวิทยศาสตร์ เขาทำงานใดๆ ได้ ก็ไม่ใช่เพราะกระแสจิตผลักดันหรอกหรือ
- จิตบอกว่า โลกไม่เคยตกอยู่ในเงื้อมมือของมารมากเท่านี้มาก่อนเลย
- เขาก้าวไกลเกินกว่าเราจะตามได้ทันจริงๆ มนุษย์อย่างเราๆ มันก็แค่เบี้ยล่าง ที่ทำได้แค่วิ่งหนีจริงๆ
- และเมื่อวันนั้นมาถึง บุคคลจะเข้าใจว่า คำว่า “ช่างมีวาสนา” มันยิ่งใหญ่เพียงใด
- มันไม่ใช่วาสนาของคนมีเงินนั่งรถหรูอยู่อย่างมั่งมี แต่มันเป็นวาสนาของคนที่ไม่ต้องกลับมาแก่ มาตาย มานั่งใช้กรรมอีกเลยตลอดอนันตกาล
- ผู้หมายพ้นไป จะยอมจำนนศิโรราบ หรือจะพร้อมก่อกบฏต่อวัฏสงสาร….
- หัวหน้าก่อการ อยู่ที่นี่…. ในสถานะฆราวาสเช่นนี้แหละ ใครที่พร้อม ใครที่หมายมั่น
- อาจารย์ยังอยู่ที่เดิมที่ปลายเชิงเขาอันเป็นที่ตั้งแข็งแกร่ง หนักแน่น ทรงพลังอำนาจด้วยกระแสพระรัตนตรัย เสมือนดั่งที่หลบภัยแห่งยุคกึ่งพุทธกาล
- เตโชวิปัสสนากรรมฐาน สงสัยคำนี้ได้ แต่อย่าทิ้ง และอย่าเพิ่งรีบตาย ก่อนจะได้มาร่วมก่อการด้วยกัน
- ขอให้จำ WAKE UP CALL ไว้ก็แล้วกัน 5 ปีต่อจากนี้ หากยังไม่กระตือรือล้น ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ก็คงยากนักแล้ว
อาจารย์อัจฉราวดี วงศสกล
14 มกราคม 2557
14 มกราคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น