วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

พุทธภูมิ อรหันต์โพธิสัตว์ ลาพุทธภูมิแล้ว แต่ไม่ยอมเข้าแดนนิพพาน เพราะปณิธาณที่ท่านจะโปรดสรรพสัตว์ต่อ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ต้นพืช และ ดอกไม้

  • พระอาจารย์ขณะที่ฝึก ในขั้นที่ 2 ท่องเที่ยวภพภูมิ ต้องผ่านขั้นนี้ ก่อนถึงจะไปเรียนต่อญาณ 8 ได้ หลังจากที่ขึ้นไปไหว้สมเด็จองค์ปฐม บนแดนนิพพาน
  • พระอาจารย์ ถามทุกคนในห้องว่า " ชาติก่อน เป็นอะไร " ทุกคนใช้จิตดู น้องดาวบอกไปว่า " โพธิสัตว์ "
  • พระอาจารย์ ถามว่า " พุทธภูมิ เหรอ " 
    • น้องดาว บอกว่า " ใช่ "
  • พระอาจารย์ ถามว่า " สายอะไร " 
    • น้องดาว บอกว่า " วิริยะธิกะ " 
  • พระอาจารย์ บอกว่า " ไม่ลาเหรอ " เนื่องจาก คนอื่นๆ ในห้อง ที่เขาเคยเกิดเป็น พรหม เป็น นางฟ้า เป็น เทวดา หรือ แม้แต่พระอาจารย์เอง เขาลาพุทธภูมิกันหมดแล้ว ทั้งหมด เพราะทุกๆ คน ทนทุกข์ทรมานในการบำเพ็ญ ในการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิ ไม่ไหวแล้ว เป็นพุทธภูมิต้องผ่านบททดสอบต่างๆ เยอะมาก เกือบตายทั้งนั้น
    • น้องดาว บอกว่า " ไม่ลา ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งอะไร แต่สงสาร เรายอมตาย " แล้ว น้องดาวก็ร้องไห้ ในสมาธิ ด้วยความสงสารเวไนยสัตว์ ที่ต้อง เวียนว่ายตายเกิดทุกข์ทรมาน ไม่จบไม่สิ้น
  • พระอาจารย์ บอกว่า " นี่แหละ อารมณ์พุทธภูมิ ตอนที่ พระอาจารย์ยังไม่ลา พระอาจารย์ก็เป็นแบบนี้ " ทั้งๆ ที่ถ้าลาพุทธภูมิ แล้ว บำเพ็ญต่ออีกหน่อย ก็เข้านิพพานได้เลย
  • แล้ว พระอาจารย์ บอกให้ ทุกๆ คน อนุโมทนา "และ บอกกับทุกๆ คน ว่า " ถ้าเขาทำสำเร็จเขาจะช่วยคนได้มาก วัดท่าซุง เป็นที่สอน พุทธภูมิ และ พระอริยะเจ้า แม้แต่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก่อนลาพุทธภูมิ ท่านก็เป็น พุทธภูมิสายวิริยะธิกะ "
  • พระอาจารย์ ถามว่า " มาที่นี่ได้ยังไง "
    • น้องดาว บอกว่า " พระแม่กวนอิม ให้มาเรียนพุทธภูมิ ที่นี่ "
  • พระอาจารย์ บอกว่า " พระแม่กวนอิม ลาพุทธภูมิ หรือ ยัง "
    • น้องดาว บอกว่า " ลาแล้ว แต่ท่านยังโปรดสรรพสัตว์ต่อ เป็นอรหันต์โพธิสัตว์ "
  • พระอาจารย์ บอกว่า " ใช่ เพราะท่านยังโปรดลูกศิษย์ของท่านไม่หมด "
  • พระอาจารย์ ถามว่า " แล้วรู้ไหม พระแม่กวนอิม คือ ใคร "
    • น้องดาวตอบไป ในชื่อไทย ( เป็นความลับของวัดท่าซุง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ให้บอกใคร นอกจากลูกศิษย์ )
  • พระอาจารย์ ถามว่า " เราลงมาทำอะไร "
    • น้องดาว บอกว่า " มาช่วยพระพุทธศาสนา "
  • แล้วอยู่ๆ น้องดาว ก็พูดออกจากปากกับทุกๆ คนในห้องฝึกว่า
  • " คนที่ลาพุทธภูมิแล้ว รีบเร่ง บำเพ็ญ กลับบ้านให้ได้ "
  • พระอาจารย์ ก็บอกกับทุกคนในห้องว่า " นั่นไง สมเด็จองค์ปฐม ท่าน พูดแล้ว "
  • แล้วเวลาก็หมด
  • ตอนเย็น น้องดาวมาทำวัตรเย็น ใช้วิชา ขึ้นไปหาสมเด็จองค์ปฐม อีก โดยเอาฐานดอกบัวขึ้นไป แล้วนั่งสมาธิ ตรงฝ่าพระบาทของสมเด็จองค์ปฐม บอกพระองค์ว่า 
  • " ลูกขอบารมีในการโปรดมวลเวไนย " 
  • สมเด็จองค์ปฐม ก็พาน้องดาวไปหา พระยูไล ( พระอมิตตาพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าก่อน พระพุทธเจ้าสมณะโคดม 10 กัปป์ ) 
  • พระยูไล องค์ใหญ่มาก นั่งอยู่บนฐานดอกบัว บนสระน้ำ ที่มีฐานดอกบัวของพระโพธิสัตว์เต็มไปหมด น้องดาวจำได้ ว่าที่นี่ คือ ดินแดนสุขาวดี ดินแดนโลกธาตุ ที่เกิดขึ้นได้ เพราะบารมีของพระยูไล 
  • ที่นี่มีพระโพธิสัตว์ ที่มาอยู่ช่วยงาน พระยูไล เต็มไปหมด พระแม่กวนอิม ที่เป็น อรหันต์โพธิสัตว์ ( ลาพุทธภูมิแล้ว แต่ไม่ยอมเข้าแดนนิพพาน เพราะปณิธาณที่ท่านจะโปรดสรรพสัตว์ต่อ ท่านก็อยู่ที่นี่ นาจาเพื่อนน้องดาว ตอนน้องดาวเป็น มังกรโพธิสัตว์สีทอง ก็อยู่ที่นี่ พระอรหันต์โพธิสัตว์พระอาจารย์จี้กง ท่านก็อยู่ที่นี่
  • พระยูไล มีลูกแก้ววงกลมๆ สีขาว สว่างมาก อยู่บนพระหัตถ์ของท่าน เหมือนพระองค์จะถามน้องดาวว่า " เอาไหม " น้องดาวบอกว่า " เอา ค่ะ " แล้วลูกแก้ววงใหญ่ ก็ลอยมาหาน้องดาว
  • ลอยปะทะ เข้ากึ่งกลางหน้าผาก ของ น้องดาวเลย สาธุ _/l\_

629...จิตเดิม. จิตอวิชชา..จิตบริสุทธิ์

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

629...จิตเดิม. จิตอวิชชา..จิตบริสุทธิ์
..จิตเดิม..คือ จิตประภัสสร…. มีความผ่องใสเลื่อมพราย ที่มีอยู่เป็นพื้นฐานของจิต ที่เรียกว่า “ภวังคจิต” เป็นจิตที่ยังไม่ได้ผสม หรือ กระทบกับอารมณ์ หรือหลังจากที่รับรู้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเสร็จแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนไปรับรู้อารมณ์อีกอย่างหนึ่งต่อไป
.. จิตบริสุทธิ์.. คือ ความผ่องใสของจิต ชั้นพุทโธ ธัมโม สังโฆ เพราะได้รับการศึกษาอบรมและปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ มาสมบูรณ์ดีแล้ว จนรู้จักอารมณ์ทั้งหลายดีว่าเป็นทุกข์ ไม่มีแก่นสาร จึงสิ้นเยื่อใยที่จะยึดถือไว้อีกต่อไป จึงปล่อยวางความยึดมั่น
**.... จิตประภัสสร กับ จิตบริสุทธิ์ มีสภาพธรรมเหมือนกัน แต่แตกต่างกันโดยภาวะ คือ
..#....จิตประภัสสร ไม่มีสติควบคุมอยู่ ดังนั้น จึงถูกอารมณ์เข้ามาครอบงำปรุงแต่งตลอดเวลา บางท่าน เรียก “ฐีติภูตัง” จิตเดิมของสัตว์โลก เป็นจิตที่ใสสะอาด สว่าง ปราศจากกิเลสนิวรณ์ .ในขณะนั้น...จิตที่ซื่อ..แต่ยังไม่ฉลาด..ใคร(กุศล/อกุศล).จะพาไปไหน ไปหมด..จึงถูกหลอกง่าย
.#.....จิตอวิชชา ..เกิดจาก” จิตฐีติภูตัง” ได้มาสัมผัสกับอายตนะภายนอก เกิดการรับรู้ขึ้น
จึงเกิดความหลงคือโมหะ เกิดปรุงแต่ง เกิดความยินดียินร้าย หรือ จิตสังขาร(เจตสิก)
.. 
.#....จิตบริสุทธิ์ นั้น... มีสติตื่นควบคุมอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย มีปัญญารู้ทันอุปกิเลสทั้งปวง จนสามารถดำรงตนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ได้ ยังคงความบริสุทธิ์ผ่องใส ดุจใบบัวที่อยู่รวมกับน้ำได้ โดยตนเองไม่เปียกน้ำ นอกจากจะซื่อแล้ว ยังฉลาด ..เรียก”สติปัญญาอริยมรรค”..จะไม่เสื่อมอีกต่อไป..

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

627..หญิงชรา กับ อาหารเสี่ยงทาย.

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
627..หญิงชรา กับ อาหารเสี่ยงทาย.
  • 30 กค.60... กายในไปโผล่ในห้องว่างๆ...ในที่ว่างมีโต๊ะอาหารทรงกลม. มีอาหารหลายชนิดใส่ในถ้วย. หลายถ้วย. เต็มโต็ะไม่ต่ำกว่า40 ุุถ้วย...เห็นมีคนนั้งอยู่รอบโต็ะ 2 คน.มีชามวางตรงหน้า..นั่งเฉยอยู่.
  • ..มีเสียงพูดดังจากซ้ายมือว่า..
  • ".เชิญท่านเลือกกินอาหาร"..
  • จึงหันไปมอง..เป็นหญิงชราใบหน้าเมตตาแต่มีอำนาจ...
  • ข้าพเจ้าจึงเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร..พอเอื้อมมือจะไปหยิบอาหาร..เหมือนมีพลังต้าน..ดุจขั้วแม่เหล็กขั้วเดียวกันจะดันออก..แต่ข้าพเจ้าก็หยิบอาหารได้..
  • ..ในถ้วยใส่อาหารมากมาย..มีบางถ้วยที่ว่างเปล่า..จึงหยิบอาหารใส่ถ้วยที่ว่างนั้น..พร้อมพูดว่า..
  • " ไว้ให้คนที่ยังมาไม่ถึง'
  • ..แล้วจึงหยิบอาหารใส่ให้คนที่นั่งอยู่2 คน...แล้วพูดว่า". ให้คนที่มาถึงแล้ว".. แล้วจึงหยิบอาหารมาใส่ชามตัวเอง.หลังสุด
  • #. ได้ยินเสียงหญิงชราบอกว่า..". ให้ขอพรได้3 ข้อ.."... เวลานั้นจะไม่มีเวลาคิดหรอก..ข้าพเจ้าพูดออกมาทันทีว่า
    • .. ข้อ 1. ขอให้มีสุขภาพดี
    • ..ข้อ.2. ขอให้การงานการเงินดี
    • ..ข้อ.3.. ขอให้มีปัญญานำพาช่วยเหลือสรรพสัตว์.."
  • ..เห็นหญิงชรายิ้มพูดว่า..".. เพื่อสรรพสัตว์.." ..ข้าพเจ้ายิ้มเช่นกันพูดว่า.." เพื่อสรรพสัตว์"
  • ** .ลืมตาขึ้นมา..รู้ว่าตนเองปารถนาเช่นไร..แม้หลังทำบุญทุกครั้ง..ปากพูดว่า..ขอนิพพานชาตินี้..แต่มันมีเสียงในใจพูดต่อมาว่า..".. และปรมัตถบารมีโพธิญาน"..
  • ...เมื่อเป็นดังนี้..น้ำหนักปารถนาพุทธภูมิจะหนักกว่า..ปารถนานิพพาน..ลูกตุ้มโพธิญาน..จะหนักกว่าตามกำลังบารมี....ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงความเมตตาของหลวงปู่ครูอาจารย์หลายองค์ที่บอกข้าพเจ้า..ดังนี้.
  • ฿.. หลวงพ่อฤาษี..บอกว่า." ชั้นให้สิ่งที่ดีที่สุดให้แกแล้ว..แต่แกไม่เอาเอง.(ทางไปนิพพาน)..
  • ฿.. หลวงปูทิม วัดระหานไร่..บอกว่า.
  • ".. แกจะไปเสียดายทำไมพุทธภูมิ..กูไม่อยากเห็นมึงลำบาก..กูให้มึงลา..ทำไมไม่ลาให้ขาด.."
  • ฿.. หลวงปู่สมชาย..เขาสุกิม.บอกว่า
  • ." พุทธภูมิมันแน่นแล้ว..ลายากนะ..แกสร้างมาทั้ง3 สาย(ปัญญา..ศรัทธา..วิริยะ)..สร้างต่อไป.."
  • ฿.. หลวงปู่ทวด..บอกว่า.." เอ็งจะไปนิพพาน..ข้าไม่ว่าและโมทนากับเอ็งด้วย..แต่ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นคนกตัญยู..เอ็งจะต้องช่วยงานข้าก่อน."
  • .&.. ข้าพเจ้าน้อมกราบในความเมตตาทุกๆองค์..ตอนนี้ข้าพเจ้าจึงอธิษาณต่อท้ายว่า..ขอนิพพานและโพธิญานตามพุทธบัญชา พุทธประสงค์ ของสมเด็จพ่อองค์ปฐม.เทอญ"
  • **.. ข้าพเจ้ารับได้ทุ
  • มีหลายท่านบอก..ลาพุทธภูมิแล้ว..ขอนิพพานชาตินี้...อันนี้คือวาจา..แล้วกายและใจล่ะ...ลาจริงใหม...ยิ่งสร้างมายาวนาน..ต้องเคยลามาหลายชาติจึงจะขาด..อาจลาเป็น100 ชาติแล้ว.....
  • ..คิดจะลาจริง..ต้องทำจิตถึงญาน..ยิ่งฌาน4.. ยิ่งดี..มีพลัง..แล้วอธิษฐานลา..เพื่อล้างสัญญารอบๆจิตให้หมดไป...เพียงกล่าวลาแค่วาจา...ทั่วไป...ยังไม่พอหรอก
  • ...หลักคือ..ปารถนานิพพานชาตินี้..มันมีแต่วาง..และ..ว่าง..ไปเรื่อยๆ...ส่วนพุทธถูมิ..มันมีแต่...สร้าง..และ..ขยาย..

  • ...ดังนั้น..ุถ้าจะขอนิพพานชาตินี้จริง...ท่านต้อง..พิจารณาขันธ5.. จนเบื่อหน่ายจริง..เห็นโทษในการเกิดจริง..ไม่ใช่เบื่อ..เพราะโดนกระทบ..นั่นไม่ใช่ปัญญาสังขารุเบกจริง...ต้องเบื่อถึงขั้นว่า..ุถ้ามีคนมาบอกเราว่า...คุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่..". เราจะไม่อยากเป็นเลย..ขอเพียงนิพพานชาตินี้เท่านั้น...นั่น..จึงจะลาขาดจริง..เข้ากระแสนิพพานจริง..ุ้ถ้ายังลังเล..ว่า..เป็นพระพุทธเจ้าดีนะ..รอได้....". นั่น..ยังหรอก..ยังลาไม่ขาดจริง..

626.. อิติปิโส..กับ.ภัยพิบัติ.

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
626.. อิติปิโส..กับ.ภัยพิบัติ..
  • ทีแรกจะหยุดโพส.สัก 5 วัน..พอดีคุณรัศมี. กิจจะ ได้ถามมา.ในคาถาอิติปิโส ถอยหลัง..จึงขอตอบในห้องสาธารณะ..เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย
  • ..อิติปิโสถอยหลัง..คือการท่องบทอิติปิโส ห้องแรก ห้องพุทธคุณ..มี7 วรรค. วรรคละ8 คำ .รวม กำลัง 56 
  • เป็นกำลังพุทธคุณ..โดยท่อง ย้อน.ทวน..จากหลังมาหน้า..ดังนี้
    • 1. ติ วา คะ ภะ โธ พุธ นัง สา
    • 2. นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ
    • 3. สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ
    • 4. นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ
    • 5. สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา
    • 6. วิช โธ พุธ สัม มา สัม หัง ระ
    • 7. อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ

#.. แล้วต่อท้ายด้วย." นะโมพุทธายะ".. ให้ท่อง 3-5-7 คาบ
  • @.. อานิสงส์..นอกจากจะได้กำลังพระพุทธเจ้าคุ้มครองแล้ว ยังมีพุทธานุถาพ.." ภาคปราบ" ทำให้เหล่า ภูตผีปีศาส ยักษ์ อสูร เทวดาเกเร..ต้องเจ็บปวด..รุนแรง.หัวแทบระเบิด..และยอมจำนน..
  • ..ทำใม.? ...สวดย้อน..ทวนกลับ..คือ.ปฏิโลม..พลังงานมันจะหมุนวน..ดุจพายุ.ดุจเกลียวคลื่น...รุนแรง..
฿.. อานิสงส์..
  • ..นอกจากจิตสว่างแล้ว..ยังเป็นทั้งบุญฤทธิ์. อิทธิฤทธิ์..ป้องกันภัยอันตราย.จึงหมุนสะเดาะห์เคราะห์..สะเดาะห์กุญแจ โซ่ตรวน..ถอนคุณไสย..มนต์ดำ..และยังไปหมุนจักระทั้ง 7 ให้เปิดโล่ง..รับพลังงานจักรวาล.พลังงานทิพย์ได้มากขึ้น
  • #.. ทำใม?.. ต้องต่อท้ายด้วย..นะโมพุทธายะ..ล่ะ.เพราะ..เป็นชื่อพระพุทธเจ้าที่ดูแลในภัทรกัปป์นี้..ทั้งโลก หมื่นจักรวาล...พลังงานท่านกระจายดูแลอยู่..เป็นธาตุใหญ่สุด..ที่ก่อเกิดธาตุ4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ในยุคนี้...
  • ..**.. วาระนี้..ธาตุ4 แปรปรวน เกิดจากจิตรวมมีกระแสกรรมดำ.มากขึ้น..ธาตุ4 ไม่สมดุลย์..ก่อเกิดภัยธรรมชาติ..รุนแรง..ตามกรรมดำ..
  • ..มีแต่กระแสแห่งพุทธะ..จึงจะมีกำลังสูงพอ..ที่จะปรับธาตุ4. ให้สมดุลย์..
  • **. จะท่องสั้นๆก็ได้...ท่องบทที่7 บทเดียว..แล้วงท้าย..นะโมพุทธายะ.
  • หรือให้สั้นง..ท่อง.." อิกะวิติ' .คือ.หัวใจพระพุทธเจ้า...

##.. อนึ่ง..เมื่อคืนลองท่อง..อิกะวิติ..
  • ..ทำให้กายในมันเหาะเหิรเดินอากาศได้..จะเหาะบนท้องฟ้า..หรือจะดำน้ำ..ล้วนทำได้..ข้าพเจ้าเหาะเที่ยวเพลิน..จึงลงไปเดินบนน้ำ..ดำน้ำ..และว่ายน้ำ..ไปพร้อมกับ..เหล่านารีนางฟ้า..ที่สวยงามเปลือยกาย..เรียวงามกลมกลีง..7 องค์..ท้ายสุด..กิเลสกามทำงาน..ปล้ำนางกินรี..แตกกระจุย..แพ้กามราคะ..กิเลสมาร..เช่นเดิม..

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สาสน์จากพระกษิติครรภ์ ราชา มหาโพธิสัตว์

ในภาพอาจจะมี 2 คน

  • พระผู้มาช่วยโลกธาตุนี้ ให้พ้นจากภัยพิบัติ คือ พระมหาโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร กวนอิม และ พระกษิติครรภ์ ราชา มหาโพธิสัตว์ 
  • มหาเมตตา กรุณา มากล้น หวังฉุดช่วยมวลเวไนย ให้พ้นทุกข์ มีความสุขอยู่บนแดนนิพพาน
  • พ้นจากคุกวัฏสงสาร พ้นจากการ เวียน ว่าย ตาย เกิด
  • ไม่มีอะไรที่น่ากลัว กว่า การเกิดที่ไม่มีวันจบสิ้น จิตวิญญาณเดิมแท้ ถูกขัง อยู่ในกายหยาบ ที่เป็นรังของโรคภัยไข้เจ็บ

สาสน์จากพระกษิติครรภ์ ราชา มหาโพธิสัตว์
  • " อาตมา หวังให้มวลเวไนยทั้งหมดรอด แต่ช่วยได้ไม่เกินกฏแห่งกรรม ของ แต่ละดวงจิตวิญญาณ
  • อาตมาเสียใจที่มีคนไม่เชื่อเรื่อง แดนนิพพาน ว่ามีอยู่จริง จึงได้แต่ช่วยผู้มีบุญบารมี ที่รอดพ้นจากภัยพิบัติไปก่อน ทุกจิตวิญญาณ ไม่ควรประมาท การใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีธรรมะ ก็เหมือน เตรียม ไปสู่หนทางที่ผิด ลง อบายภูมิ
  • อาตมา เศร้าเสียใจ ที่ต้องมีคนตกนรกมากมาย ไม่จบไม่สิ้น อาตมาช่วยดึงขึ้นจากนรก แต่เมื่อเกิดใหม่ความทรงจำถูกลบ ว่าเคยตกนรกมา ก็ลืมเลือนหนทางแห่งความดี ถูกปิดกั้นด้วยโลกมายาเสมือนจริง ที่เป็นแดนขัง มวลเวไนย ที่ยังหลงทางอยู่ในวัฏสงสาร หาทางกลับบ้านที่แท้จริง คือ แดนนิพพานไม่เจอ
  • เราพระพุทธะกษิติครรภ์ หวังให้ทุกๆ จิตวิญญาณ ตื่นจากการหลับไหล ตื่นจากความฝันว่า โลกนี้มีจริง ตื่นขึ้นมาเพื่อบำเพ็ญกลับสู่ แดนนิพพาน "

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สมาธิแห่งพระวัชรสัตว์เพื่อชำระล้างกรรม

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

  • #การขอขมากรรมในบทปฏิบัติขององค์วัชรสัตโต นั้นถือว่าเป็นการขอขมากรรมขั้นสูงสุด เพื่อเข้าสู่พุทธภูมิ
  • สมาธิแห่งพระวัชรสัตว์เพื่อชำระล้างกรรม 
  • ( Vajrasattva Meditation for Karmic Purification )
  • พระวัชรสัตว์( Vajrasattva ) คือ พระพุทธเจ้าในพุทธศาสนาแบบตันตระยาน หรือ วัชรยาน หรืออาจจะเรียกว่าพุทธศาสนาแบบทิเบต ถือว่า ท่านคือพุทธสภาวะที่อยู่เหนือต่อ
  • กาละและเวลา ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ( อาทิพุทธเจ้า ) ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินและบาปอกุศลทั้งปวง และเป็นธรรมชาติของพุทธะที่มีอยู่ในเหล่าสรรพสัตว์ ตั้งแต่เริ่มแรก
  • พระวัชรสัตว์ทรงได้อธิษฐานว่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้อย่างสมบูรณ์แล้ว ขอให้สรรพสัตว์ได้รับการชำระบาปทั้งปวง ความไม่รู้ทั้งปวง ด้วยการได้ยินนามของท่าน เห็นรูปของท่าน คิดถึงท่าน หรือภาวนามนตราที่มีพระนามของท่าน
  • หลักการปฏิบัติสมาธิพระวัชรสัตว์ ก็คือ การสารภาพบาปเพื่อการชำระล้างด้วยเมตตาและแสงแห่งปัญญาญาณภายในของเราเพื่อนำจิตเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแท้ภายในตนนั่นเอง โดยอาศัยการสร้างจินตภาพในสมาธิถึงองค์ท่าน การน้อมใจเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ และอธิษฐานโพธิจิต คือการระลึกถึงเหล่าสรรพชีวิตที่ร่วมทุกข์ให้ได้มีโอกาสได้รับการชำระล้างด้วย การทบทวนความผิดบาปในอดีตพร้อมการระลึกเสียใจ การอธิษฐานขอพลังแห่งพระวัชรสัตว์มาชำระล้างบาปนั้น การสำนึกว่าจะไม่ก้าวล่วงในบาปกรรมนั้นอีก และการอุทิศกุศลบุญที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ
  • พลัง 4 ประการของการปฏิบัติ
  • 1.พลังของการมีพระรัตนตรัยและพระวัชรสัตว์เป็นที่พึ่ง 
  • 2.พลังของการสำนึกผิด
  • 3.พลังของการชำระล้างให้บริสุทธิ์
  • 4.พลังของการละเว้นบาปและการอุทิศ
  • ขั้นตอนการปฎิบัติ ( สรุป )
  • 1. ให้สร้างจินตภาพพระวัชรสัตว์ ให้ชัดเจนในมโนสำนึก ตั้งแต่ฐานดอกบัวและแผ่นจานสีขาว พระจันทร์ที่ท่านประทับอยู่ เห็นท่านในท่านั่งขัดสมาธิด้วยความสงบและยิ้มยินดี กายของท่านสีขาวสว่างบริสุทธ์เรืองรอง ดั่งดวงอาทิตย์พันดวง และ ว่างเปล่าดุจสายรุ้งบนท้องฟ้า มีเครื่องทรงประดับสวยงามประดับด้วยเพชรนิลจินดา มือขวาถือวัชระทองคำ
  • ที่ระดับหัวใจ หมายถึง ความรักเมตตา ส่วนมือซ้ายถือระฆังเงินซึ่ง หมายถึง ปัญญา ให้เห็นท่านลอยอยู่เหนือศีรษะ ห่างประมาณหนึ่งฟุต และหันหน้าไปทางเดียวกัน
  • 2. จินตภาพว่าตัวเรานั่งอยู่ท่ามกลางสรรพชีวิต ในทุกภพสภาวะ คือ พรหม เทพเทวดา มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา สัตว์ทั้งหลาย รวมถึงผี เปรต อสุรกาย สัตว์นรกทั้งหมดนั้นแวดล้อมท่านอยู่ เพื่อได้ปฏิบัติชำระจิตใจร่วมกัน
  • 3. สวดภาวนาออกเสียง ขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งดังนี้ 
  • “ ข้าพเจ้า ขอถือพระพุทธเจ้า พระวัชรสัตว์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ข้าพเจ้า จะปฏิบัติสู่ความหลุดพ้น เพื่อช่วยสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ทั้งปวง”
  • 4. ทบทวนชีวิต ระลึกถึงบาป ความชั่วทั้งหลายที่เคยทำมาในชาตินี้ ในอดีตชาติ ทั้งที่ระลึกได้และยังระลึกไม่ได้ ว่าเคยเบียดเบียนตนเอง บุพการี ญาติพี่น้อง เพื่อน สรรพชีวิต ทั้งทางกาย วาจา ใจ พร้อมทั้งระลึกเสียใจในบาปกรรมนั้นจากใจจริงส่วนลึกของตน
  • 5. สร้างความเชื่อมั่นพุทธภาวะในตนเองที่จะเป็นอิสระจากความชั่วเหล่านั้น พร้อมกับตั้งจิตปรารถนาที่จะชำระบาปกรรมนั้นให้หมดสิ้นไป เห็นพระวัชรสัตว์ทรงยิ้มและกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “ ลูกรัก บาปกรรมทั้งหลายจะถูกชำระล้างจนหมดสิ้น ”
  • 6. เริ่มการชำระล้างด้วยการอธิษฐานถึงพลังแห่งพระวัชรสัตว์ ให้ช่วยชำระบาปกรรมทั้งหมดในอดีตทั้งของข้าพเจ้าและสรรพชีวิตทั้งหลาย
  • 7. สวด มนตราพระวัชรสัตว์หนึ่งร้อยคำ 21 จบ โดยแบ่งเป็นทีละ 7 จบ
  • 7 จบแรกให้ชำระล้างกาย ท่องออกเสียง1 จบ ท่องในใจ 6 จบ
  • 7 จบที่สองชำระล้างวาจา ท่องออกเสียง1 จบ ท่องในใจ 6 จบ
  • 7 จบที่สามชำระล้างใจ ท่องออกเสียง1 จบ ท่องในใจ 6 จบ
  • 8. ท่องมนตราย่อ คือ โอม เบนซา ซาโต ฮุง ไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งจินตภาพให้ทุกสิ่งในพุทธภูมนี้ิ ทุกชีวิตในจักรวาล หลอมสภาพเป็นแสงพุ่งเข้าสู่ตัวเราที่เป็นพระวัชรสัตว์
  • 9. เมื่อค่อยๆ ออกจากสมาธิความว่างอันเจิดจรัส ให้รับรู้ มอง ทุกสิ่งเป็นพุทธภูมิ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ล้วนเป็นพุทธสภาวะ เสียงทั้งหลายคือมนตรา ผู้คนทั้งหลายคือพุทธะ จากใจภายในที่สะอาดผ่องใส แล้วนั่นเอง
  • 10. อธิษฐานบุญกุศลที่ได้กระทำการชำระจิตนี้
  • อธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่และมั่นคงว่าจะไม่กระทำความชั่วเช่นที่ผ่านมาอีก หากเป็นนิสัยที่ติดตัวมานานก็ให้ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่กระทำในช่วง 7 วัน 14 วัน หรือ 1 เดือน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถละได้สำเร็จ
  • “ ขออุทิศบูชาแด่ พระพุทธ พระวัชรสัตว์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ต่อบิดามารดา สามีภรรยาลูกหลาน ญาติทั้งปวง สรรพชีวิตทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ที่ยังจมอยู่ในความทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขก็ขอให้พบสุขละเอียดขึ้นและได้พบธรรมปฏิบัติธรรมจนพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งหมด เทอญ "

Cr. พระวัชรสัตว์

619.. ปรับสมดุล..กับการตายหมู่

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

619.. ปรับสมดุล..กับการตายหมู่
  • ในการสร้างความสมดุลของโลกนี้ " จิตจักรวาล " บอกว่า จะมีมนุษย์จำนวน 1 % ของประชากรโลกที่ต้องจบชีวิตลงด้วย ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ผู้เสียชีวิตเหล่านี้เป็นมนุษย์ผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่ ตามพันธสัญญาให้ไว้ต่อจักรวาล
  • มนุษย์ที่เหลือ ถ้าหากเป็นคนทำแต่กรรมชั่ว พวกเขาจะอยู่อย่างทุกทรมาน และต้องตายด้วยอายุขัยอันแสนสั้น เพราะเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือ ฉับพลันเพราะโรคเครียด บางคนอาจเสียสติไปเลย
  • พลังงานแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้น จะเป็นพลังงานความรักครั้งสุดท้าย ที่จักรวาลมอบให้แก่มวลมนุษย์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุลขึ้น
  • " จิตจักรวาล " จึงได้เริ่มถ่ายทอดรหัสสัญญาณจากจิตจักรวาล สู่คลื่นความคิดของมนุษย์ ผู้มีจิตสะอาด มีชีวิตที่สมดุลและใฝ่สัจธรรม เพื่อให้เป็นผู้รับสื่อ เพื่อถ่ายทอด คือ ผู้ถูกเลือก ให้ปฏิบัติ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติในยุคพลังงานใหม่นี้อย่างแท้จริง
  • โลกยุคพลังงานใหม่ นับตั้งแต่สิ้นปี ค.ศ. 2002 นี้เป็นต้นไป มีการเปลี่ยนแปลงความเข้มสนามแม่เหล็กโลก ที่มีอัตราการสั่นสะเทือนสูงขึ้น จะปรับเปลี่ยน รหัสบุพกรรมทางชีวภาพของมนุษย์แต่ละคนให้มีอายุขัยที่ยืนยาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม มีปัญญาญาณ

  • ดวงตาที่สามของมนุษย์ ที่ตั้งอยู่บริเวณระหว่างคิ้ว จะถูกเปิดโดยบุพกรรมทางแม่เหล็ก
  • จะถูกแง้มประตูสู่มิติอื่น อย่างง่ายดาย หากคนผู้นั้นสามารถรวบรวมสมาธิได้ 

618.. นักรบแห่งแสงสว่าง

ในภาพอาจจะมี 1 คน
618.. นักรบแห่งแสงสว่าง
  • การกระทำ หรือ กรรม จะปรากฏอยู่ในรูปของพลังงาน เป็นพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้า มีผลต่อความสมดุลของสนามแม่เหล็กโลก หากมีพลังงานดำ ลบมาก ๆ ..โลกก็จะขาดสมดุล เกิดปรากฏการณ์ภูมิอากาศวิปริตแปรปรวน แห้งแล้ง น้ำท่วม อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
  • ดังคำกล่าว ..”เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”
  • ถ้าจะช่วยโลก ต้องช่วยกันสร้างพลังงานแห่งความรัก เมตตา อันเป็นพลังอำนาจสูงสุดในจักรวาล มาเป็นแก่นแท้ของอารมณ์ตนเอง
  • พลังกาย พลังจิต และพลังงานวิญญาณของ ถ้ารวม เป็นหนึ่งเดียวกันได้ จะยกระดับจิตสำนึกของตัวมนุษย์เองให้สูงขึ้น ย่อมเป็นผู้รู้แจ้งได้
  • การฝึกหมุนตัว ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกาย สัมพันธ์อำนาจแม่เหล็กโลกด้วย ก่อเกิดพลังงานหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ เช่น สมาธิหมุน
  • ...จิตจักรวาล จะปรับสมดุลแห่งพลังงานกรรม ที่มีลักษณะคล้ายฟองอากาศสีดำขนาดใหญ่ ดุจเป็นเงามายาที่สะสมกรรม จะเคลื่อนตัว เข้าหามนุษย์ที่เป็นเจ้าของกรรม แล้วปกคลุมตัวผู้นั้นเอาไว้ เกิด ความรู้สึกทุกข์ ร้อนใจ วิตกกังวล หวาดกลัว
  • **...แต่ภายในฟองอากาศสีดำที่ว่านี้ จะมีแสงสว่างอยู่ภายใน
  • ถ้ามนุษย์ผู้นั้น ฝึกจิตไปสู่ใจกลางของฟองอากาศเหล่านี้ จะพบกับแสงสว่างที่เร้นอยู่ภายใน และในทันทีที่พบกับแสงสว่าง ฟองอากาศสีดำดังกล่าวก็จะแตกกระจัดกระจาย ทำให้กรรมจากอดีตชาติของผู้นั้นก็จะกระจัดกระจายหายไป และมนุษย์ที่ผ่านบทเรียนเช่นนี้ได้จะได้รับการยกย่องทั่วจักรวาลว่าเป็น " นักรบแห่งแสงสว่าง " ( THE WARIOR OF LIGTH )
  • **..อนึ่งคำว่า จิตจักรวาล ไม่ใช่จิตผู้ใดผู้หนึ่ง..แต่เป็นจิตสำนึกร่วมของทุกดวงจิตที่มีความดีงาม มีหน้าที่ดูแลความสมดุลของระบบจักรวาล ให้เป็นสถานที่ ที่น่าอยู่ มีสันติ มีความรักเมตตา

620. กลับสู่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

620. กลับสู่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม
  • หน้าที่ของมนุษย์ จะต้องหาหนทางไปสู่การรู้แจ้งให้จงได้ สู่การหลุดพ้นคืนถิ่นกำเนิด จึงต้องมีกายสะอาด ( กายศักดิ์สิทธิ์ ) จิตสำนึกบริสุทธิ์ ( จิตศักดิ์สิทธิ์ ) วิญญาณถึงจะมีพลังจนสามารถเปิดบานประตูระหว่างมิติ ( ประตูวิญญาณ ) ที่เร้นอยู่กับต่อมบริเวณหน้าผากสู่อิสรภาพได้ เพราะประตูบานนี้คือช่องทางเข้าออกของพลังงานที่มีความไวสูงมาก
  • วิญญาณนั้นก็จะมีพลัง สามารถละออกจากกายหยาบ เคลื่อนตัวออกมาภายนอกสู่โครงข่าย สนามแม่เหล็กโลก จนสามารถเข้ารวมกับจิตจักรวาลที่เป็นแก่นแท้ของตนคืนสู่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ของจิตวิญญาณได้ คือ สามารถ " หลุดพ้น " ได้ หรือสามารถทำให้จิตเป็นอิสระจากกายได้

ทำอย่างไร?
  • ๑.. นึกนำจิตของตนไปไว้ที่หัวใจ . จูงจิตของตนเองจากหัวใจไปสู่ต่อมไพนีล บริเวณกลางหน้าผาก แล้วทำให้ต่อมไร้ท่อนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ด้วยพลังงานด้านบวกของจิตนั้น " ประตูวิญญาณ " หรือบานประตูแห่งมิติจะถูกเปิดออก
  • ๒. ให้นึกนำจิตต่อไปยัง กลางหน้าผาก แล้วให้จิตจูงวิญญาณออกมา สู่ประตูแห่งมิติที่ต่อมไพนีลตรงกลางหน้าผาก ซึ่งถูกเปิดอ้าไว้แล้ว วิญญาณของผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากกายได้ในทันที
  • ๓.เมื่อวิญญาณได้รับการปลดปล่อย มีทางเลือก ๒ ทาง
    • ทาง๑... จะเข้าสู่การหลอมรวมกับ จิตพระเจ้า ที่ไร้กาย ในอาณาจักรพระเจ้าจิตสำนึกดีงาม
    • ทาง๒ ต้องการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป กลายเป็น " คุรุ " เพื่อช่วยชี้ทางแก่เพื่อมนุษย์อื่น ๆ สู่การหลุดพ้นต่อไป
  • ปัจจุบันนี้ มีกลุ่มรูปธรรม ที่มีจิตวิญญาณชั้นสูง เดินทางมาจากกลุ่มดาวต่าง พวกเขา สามารถสลายกายหยาบของตนสู่มิติพลังงาน และรวมมวลพลังงาน สู่กายหยาบได้ พวกเขากำลังส่งกระแสความคิด มาสู่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ทำกรรมดีๆ มีพลังบวก เพื่อให้จักรวาล มีความสมดุลน่าอยู่ บางทีมาทางจานบิน มาทางคลื่นความคิดผ่านจิตมนุษย์
  • ***...อนึ่ง..ในความเห็นส่วนตัว ถ้าเราจะให้ความหมายของ”จิตจักรวาล” คือ “พระเจ้า” คือ “พระจิต” คือ “จิตสำนึกร่วมแห่งความดีงาม” ก็ไม่ผิดอะไร ทุกคำพุดล้วนเป็นคำสมมุติ ขอเพียงเป็นสมมุติที่ดีงาม ทำให้ทุกคน มีจิตสำนึกดีงาม มีเมตตา มีความรัก นั่นคือ “พรหมวิหาร๔” จะเป็นไรไป เมื่อมีเมตตา ความรัก ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั่นคือ “ศีล” ทั้งพรหมวิหาร และ ศีลล้วนเป็นธรรมเกื้อกูลโลกและจักรวาล ล้วนเป็น”กุศลธรรม” ย่อมมีวิบากเป็นกุศล
  • .....ดังนั้นถ้า”พระเจ้า” คือ “จิตสำนึกดีงาม” เราทุกคนล้วน”มีพระเจ้าอยู่ในตัว” ที่ท่านคอยกระซิบให้เราทำดี ไม่เบียดเบียนผู้ใด สำคัญที่เราได้ฟังเสียงกระซิบของพระเจ้าหรือไม่ หรือ ฟังแต่เสียงบอกของมารและซาตาน..เมื่อเราทำตามกระแสจิตสำนึกดีงาม หัวใจเราคือพระเจ้า..ใยต้องกลัวพระเจ้า..ใยต้องแบ่งแยกศาสนา..เมื่อพระเจ้าคือความดีงาม และเราทุกคนก็คือพระเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่เรา..ไม่ตื่นรู้ เท่านั้นเอง.

  • .@@...พระเจ้าล้วนมีความเมตตา ความรัก มีภารกิจในการเกื้อกุลสรรพสิ่ง ให้เกิดความสมดุล คล้ายดังกิจ”โพธิสัตว์” เพียงแต่ไม่มีร่างกายหยาบเท่านั้น เป็นเพียงคลื่นจิตที่กระจายเต็มจักรวาล
  • &&….สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว นอกจากพระองค์จะมีมหาเมตตา มหากรุณา ยังมีมหาบริสุทธิ์ เลยและหลุดพ้นจากความเมตตาความรักสากลไปอีก เพราะพระพุทธองค์ไม่มีตัวตน ไม่มีกิจ ไม่มีกรรม ที่จะชำระกับใครอีกแล้ว พระพุทธองค์เป็น”โลกะวิทู” เป็นผู้ประเสริฐ หลุดพ้นจากทุกสิ่ง หลุดพ้นจากจิตจักรวาล แต่ดำรงอยู่อย่างไร้ที่อยู่
  • **..เมื่อเราวางจิตได้เช่นนี้ จะเป็นพระเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ล้วนดีงาม ของเพียงอย่าเดินตามกระแสแห่งมารและซาตาน กระแสแห่งความชั่วร้าย เราทุกคนล้วนมีความหวัง ได้กลับคืนสู่บ้านเกิด จะเป็นบ้านของ”พระเจ้านิจนิรันดร์” หรือ บ้านพระนิพพานที่ไร้กาลเวลา ตลอดอนันตกาล ก็อยู่ที่บารมีและเจตนาแห่งจิตเราเองแล้ว สาธุ

  • มีผู้อ่านบางท่านติเตียนข้าพเจ้า ว่าจะพาคนไปหลงทางจากพุทธศาสนา..ถ้าท่านผู้นั้นได้อ่านงานเขียนของข้าพเจ้ามาย่อมรุ้ว่า ข้าพเจ้าเป็นเช่นไร ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักศึกษา มิใช่ผุ้รู้หลวงปู่ครูอาจารย์ เพียงเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพื่อยังประโยชน์ทางศีลธรรมยังกุศลในจิต..
  • ข้าพเจ้าพูดคำว่า"พระเจ้า" มันผิดมากเลยหรือ เมื่อพระเจ้า ในความหมายข้าพเจ้า คือความดีงาม ความรัก ความเมตตา เป็นจิตสากลที่มีในจิตทุกคน จะใช้คำว่า พระเจ้า พระจิต จิตหนึ่งฏิฐิจิต จิตเดิม ล้วนเป็นคำสมมุตุิ ขอแต่เป็นสิ่งที่ไม่ทำร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร ใยต้องกลัว... ..
  • ดอกไม้มีหลายสีสัน หลายพันะ์ขึ้นอยู่แต่ละพื้นทีไม่เหมือนกัน ความแตกต่างคือความงดงามของสีสันดอกไม้ ขอเพียงดอกไม้นั้นเราไม่ได้เอาไปทำร้ายใคร ย่อมมีคุณค่าในตัวเอง..
  • ถ้าเราเข้าถึงความเป็นพุทธะจริง.เราจะไม่แบ่งแยกศาสนา ไม่แบ่งแยกความศรัทธา..เพราะเราเข้าใจในความแตกต่างและทุกสิ่งที่จริงแล้วคือหนึ่งเดียวหาแบ่งแยกไม่....
  • ข้าพเจ้าเปิดจิตเรียนรู้หลายครูอาจารย์..โดยเฉพาะคำสอนครูอาจารย์ที่ท่านยกมาอ้างบ่อยๆคือ คำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล คำสอนของฮวงดป เหว่ยหลาง ที่ข้าพเจ้านับถือเคารพยิ่ง..
  • ท่านผู้อ่านท่านนั้นยังอ่านข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่จบเลย ก็ด่วนตัดสินแล้ว..
  • ไม่เป็นไรหรอก..ข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้อ่านมีปัญญา มีวิจารณญานเพียงพอว่า..เจตนาของข้าพเจ้าคืออะไร..สาธุ

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

614. ยอดนักเดินทาง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน

614. ยอดนักเดินทาง
  • กายทิพย์ เกิดจากจิตพอใจ ยึดถือ ความรู้สึก เนื่องด้วยอารมณ์ จึงสร้าง กายทิพย์ ให้มีอายุยืนยาว เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรนี้
  • มีแต่มรรคมีองค์ ๘ จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งหลาย จึงสามารถสกัดกั้น ความปราดเปรียวของกายทิพย์ให้อ่อนกำลังลงได้ ย่นระยะชาติเกิดให้สั้นลงได้
  • เมื่อใด บรรลุอรหัตตผลแล้ว กายทิพย์จะตายทันที (วิญญาณสลาย) คงเหลือแต่ จิตบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า กายธรรม ซึ่งเป็นพุทธภาวะที่สงบ สว่าง สะอาด ร่มเย็นเป็นสุข
  • จิตบริสุทธิ์ชั้นพุทโธนี้ จะหลุดพ้นจากการครอบงำของอารมณ์ทั้งหลาย ไม่ปรุงแต่งให้เกิดกายทิพย์ (ถอนเสาเรือนทิ้งหมด) ไม่สามารถสร้างภพสร้างชาติใหม่อีกต่อไป.
  • กายทิพย์ หรือ อทิสสมานกาย จัดเป็นกายละเอียดที่ซ้อนอยู่ภายในกายเนื้อของคนและสัตว์ทุกรูปนาม ไม่อาจแลเห็นด้วยตาได้ในคัมภีร์พระอภิธรรมเรียกว่า นามกาย อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
  • เมื่อกายเนื้อตายลง กายทิพย์ก็ต้อง จุติ(เคลื่อนออกไป) พร้อมยึดอารมณ์ที่ทำไว้ “เป็นปฏิสนธิวิญญาณ “ หยั่งลงสู่ครรภ์มารดาที่มีเหตุปัจจัยพร้อม คือ มีประจำเดือน และอยู่ร่วมกับบิดาพอดี สร้างกายเนื้อชุดใหม่ ตามกำลังของกรรมที่ทำไว้ ในภพชาติต่อไปอีก
  • ก่อนคลอดออกมาได้ ๔๕ วันนั้น กายทิพย์ยังไม่สามารถใช้สอยร่างกายเนื้อ ให้รับรู้อารมณ์ได้ กายทิพย์จะทำหน้าที่คุ้มครองปกปักษ์รักษาให้เจริญเติบโต
  • จากนั้นจึงค่อยฝึกบังคับร่างกายทารกให้รู้จักวิธีรับรู้อารมณ์ โดยเริ่มฝึกตั้งแต่ให้รู้จักนึกคิด เหมือนดังที่เคยบังคับร่างกายเนื้อชุดเก่าที่ตายไปแล้ว ให้รับอารมณ์ได้เหมือนในชาติที่แล้ว 

613..อาวุธทิพย์ เพชรวัชระ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

613..อาวุธทิพย์ เพชรวัชระ
**...อาวุธทิพย์ได้..สร้างอย่างไร?
  • สร้างจากพลังจิตของคนที่ได้ "รูปฌาน" เมื่อกระทำจิตซ้ำๆ ติดชินวิสัยเดิมๆจะสะสมและก่อตัวเป็น "รูป" อาวุธทิพย์อย่างใดอย่างหนึ่งได้
    • +..ชอบพูดขวานผ่าซาก แต่ตรงและถูกจริง ก็ก่อตัวเป็น "ขวานเพชร"
    • +.. ชอบฟาดธรรมะใส่คนแรงๆ แต่ถูกต้อง ก็ก่อตัวเป็นไม้พลองเพชรได้ 
    • +.. ชอบตัด ชอบปฏิเสธ" ในฉับพลัน ก็ก่อตัวเป็น "ดาบเพชร" 
  • ถ้ายังติดในอาวุธทิพย์.นั่นคือ. ติดใน"รูปราคะ" ย่อมไม่ถึงอรหันต์
  • ผู้ฝึกตบะ ลมปราณ รูปญาณที่แตกต่างกัน ย่อมมีอาวุธทิพย์ต่างกัน 
  • คนที่ยึดผู้ผู้ที่ติดในคุณธรรม ติดความดี, จะมีตะบะปราณธาตุทอง สะสมในร่างกายมาก เมื่อก่อเกิดอาวุธทิพย์ จะได้อาวุธเป็นทอง
  • คนที่มีจิตตรงต่อนิพพานระดับหนึ่ง จะมีพลังปราณธาตุวัชระ (เพชร) ก่อเกิดอาวุธเพชร อาวุธเพชรนี้หายากที่สุด
  • ถ้าคนมีความเก็บกดเคียดแค้นมาก ก็จะมีปราณธาตุดำ หรือธาตุมาร จะได้อาวุธทิพย์สีดำเป็นอาวุธของภาคมาร

การฝึกพลังวัชระ
    • ๑..เริ่มต้นจากจิตตรงนิพพานแน่วแน่ เริ่มพบสภาวธรรม เหมือนน้ำ ใสๆ
    • ๒.. เมื่อใสแล้วรับ "พลังแสงสว่าง" อารมภ์สิ่งที่มากระทบ ถ้าไม่ผ่าน พลังวัชระจะสลายหมด เหมือนน้ำต้องแสงแดดระเหย ไป แต่ถ้าผ่านด่านได้ จะส่องสว่าง เปล่งประกาย อ่อนโยน เหมือน "หยาดน้ำค้างต้องแสงอาทิตย์ยามอรุณ “
    • ๓.. น้ำที่หลอมตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ถ้าไม่มีความขุ่นมัวในจิต จะเกิดเป็น "แก้วใส" เปล่งประกาย แต่ถ้ามีความขุ่นมัวในจิตจะกลายสภาพเป็น "น้ำแข็ง" ที่ขาวขุ่น มีความเลือดเย็น ไม่ควรแก่งาน
    • ๔.ขั้นต่อไป ถ้าแข็งเป็นแก้วดีแล้ว จะได้รับการทดสอบจาก "อาวุธทิพย์" เหมือนเพชรตัดเพชร จะเข้ามากระทบกระทั่งด้วย เมื่อเราใจแข็ง พลิกแพลงรับได้ จึงสำเร็จเป็นเพชรแท้

615. กายเนื้อ ... กายทิพย์

ในภาพอาจจะมี 1 คน

615. กายเนื้อ ... กายทิพย์
  • กายทิพย์เป็นผู้คิดและตั้งเจตนา สั่งให้กายเนื้อกระทำตอบต่ออารมณ์ โดยทางกายกับวาจา จึงทำให้เกิดเป็น กรรม ครบทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ แล้วส่งผลให้กายทิพย์ผ่องใสหรือเศร้าหมอง ตามชนิดของกรรมนั้นพร้อมกันด้วย
  • ส่วนกายทิพย์ จะสวดสด งดงาม ผ่องใส หรือมืดมัว เศร้าหมองมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับ เจตนา ความหนักเบา และความพยายามของการกระทำกรรม,เป็นสำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกบันทึกสั่งสมไว้เป็นกรรมติดอยู่ที่จิต ดังที่เรียกว่า กรรมภพ ต่อไป
  • กายทิพย์ฝ่ายผ่องใส สวยสด งดงาม จัดเป็นพวก สุคติภูมิ ซึ่งได้แก่ มนุษย์,เทพ และพรหมทั้งหลาย
  • ส่วนกายทิพย์ฝ่ายมืดมัว เศร้าหมอง จัดเป็นพวก ทุคติภูมิ ซึ่งได้แก่ สัตว์นรก,เปรต,อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
  • “กายทิพย์” จะเรียกเป็นผลรวมของ “เจตสิก” ก็ได้ เพราะ เจตสิก คือ อารมภ์ของจิต หรือ จะเรียก “กายวิญญาณ” ก็ได้ เพราะวิญญาณ ก่อเกิด นามรูป หรือ “รูปในนาม” หรือ “อทิสมานกาย”

613. กายทิพย์ เพชรวัชระ..

ในภาพอาจจะมี กลางคืน

613. กายทิพย์ เพชรวัชระ..

มีวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถามครูอาจารย์โลกทิพย์ ว่ากายทิพย์พระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร...ท่านตอบว่า ...
.อยู่ที่บารมีที่สะสมมา การฝึกธาตุ ฝึกปราณต่างกัน แม้จะมีความบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่บารมีไม่เท่ากัน
@..บางองค์มีกายดุจสีควันไฟสีขาวนุ่มนวล 
@..บางองค์กายทิพย์รัศมีสีทองคำ เรียก” อรหันต์ร่างทองคำ
@. บางองค์กายทิพย์ใสดุจหยดน้ำค้าง 
@. บางองค์มีกายทิพย์ใสลื่นเหมือนเหล็กไหล 
@..บางองค์กายใสระยิบระยับดุจแสงเพชร. เรียก “กายวัชระ กายเพชร” 
.
  • $..กายเพชร..นับเป็นกายที่มีบารมีสูงที่สุด.... จะมีสักกี่คนที่เข้าถึงกายทิพย์ชั้นนี้?
  • #..ถ้าฝึกกายวัชระไม่ผ่าน...จะได้นิ้วเพชร อาวุธเพชร..แทน
  • ... บางท่านฝึกวัชรยาน จนมีอวัยวะบางส่วนเป็นเพชร เช่น นิ้วเพชรเวลาชี้นิ้วเพชรไปที่เทวดา ทำให้เทวดาก็สลายแล้วจุติ
  • .. บางท่านฝึกกายเพชรไม่สำเร็จ ได้บารมีเป็น "อาวุธทิพย์ชั้นเพชร” ให้เกิดสายฟ้า(พลังทิพย์) ทำลาย จิตวิญญาณสัตว์ถึงแก่สลายตายแล้วเกิดใหม่ได้ทันที
  • **.ถ้า.ผู้ฝึกได้.”กายวัชระ.กายเพชร..ทั้งร่างล้วนเป็นอาวุธทิพย์.ไม่จำเป็นต้องมีอาวุธทิพย์อีก
  • ..จะบำเพ็ญบารมีได้กายเพชร..จะต้อง "สละของทิพย์"อันเป็นเพชรที่ล้ำค่า ที่ตนบำเพ็ญได้ ให้แก่ผู้อื่นหรือละว ถ้าทำได้ กายทิพย์จะขึ้นชั้น "กายวัชระหรือกายเพชร"
  • @...อนึ่ง...ข้อเขียนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเพียงนำเสนอ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้รู้ ไม่มีบารมีเป็นครูใคร ถ้าผู้ใดสนใจ ต้องใฝ่ปฏิบัติด้วยตนเอง หรือ หาครูอาจารย์ที่เก่งจริง ข้าพเจ้าเพียงบอกเล่า ตามหน้าที่ ตามกิจ เท่านั้นเอง..

617.. จิตจักรวาล คือ อะไร?

ในภาพอาจจะมี 1 คน

617.. จิตจักรวาล คือ อะไร?
  • ช่วงนี้มีผู้พูดถึงจิตจักวาลกันมาก และมีหลายคนเข้าใจว่า จิตจักรวาล คือ จิตนิพพาน…**.ซึ่งไม่ใช่ ข้าพเจ้า..จึงขอเรียนรู้ เพื่อสนองกิเลสในใจตนเอง ตามความเข้าใจข้าพเจ้า สัก ๕ ตอน
  • “จิตจักรวาล” .เป็น.จิตวิญญาณดั้งเดิม..พลังงานแรกเริ่ม ..จิตสำนึกร่วม .. บางท่านเรียก “พระผู้สร้าง” พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ..พระจิต. ผู้สร้างสรรพสิ่ง .. ..พวกเขาจะมาสู่โลก มนุษย์เรียกเขาว่า "พระเจ้า"
  • " จิตจักรวาล " เป็นพลังงานขนาดเล็ก ระดับปรามณู โดยนิวเคลียสจะสั่นสะเทือนตลอดเวลา เพื่อปลดปล่อยคลื่นพลังงาน และแสง ทำหน้าที่ "ผู้พิทักษ์จักรวาล"รักษาความสมดุล ของอำนาจแม่เหล็กโลก
  • …แล้วจิตวิญญาณนี้ เดินทางข้ามมิติ มาเกิดเป็นมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก เพื่อ สร้างจิตสำนึกด้านบวก ความรัก ความเมตตา การอดทน อดกลั้น และให้อภัย สร้างพลังงานใหม่(เริ่ม พ.ศ.๒๕๔๕) เปลี่ยนพลังงานแม่เหล็ก เพิ่มพลังงานบวก คือ พลังงานบุญนั่นเอง
  • " จิตจักรวาล " ส่วนหนึ่งถูกแบ่งภาค มาถือกำเนิดพร้อมกับกายมนุษย์ โดยที่ตำแหน่งที่ตั้งของจิตวิญญาณ จิตจักรวาลอยู่ที่กลางหน้าผาก(ต่อมพิทูอิทารี) เท่ากับว่ามนุษย์เรามี ๒ ภาค ภาคหนึ่งคือจิตจักรวาล และอีกภาคหนึ่งคือ จิตมนุษย์
  • …ในความเห็นส่วนตัว..จิตจักรวาล แม้จะเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์....เมื่อยังมีวิญญาณอยู่..จักย่อมมีเชื้อไฟ.. ย่อมมีรูปนาม... ย่อมมีจิตสำนึก...แม้จะสุขในความว่างอันเป็นนิรันดร์ .แต่ยังอยู่ในกฎจักรวาล กฎไตรลักษณ์ . ยังมีกิจ มีหน้าที่..

  • แต่พระนิพพาน..พ้นจากวิญญาณแล้ว พ้นจากรูปนามแล้ว พ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงแล้ว พ้นจากสมมุติแล้ว พ้นจากความบริสุทธิ์แล้ว พ้นจากความว่างทั้งปวง ...พ้นจากพลังบุญ พลังบวก...พ้นจากไตรลักษณ์....
  • .ความรัก ความเมตตา ไม่เพียงพอต่อการหลุดพ้น ต้องมีปัญญาในอริยมรรค จึงเป็นเส้นทางในการหลุดพ้นแท้จริง
  • แม้แต่แดนพุทธเกษตร โลกธาตุแห่งพุทธะ ก็ไม่ใช่จิตจักรวาล พ้นจากอำนาจของจิตจักรวาล
  • เมื่อทุกคนทราบว่า
  • ..พระพุทธเจ้าเป็นโลกะวิทู..ผู้รู้แจ้ง.ผุ้มีปัญญาสูงสุด..เราเพียงเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์..เดินตามอริยมรรค๘..เพื่อปล่อยวางขันธ์๕
  • ..ทำตามนั้น..ตามเส้นทางที่ผู้หลุดพ้นเดินกันมานาน ตามหลวงปู่ครูอาจารย์..จึงจะเป็นการหลุดพ้นจริง..เส้นทางอื่น..เราไม่มีปัญญาจะแยกแยะได้..เอาที่เห้น ที่เป็น..ตามอริยสัจ๔ ตามความจริงสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนอีกแล้ว...ไม่ต้องหาทางเลือกสายใหม่
  • ..ถ้าเราเข้าถึงไตรสนณคมภ์จริง เคารพพระรัตนตรัยจริง..จงเดินตามพระพุทธองค์..อย่างไม่ลังเลสงสัย..ย่อมถึงเป้าหมาย

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาอภิธรรม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ


  • หนังสือแบบเรียนพุทธปรัชญาอีกเล่มของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่อยากจะแนะนำให้อ่านกัน คือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาอภิธรรม (Introduction to metaphysics in Buddhism) 
  • หนังสือเล่มนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจเรื่องจิต ชีวิต การเกิดตาย และภพภูมิ ตามคติพุทธศาสนาแบบเถรวาท ตามที่ปรากฎในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ซึ่งเป็นคู่มือสำหรับเรียนพระอภิธรรมปิฎกในไทย
  • "ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาอภิธรรม" ถือเป็นคู่มือของ "อภิธัมมัตถสังคหะ" ซึ่งก็ถือเป็นคู่มือหลักขงการศึกษา "พระอภิธรรมปิฎก" 
  • ดังนั้นแบบเรียนนี้จึงย่อยเรื่องที่ยากมากๆ ถึงมากที่สุดในทางพุทธศาสนา ให้อ่านเข้าใจง่าย ด้วยภาษาที่ชัดเจน รวบรัด แต่ย่อยไม่ยาก 
  • เหมาะสำหรับทุกคนทั้งระดับไม่เคยมีความรู้เรื่องจิต ไปจนถึงผู้ที่มีความรู้กว้างขวางแล้ว ก็ยังใช้เป็นคู่มือได้
  • หนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาอภิธรรม (Introduction to metaphysics in Buddhism) สามารถดาวโหลดได้ทั้งเล่ม ตามลิ้งก์นี้


เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาอภิธรรม (Introduction to Metaphysics in Buddhism)
บทที่1 : ความนำเบื้องต้น
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-1.pdf
บทที่2 : ศึกษาและวิเคราะห์ภาวะจิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-2.pdf
บทที่3 : สภาวะที่ผันแปรจิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-3.pdf
บทที่4 : บทบาทของจิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-4.pdf
บทที่5 : วิถีจิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-5.pdf
บทที่6 : จิตนอกวิถี
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-6.pdf
บทที่7 : กรรมและผลของกรรม
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-7.pdf
บทที่8 : กายวิภาค
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-8.pdf
บทที่9 : สภาวะธรรมที่มีส่วนสัมพันธ์กับชีวิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-9.pdf
บทที่10 : สายโซ่ชีวิต
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-10.pdf
บทที่11 : ภาคปฏิบัติ
http://e-book.ram.edu/e-book/p/PY414/py414(py440)-11.pdf

616. กายทิพย์ กายฝัน

.ในภาพอาจจะมี 1 คน

616. กายทิพย์ กายฝัน
  • ผู้ที่นอนแต่ไม่ฝันนั้น เพราะกายทิพย์ยังไม่ได้ทำงาน คือยังไม่ได้นำเอาอารมณ์ที่เคยรู้เคยเห็นและจดจำไว้ ออกมาแสดงให้ปรากฏอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจิตรวมกับอารมณ์ที่จดจำไว้ ก็จะสร้างเป็นกายทิพย์ขึ้น แล้วจะทำให้เกิดฝันขึ้นมาทันที
  • ผู้ฝันจะรู้สึกว่าตนเองแสดงการรู้เห็นสิ่งต่างๆเหมือนจริงทุกประการ และเคลื่อนไหวตัวได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็วมาก โดยไม่รู้ว่าตนเองกำลังฝัน หรือตนเองเป็นเพียงกายทิพย์เท่านั้น
  • เพราะกายทิพย์ที่กำลังปรากฏ จะมีรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอเหมือนผู้ฝันทุกประการ แต่ไม่ได้รวมอยู่กับกายเนื้อซึ่งกำลังหลับอยู่ ดังนั้นจึงอยู่ใน”โลกของอทิสสมานกาย “ โลกแห่งวิญญาณ
  • ผู้ฝันนอกจากจะรับรู้ สัญญานิมิตในจิตตัวเองแล้ว บางครั้งจะสัมผัสได้รับคลื่นกระแสของจิตวิญญาณ หรือ กายทิพย์จากผู้อื่นได้เช่นกัน และส่วนใหญ่ จะผสมกัน ระหว่างสัญญานิมิตจิตปรุงแต่งเราเอง ผสม กับ นิมิตจากชาวทิพย์อื่นที่ส่งกระแสมา
  • ความฝัน จึงมีจริงบ้าง ตรงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพ้อเจ้อบ้าง.. 
  • เมื่อขณะที่กายทิพย์ วางกายเนื้อ ออกไปอยู่กับอารมณ์ที่เคยรู้เห็นมาในอดีต ไม่ว่าจะออกไปไกลสักเพียงใดก็ตาม จะมี สายโยงใยแห่งชีวิต (คือ ความจำได้และความยึดถือกายเนื้อ) คอยเชื่อมโยงกายเนื้อกับกายทิพย์ไว้ด้วยกันเสมอ
  • ในระหว่างนี้ ถ้ามีสิ่งใดมากระทบกระเทือนกายเนื้อของผู้ฝัน ก็จะกระเทือนถึงกายทิพย์ และดึงให้ถอยคืนสู่กายเนื้อทันที ผู้ฝันก็จะหยุดฝัน และตื่นขึ้นทำงานรับรู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสทางกายเนื้อตามเดิม
  • สายโยงใยแห่งชีวิตนี้ ถ้าขาดออกจากกันในขณะที่กายทิพย์แยกออกไปจากกายเนื้อเพราะนอนฝัน หรือเพราะร่างกายเนื้อแตกทำลายก็ตาม กายทิพย์จะไม่หวนกลับเข้าสู่กายเนื้ออีก บุคคลผู้นั้นจะตายทันที ส่วนกายทิพย์ ก็จะทำหน้าที่ จุติและปฏิสนธิไปสู่ภพชาติใหม่ตาม กรรม ของตนต่อไป.

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

20 ข้อคิดจากขุนเขา: ด้านความรัก


20 ข้อคิดจากขุนเขา: ด้านความรัก
1. แม้แต่ "หัวใจตัวเอง"
เรายังบังคับให้หยุดเต้นไม่ได้
แล้วจะไปบังคับ "หัวใจคนอื่น" 
ให้มาเต้นเพื่อเรา ได้อย่างไร...
2. “คู่ชีวิต”
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ “สมบูรณ์ทุกอย่าง”
แต่เป็นคนที่เราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกว่า “ทุกอย่างสมบูรณ์”
3. ยิ่งเรา "รักตัวเอง" อย่างเเท้จริงมากเท่าไร
เราก็จะยิ่งยอมให้ "คนอื่นหลอก" น้อยลงเท่านั้น
4. บางครั้ง... ความรักผ่านเข้ามาในฐานะ “พร”
บางครั้ง... ความรักผ่านเข้ามาในฐานะ “ครูผู้สอน”
เมื่อความรักเป็น “พร” อย่าลืม “ขอบคุณ”
…แล้วเราจะมีความสุขยิ่งขึ้น...
เมื่อความรักเป็น “ครูผู้สอน” อย่าลืม “เรียนรู้”
…แล้วเราจะมีความทุกข์น้อยลง...
5. “ข้อดี” คือสิ่งที่ดึงดูดคนสองคน... เข้าหากัน
แต่การเข้าใจและยอมรับใน “ข้อเสีย” เท่านั้น
ที่จะทำให้คนสองคน ไม่เดินหนีจากกันไป...
6. คนบางคนผ่านเข้ามาเพื่อให้เรารัก
ส่วนคนบางคนผ่านเข้ามาเพื่อสอนให้เรารู้จัก
ที่จะรักตัวเอง...
7. ความรักที่ดีต้องทำให้เรารู้สึก
“เติมเต็ม + เติบโต”
ไม่ใช่ “ตกต่ำ”
8. ในวันที่ใจเธอไร้รัก... ไฉนโลกจึงหมดสิ้นซึ่งสีสัน
เธอจะเรียกร้องรักจากใครกัน... เมื่อในใจเธอนั้นยังไม่มี
เมื่อไม่รู้วิธีที่จะให้... แล้วจะมาขอสิ่งใดในวันนี้
รักที่ดีเริ่มจากรักที่เธอมี... เต็มล้นปรี่จนพร้อมพลีเผื่อผู้คน
9. เวลาเลิกกับใคร
อัตราความ “เจ็บใจ”
จะแปรผันตามอัตรา “ความสุข”
ที่เราไปฝากไว้ให้อีกฝ่ายควบคุม
10.ยามมีคู่... หมั่นเรียนรู้ความรัก
ยามอกหัก... หมั่นเรียนรู้ความจริง
11. “ความรัก” อาจไม่ใช่การนั่งมองตากันทั้งวัน
แต่คือการมองไปที่ “ขอบฟ้าแห่งความฝัน”
ซึ่งหลอมรวมเราเป็นหนึ่งเดียว
12. ถ้าอยากประสบความสำเร็จในความรัก
จงเลิก "ฝืนใจคนอื่น"
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต
จงหัด "ฝืนใจตัวเอง"
13. เมื่อความรักจบ...
ขอให้นิ่งสงบแล้วพิจารณาตัวเองเสียก่อน
อย่าเพิ่งรีบร้อนคบใครเพราะแค่ "อยากลืมคนเก่า"
เพราะนั่นคือการก้าวเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ใหม่
ด้วย "คุณภาพของใจ" ที่เท่าเดิม...
14. "ความเข้าใจ" คือ “ลมหายใจ” ของความรัก
15. คนที่เราเลือกจะรักและใช้ชีวิตอยู่ด้วย
ไม่ใช่คนที่เราหาข้อเสีย "ไม่ได้"
แต่คือคนที่มีข้อเสียซึ่งเรา "รับได้"
16. ความรัก คงดีตรงที่มันสามารถย่อขนาดจักรวาลอันกว้างใหญ่
ให้เหลือพื้นที่เท่าใจเพียงสองดวง...
17. ในยามที่เรากำลังมอบ "ความรัก" ให้ใครสักคน
เราไม่เคยรู้สึกสงสัยหรือสับสน ว่าชีวิตนี้ "เกิดมาเพื่ออะไร..."
18. บางครั้ง... ความรักอาจไม่ได้เข้ามาเพื่อ "คงอยู่"
แต่เข้ามาเพื่อให้เราได้ "เรียนรู้" และ "เติบโต"
19. “มีคู่" ก็ดี...
เพราะมันเเปลว่าเรากำลังอยู่อย่าง "ไม่เดียวดาย"
"ไม่มีคู่" ก็ดี...
เพราะมันเเปลว่าเรากำลังอยู่อย่าง "มีตัวเลือกมากมาย”
20. รู้จักความรัก... แต่ไม่รู้จักความไม่แน่นอน
ก็ต้องเจอกับความทุกข์... อย่างแน่นอน
(แถมให้อีกหนึ่งอัน!)
21. เพชรยังคงสวยงามเท่าเดิม
แม้คนตาบอดคนหนึ่งจะคลำดูแล้วบอกว่า...
"มันเป็นแค่ก้อนหิน"
.
เพลงของโมสาร์ทยังคงไพเราะเหมือนเดิม
แม้คนหูตึงคนหนึ่งจะบอกว่าเขาได้ยินแค่...
"เสียงเครื่องสายสีกัน"
.
ปลาแซลมอนยังคงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ไม่เปลี่ยนแปลง
แม้คนแพ้อาหารทะเลคนหนึ่งจะบอกว่า...
"ผมไม่ชอบมันเลย"
.
ฉะนั้น โปรดจำไว้ให้ดีว่า:
"คุณค่าของสิ่งสิ่งหนึ่งไม่เคยหมดไป
เพียงเพราะใครคนหนึ่งมองไม่เห็นคุณค่าของมัน"
...และคุณค่าของ "คุณ" ก็เช่นเดียวกัน...
-ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร-
www.facebook.com/KhunkhaoWriter

"ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้
จิตที่ทำหน้าที่รู้สึก เกิดแล้วก็ดับ ไม่คงที่ สั่งไม่ได้
อยากให้มันรู้สึกนานๆ ไม่หลง ทำไม่ได้
อยากให้หลงแล้วรู้เร็วๆ ทำไม่ได้
ไม่มีอะไรสั่งได้จริง
จิตมันทำงานของมันเอง
มันไม่ใช่เราหรอก"

เปิดตำนาน "เณรคำ"



เปิดตำนาน "เณรคำ" เณรลึกลับ ตบะแก่กล้า อายุยืนมานับพันปี ศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร - สำเร็จลุน! เพราะความศักดิ์สิทธิ์ จึงมักมีผู้แอบอ้างชื่อ!!


สำหรับเรื่อง ราวของหลวงปู่โลกอุดรเป็นเรื่องที่เล่าลือเป็นเวลานานกว่า ๖๐ ปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวประสบการณ์ของผู้ที่ได้พบเจอ อาทิเช่นได้ใส่บาตร ได้พบในนิมิต ได้ฟังหลวงปู่เทศนาสั่งสอน อย่างใดอย่างหนึ่งมาโดยตลอด โดยระบุว่า หลวงปู่โลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับไปมาไร้ร่องรอย ปรากฏกายได้ทุกรูปแบบ ทรงซึ่งอภิญญาสูงสุด มีอายุยืนนานหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ไม่อาจคำนวณนับได้แม้แต่ชื่อเรียกท่านเองก็เป็นเพียงชื่อสมมุติเท่านั้น ไม่มีใครรู้จักนามท่านจริงๆ ว่าคือใคร
แต่นอกเหนือ ตำนานของ “บรมครู” ผู้ลึกลับที่เป็นเล่าขานแล้ว ยังมีเรื่องของ “เณรน้อย” หรือ พระหนุ่ม ที่ได้ร่ำเรียนกับ “บรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดร” จนเกิดฤทธิ์อภิญญา อายุยืนยาวเช่นกัน ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นคู่ “อาจารย์ – ศิษย์ ที่อายุยืนยาว”
เรื่องราวที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้คือเรื่องราวของ “เณรคำ” (ไม่ใช่ นายวิรพล สุขผลหรือหลวงปู่เณรคำ ที่กำลังตกเป็นข่าวในขณะนี้ เพราะรายนั้นแอบอ้างชื่อ “เณรคำ” มาใช้)

“เณรคำ” คือ  หน่อพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมี เป็นพระหนุ่มผู้ฝึกอภิญญาเก่งมาก มีตบะสูง ทว่ายึดติดในการฝึกมาก เพลิดเพลินอยู่ฤทธิ์อภิญญา จึงส่งผลให้ยังไม่หลุดพ้น ยังคงอยู่บนโลก และจรไปมายังร่างของ "พระหนุ่มๆ"หรือ "เณร" ที่ชอบฝึกวิชา  อภิญญา โดยที่สังขารนี้อาจไม่รู้ตัวก็ได้ และที่สำคัญคือ "เป็นจิตวิญญาณเก่าแก่ ที่ยังไม่มีใครโปรดได้" จึงอยู่มานานและจรผ่านใช้ร่างสังขารแล้วสังขารเล่าไปๆ มาๆ ทำให้พระหลายรูปมีประวัติคล้ายๆ กัน เช่น ธุดงค์ตั้งแต่ยังเป็นเณร มีอาจารย์เก่งวิชาอาคมดูแล
เล่ากันว่า “เณรคำ” มี"อาจารย์คือหลวงปู่เทพโลกอุดร" ดังนั้น ท่านจึงมีสายธรรมต่อมาจากหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพันๆ หมื่นๆ ท่าน ซึ่งมีบุญบารมีไม่เท่ากัน ท่านเหล่านี้ ได้ตั้งปณิธานบำเพ็ญ พุทธภูมิแล้ว ได้บุญวาสนาร่วมกับสายหลวงปู่เทพโลกอุดรส่วนที่ดูแลพระโพธิสัตว์ จึงบำเพ็ญบารมีในสายนี้ฯ
ดังนั้น เณรคำ จึงมีอายุมากเหมือน “หลวงปู่”เมื่อเทียบกับมนุษย์โลกปกติ แต่สำหรับสายหลวงปู่เทพโลกอุดรนี้ ท่านเหมือนสามเณรเท่านั้นเอง เหมือนเทวดาที่มีอายุได้ ๕,๐๐๐ ปี ช่วง ๑,๐๐๐  ปีแรกก็ยังเทียบได้กับเด็ก แต่โลก มนุษย์นั้น ๑,๐๐๐ ปี คือ "หลวงปู่แล้ว"
แต่ในบางตำนานก็เล่าถึงเณรสองรูป  รูปแรกเณรแก้ว  รูปสองเณรคำ  สองรูปนี้เป็นศิษย์สมเด็จลุน ประเทศลาว ซึ่งเป็นพระที่ทรงอภิญญา มีปฏิปทาทางพระโพธิสัตว์ หวังพุทธภูมิเป็นเบื้องหน้าคือ ท่านไม่ได้หวังเอานิพพานในปัจจุบันชาติ แต่ท่านหวังจะสำเร็จเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในภายภาคหน้า ประวัติความเป็นมาของท่านลี้ลับยิ่งนัก บางคนเชื่อว่าท่านมีอายุยืนยาวมานานนับพันปี การตายของท่านนับเป็นการตายหลอกๆ เท่านั้น มีความเชื่อกันว่าท่านมีตัวยาอายุวัฒนะ ที่ทานเข้าไปแล้วจะมีอายุขัยยาวนาน ได้ถึง ๓ พันปี ซึ่งเมื่อสิ้นสมเด็จลุน (ตายหลอกๆ) เณรคำก็หายไปพร้อมกับคัมภีร์คาถาอาคม  คนอีสานและคนลาว รอการกลับมาของเณรคำ
 ดังนั้น ถ้าใครอยากดังก็ต้องอ้างตัวว่าเป็นเณรคำ  คนที่อ้างตัวว่าเป็นเณรคำ มีหลายคนแล้ว.....
 ที่มา : yantip.com โดยคุณ ชายรักชาติ , หนังสือ บารมีเหนือโลก หลวงปู่เทพโลกอุดร โดย ทิพยจักร

ความจริงเรื่องวรรณะ

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน
ความจริงเรื่องวรรณะ
ผมเห็นคนแชร์ข่าวเรื่องว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอินเดียมาจากวรรณะจัณฑาล แต่มีคนแย้งว่าจัณฑาลว่าไม่ใช่วรรณะ ผมให้ผมเกิดสนใจเรื่องนี้ ว่าตกลงแล้ววรรณะคืออะไรกันแน่ แล้วมีกี่วรรณะ เพราะผมเคยคิดว่าวรรณะหมายถึงอาชีพ ดังนั้นมันไม่๐น่ามีแค่ ๔ แต่มีนับมิถ้วน
ปรากฎว่าผมเข้าใจเรื่องวรรณะผิดมาโดยตลอด รวมถึงเรื่องจัณฑาลด้วย
ผมคิดว่าคำอธิบายอาจารย์ Upinder Singh แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวเดลีในหนังสือ A History of Ancient and Early Medieval India ค่อนข้างเคลียร์มาก จะขอย่อคำอธิบายของท่านมาดังนี้
"วรรณะ" หมายถึงชั้นทางสังคมมี ๔ ชั้น คือพรามหณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร เป็นการแบ่งชั้นแบบกว้างๆ ในสังคมและมีความยืดหยุ่นพอสมควร
แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งขยายมาจากวรรณะ คือ "ชาติ" (อ่านว่า ชา-ติ หมายถึงชาติกำเนิด) คือสังกัดของวงศ์สกุลที่ทำอาชีพต่างๆ "ชาติ" นั้นมีมากมายเหลือคณานับ และมีชาติใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดแม้กระทั่งปัจจุบัน
วรรณะเป็นเรื่องตายตัวเปลี่ยนกันไม่ได้ ใครเกิดวรรณะพราหมณ์ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่ความเป็นพราหมณ์ไม่เกี่ยวกับสถานะทางการเมือง การเป็นเศรษฐี หรือการมีหน้ามีตาในสังคม
ในส่วนนี้ผมขอขยายเพิ่มเติมว่า กษัตริย์โบราณของอินเดียมิใช่มาจากวรรณะกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังมาจากวรรณะแพศย์ เช่นพวกราชวงศ์คุปตะ (แต่ละวรรณะมีสร้อยนามกุลต่อเช่นคุปตะหมายถึงพวกแพศย์ ส่วนวรมา หมายถึงเชื้อกษัตริย์) กษัตริย์หรือนักรบบางคนยังจนมาก มี "ชาติ" หรืออาชีพเป็นคนทำรองเท้าสานก็มี ปัจจุบันอาจารย์ Upinder ชี้ว่า วรรณะต่ำพยายามอัพเกรดตัวเองให้ดูดี เช่น กินมังสวิรัตเหมือนวรรณะสูง
มีความเชื่อว่าคนต่างวรรณะจะแบ่งของกินกันไม่ได้ เรื่องนี้ถูกครึ่งเดียว เพราะวรรณะสูงจะไม่รับของกินเฉพาะจากวรรณะต่ำ คือพวกศูทรที่มีชาติหรืออาชีพต่ำ เช่น พวกศูทรที่ทำอาชีพเกี่ยวกับศพหรือการฟอกหนัง หรือการฆ่าสัตว์ขายเนื้อ การไม่กินร่วมกับคนเหล่านี้เพราะถือคติเรื่องความบริสุทธิ์ทางศาสนา (เพราะพวกชั้นสูงไม่กินเนื้อ) หรือเรื่องสุขอนามัยมากกว่า ดังนั้น การกีดกันไม่เกี่ยวกับวรรณะ แต่เกี่ยวกับชาติ หรืออาชีพ
การแต่งงานข้ามวรรณะ หรือวรรณสังกร เกิดขึ้นได้ เรียกว่า "อนุโลม" ไม่ใช่ว่ากษัตริย์กับแพศย์จับคู่กันลูกจะเป็นพวกนอกคอกไปหมด
แต่การแต่งงามข้ามชาติ หรือสกุลอาชีพมักจะไม่เกิดขึ้น ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับทัศนะเรื่องความสะอาดเหมือนกับเรื่องไม่แบ่งของกินกันข้างต้น
อีกอย่างคือ แม้ว่าวรรณะจะมีการกำหนดอาชีพด้วย แต่จริงๆ แล้วทำอาชีพได้หลากหลายมาก เช่น กษัตริย์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ จะเป็นคนเลี้ยงวัวก็ได้ ส่วนพวกศูทร (ซึ่งมีสร้อยสกุลว่า ทาส) ก็ใช่ว่าจะเลี้ยงสัตว์ทำงานหนักอย่างเดียวไปจนตายก็หาไม่ แต่ยังเป็นพ่อค้ามหาเศรษฐีได้เช่นกัน
แต่ "ชาติ" คือระบบ Caste หรือการแบ่งชนชั้นที่แท้จริง ถ้าเกิดในชาติต่ำ เช่น พวกขายเนื้อ ฟอกหนัก จะเปลี่ยนอาชีพลำบาก คนยังดูแคลน ชาติเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวรรณะศูทร จึงทำให้ความเป็นศูทรถูกลากไปเกี่ยวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวเท่าไหร่ เพราะอย่างที่ว่าไว้ว่าศูทรเป็นคนมั่งมีก็ได้ เป็นนักรบก็ยังมี
ชาติที่ทำอาชีพต่ำจึงถูกเหยียดลงไปว่าเป็นพวกที่แตะต้องไม่ได้ เพราะไม่สะอาดในแง่ศาสนา เช่นฆ่าสัตว์ กินเนื้อ หรือทำบาปกรรมหันต์จึงถูกไล่ออกจากชุมชน กลายเป็นพวก "อวรรณะ" คือจัดเข้าพวกไม่ได้ หรือบางคนเสนอว่าอาจเป็นพวกคนพื้นเมืองที่มิใช่เผ่าอารยันรวมอยู่ด้วย ต่อมาไม่กี่ร้อยปีมานี้ มีการเรียกคนกลุ่มนี้ "ทลิตะ" ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า The Untouchables คือพวกที่แตะต้องไม่ได้
ในส่วนของ "จัณฑาล" คำๆ นี้หมายถึงคนที่ทำอาชีพสัปเหร่อหรือคนหากินในป่าช้า หรือในมหาภารตะบอกว่าเป็นพวกพรานล่าสัตว์ จึงนับเป็น "ชาติ" ไม่ใช่วรรณะ และยังถือเป็นพวก "อวรรณะ" คือนอกคอก
แต่ผมไม่แน่ใจว่าการเป็นจัณฑาลเกิดขึ้นเพราะอาชีพไม่สะอาด หรือเพราะจัณฑาลเป็นผลมาจากการสังวาสระหว่างวรรณะสูงสุด คือพราหมณ์แต่งงานกับวรรณะต่ำสุดคือศูทร ลูกออกมาจึงสุกๆ ดิบๆ ต้องไล่ออกไปหากินในป่าช้าก็ไม่ทราบ
ผมเชื่อว่าแต่โบราณ วรรณะและชาติมีความยืดหยุ่น คือใครตกอยู่ชาติไหนก็สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ จากคนหากินในป่าช้าหากเบื่อที่จะถูกเขาดูแคลน ก็ถีบตัวเองมาทำงานอื่น เท่านี้ก็พ้นจากสถานะตกต่ำ
แต่ในยุคโมเดิร์นมีการทำสำมะโนประชากร ทำให้มีการกำหนดชาติและวรรณะตายตัวขึ้น และเป็นเหตุให้คนที่มีอาชีพต่ำ เปลี่ยนสถานะยาก กระทั่งเปลี่ยนไม่ได้ ต้องแต่งงานกับพวกอาชีพเดียวกัน กลายเป็นจัณฑาลตั้งแต่เกิดยันตาย
ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ระบุว่า ความบริสุทธ์ของวรรณะเกิดขึ้นจากการกระทำ การปฏิบัติศีลธรรมจรรยา ดังนั้นวรรณะมิใช่การแบ่งว่าใครดีใครไม่ดี และวรรณะต่ำก็อาจครองแผ่นดิน วรรณะสูงก็อาจเป็นข้ารับใช้ได้ แต่เพราะบางคนอาจประพฤติมิชอบจึงทำให้ต้องถูกสังคมกีดกันให้เป็นอวรรณะ ต้องทำอาชีพที่ไม่สะอาดเป็นการลงโทษ
แต่โบราณการเป็นจัณฑาล จึงเป็นทั้งโดยสืบสกุลอาชีพ (ชาติจัณฑาล) และโดยการกระทำชั่ว (กรรมจัณฑาล) จะพ้นจากความตกต่ำแห่งชาติ ก็ด้วยกรรมที่ดีขึ้นนั่นเอง เพียงแต่ในยุคหลังระบบชาติถูกตรึงโดยอะไรสักอย่าง ทำให้คนในระบบชาติถีบตัวเองได้ยาก และถูกกดขี่อย่างหนัก
ภาพนักรบกูรข่า (กษัตริย์?) ชาววรรณะพราหมณ์ และชาวศูทร์ ถ่ายที่เมืองซิมลา ราวปี 1868 (ภาพจาก marquis_of_chaos / reddit)
-------------------------------------------
อ้างอิง
Crossing the Lines of Caste: Visvamitra and the Construction of Brahmin Power in Hindu Mythology โดย Adheesh A. Sathaye
Ethnicity and Mobility: Emerging Ethnic Identity and Social Mobility Among the Waddars of South India โดย Chandrashekhar Bhat
A History of Ancient and Early Medieval India: From the Stone Age to the 12th Century โดย Upinder Singh
Goddess Traditions in Tantric Hinduism: History, Practice and Doctrine บรรณาธิการ Bjarne Wernicke Olesen
เรื่องวรรณะอาจไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาโดยตรง แต่พุทธศาสนาเป็นคำสอนที่หักล้างคติการแบ่งชนชั้นที่ตายตัวในชมพูทวีป ดังนั้น การเข้าใจหลักวรรณะ หรือชาติ จะช่วยให้เราเข้าใจจุดประสงค์อย่างหนึ่งของการประกาศพระศาสนาในชมพูทวีปได้
พระสูตรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวรรณะโดยตรงคือ วาเสฏฐสูตร ในมัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก ความตอนหนึ่งว่า
"จะชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่ที่แท้ ชื่อว่าเป็นคนชั่วเพราะกรรม (การกระทำ) ชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะกรรม เป็นชาวนาเพราะกรรม เป็นศิลปินเพราะกรรม เป็นพ่อค้าเพราะกรรม เป็นคนรับใช้เพราะกรรม แม้เป็นโจรก็เพราะกรรม แม้เป็นทหารก็เพราะกรรม เป็นปุโรหิตเพราะกรรม แม้เป็นพระราชาก็เพราะกรรม
บัณฑิตทั้งหลายมีปกติเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรมและวิบาก ย่อมเห็นกรรมนั้นแจ้งชัดตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม เหมือนลิ่มสลักของรถที่กำลังแล่นไปฉะนั้น
บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ด้วยกรรมอันประเสริฐนี้ คือ ตบะ พรหมจรรย์สัญญมะ และทมะ กรรม ๔ อย่างนี้ เป็นกรรมอันสูงสุดของพรหมทั้งหลาย ทำให้ผู้ประพฤติถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ ระงับกิเลสได้ สิ้นภพใหม่แล้ว ดูกรวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่าผู้นั้นชื่อว่าเป็นพรหม เป็นท้าวสักกะ ของบัณฑิตผู้รู้แจ้งทั้งหลาย"

คนทั้งโลกรู้ด้วยว่า ปูยิ่งลักษณ์ไม่ได้โดนข้อหาคอรัปชั่น

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ
คนทั้งโลกรู้ด้วยว่า ปูยิ่งลักษณ์ไม่ได้โดนข้อหาคอรัปชั่น
คนในตระกูลชินวัตร ไม่มีผู้ใดโดนข้อหาโกงบ้านกินเมือง
ปูยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหาว่า ละเลยทำให้เกิดการทุจริตและทำให้เกิดความเสียหาย ในการดำเนินคดีรับจำนำข้าว ซึ่งหากจะเล่นกันอย่างนี้ก็คงจะมี “นายกรัฐมนตรี” โดนกันเป็นแถบ เพราะคนที่เป็นรัฐบาลนั้นต้องช่วยเหลือประชาชน ต้องใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีอากรคืนให้ประชาชนในรูปแบบของโครงการต่างๆ เช่นเดียวกับ รัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองก็ด้วย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ช่วยคนจน เพิ่งมีมติอนุมัติในที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2560 ให้เอาเงิน 22,000 ล้านบาท แจกให้คนจน 6.3 ล้านคน ที่ท่านขึ้นทะเบียนเอาไว้ ในโครงการ 9101 เริ่ม 27 ก.ค.2560
คนจนในโครงการนี้จะได้รับแจกเงินคนละ 2,500 บาท ในตลอด 90 วันที่เข้ามาร่วมการทำงานที่โครงการกำหนดขึ้น ในขณะที่นายกฯปูยิ่งลักษณ์ใช้วิธีให้ชาวนาเอาข้าวของชาวนาที่ผลิตได้มาจำนำเอาไว้ในราคาเกวียนละ 15,000 บาท เป็นตัวเลขเงินที่ทำให้ชาวนาคุ้มทุนและอยู่ได้อย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรี และแน่นอนที่สุด...ในโครงการช่วยคนจนของ คสช.โครงการช่วยชาวนาของปู ความเหมือนกันก็คือ แสวงหากำไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลจะเอากำไรจากคนจนไม่ได้
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดย้ำกลางที่ประชุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า ท่านก็รู้ว่าคนจ้องอยู่ โครงการนี้จะสำเร็จหรือไม่ ซึ่งเป้าหมายความสำเร็จที่วางไว้ก็คือ ให้เกิดความมั่นคงในหมู่คนจน ให้เกิดการต่อยอดจากโครงการที่ทุ่มเงินลงไปอย่างมหาศาล ... แล้วแค่ 90 วันมันจะเกิดความมั่นคงในฐานะคนจนได้มั๊ย ก็รู้กัน แล้วถ้ามีคนมาชี้ว่า มีเจ้าหน้าที่ทุจริต โครงการไม่สำเร็จ คนยังจนเหมือนเดิม จะโดนดำเนินคดีมั๊ย ก็เป็นเรื่องที่คาดกันได้ไม่ยาก
พล.อ.ฉัตรชัยทำได้ดีมากนะครับ ประกาศย้ำหลายครั้งในหลายสถานที่ อย่าให้มีการโกง อย่าให้มีบัญชีผี ถ้ามีฟันไม่เลี้ยง แสดงว่านี่คือท่านกำกับดูแลอย่างดี ท่านนายกฯปูยิ่งลักษณ์เองก็กำกับดุแลการรับจำนำข้าวอย่างดี มีหลายกลไกที่ถูกสร้างขึ้นป้องกัน และปูออกตรวจงานในสถานที่ด้วยตัวเองก็หลายครั้ง ไม่ได้ละเลย
ถามเรื่องในอนาคตหน่อยนะครับว่า รถไฟความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จ้างจีนสร้างจากกรุงเทพฯ ไปโคราช จะขาดทุนหรือกำไร ถ้าขาดทุนจะทำไง คนทำต้องโดนคดีมั๊ย
หรือ 900,000 ล้านบาท ที่อัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจตลอด 3 ปี มีอะไรดีขึ้นบ้างสำหรับประชาชน 9 แสนล้านบาท ที่มากกว่า 7 แสนล้านบาทรับจำนำข้าวของรัฐบาลปูยิ่งลักษณ์ มันทำให้คนไทยหายจนหรือยัง ราคาพืชผลเกษตรดีขึ้นหรือยัง ถ้ายังไม่มีอะไรดีขึ้นจะโดนดำเนินคดีรึไม่
การใช้เงินมหาศาลเหล่านี้คือ การช่วยเหลือประชาชนอันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะได้อำนาจมาอย่างถูกต้องหรือไม่ก็ต้องช่วยคนจน ก็ไม่ควรจะโดนคดีเพื่อผลทางการเมือง
ดีมากครับ ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ นำข่าวนี้เสนอออกไปทั่วโลก 5 วันก่อนศุกร์ 21 ก.ค.2560 นัดสุดท้ายสืบพยานคดีรับจำนำข้าวของท่านนายกฯปูยิ่งลักษณ์ เพราะสำนัก Reuters ใหญ่มาก มีคนติดตามอ่านมาก ก็ย่อมทำให้คนจำนวนมากทั้งโลกได้รับรู้ว่าปูยิ่งลักษณ์กำลังโดนอะไรอยู่... the charge has been brought against me alone
และคำพูดปูที่ผมเห็นว่าเป็นหมัดหนักที่สุด ... "No other government has been charged over its public policies," ไม่มีรัฐบาลอื่นใดโดนคดีเพราะทำตามนโยบายสาธารณะ
และคนทั้งโลกรู้จากข่าวนี้ของรอยเตอร์แล้ว ยังไงคนไทยก็เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งหน้า แม้ไม่มีคนสกุลชินวัตรลงเลือกตั้งเสนอตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะลงคะแนนให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะเป็นกลุ่มการเมืองที่ช่วยเหลือคนจนได้จริง เอาปูยิ่งลักษณ์ขึ้นศาลเป็นเครื่องมือล้มเหลวในการสกัดกั้นสกุลชินวัตร … Trial of Thailand's Yingluck fails to break Shinawatra machine
"The more the military pushes the Puea Thai Party the more sympathy the party gets," Rotcharin Waratsirisophon, 54, a party member told Reuters in the northeastern province of Khon Kaen
ข่าวภาษาอังกฤษท่อนนี้ผมไม่ลงคำแปลนะครับ ... ผมเสียว
ฉลามเขียว
20 กรกฎาคม 2560
http://www.voicetv.co.th/blog/508861.html

ความสุขที่แท้จริง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, มหาสมุทร, ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง, น้ำ และ ธรรมชาติ
ความสุขที่แท้จริง ...
  • ความสุขทางโลก ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
  • ความสุขทางโลก เป็นสิ่งประดิษฐ์ ไม่ใช่ธรรมชาติ
  • ความสุขทางโลก เป็นเครื่องหมักดอง ค้างคาไว้ให้สุขอย่างนั้น
  • ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขทางโลก
  • แม้ว่าเราได้รับความทุกข์ทางโลก แต่ยอมรับได้
  • มันก็เป็น "ความสุขปัจจุบัน" เพราะเราสดใหม่กับมันได้
  • ชีวิต มีสุขและทุกข์ มีความไม่เที่ยง ธรรมดา
  • สิ่งเหล่านั้นหากเกิดดับสดใหม่ และเราเท่าทันมัน
  • มันก็จะเป็นความสุข เพราะเรายอมรับชีวิตได้ทุกรูปแบบ
  • ไม่ว่าชีวิตจะมีความทุกข์ เราก็ยอมรับได้ในปัจจุบัน
  • แม้ว่าชีวิตจะไม่เหลือความสุข เราก็ยอมรับได้ในปัจจุบัน
  • อารมณ์จิตของเราก็จะสดใหม่ สดใสกับปัจจุบันในทุกสภาวะ
  • เพราะเหตุนี้ แม้มีความทุกข์ทางโลก เราก็มีสุขได้
  • เพราะเหตุนี้ แม้ความสุขทางโลกดับไป เราก็สุขเช่นกัน
  • เพราะเรามีความสุขกับการมีชีวิตที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว ไม่เที่ยง
  • เพราะเรามีความสุขกับความสดใหม่ สดใส ในปัจจุบัน!

  • ทุกข์เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ละคนมีทุกข์หลากหลาย
  • อาจ"คล้าย"แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน

  • วิถีแห่งความพ้นทุกข์เริ่มจากสัมมาทิฐิ
  • แต่สัมมาทิฐิก็ไม่ใช่ความเชื่อหรือคำที่ท่องๆกัน

  • สัมมาทิฐิคือการตระหนักรู้ธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาทุกขณะ
  • ไม่ใช่แนวคิดตายตัว

  • แต่เป็นประสบการณ์ที่แต่ละบุคคล
  • สัมผัสเอง รู้เอง และปล่อยเองในที่สุด

  • สัมมาทิฐิไม่ใช่เอกสิทธิ์ของใคร
  • แต่เป็นการหยั่งรู้ ความจริงอันเรียบง่าย
  • ที่ทุกคนปฎิเสธไม่ได้

  • การหยั่งรู้ ไม่ใช่ภาวะแน่นิ่ง
  • ความจริงไม่ใช่แก่นสารตายตัว

  • ความจริงตัดสินกันที่ สามารถชี้นำปลดปล่อยตนเองออกจากความทุกข์ได้

  • ถ้ามีประโยชน์ปลดเปลื้องทุกข์ได้
  • ความจริงนั้นก็สอดคล้องเหมาะสมกับปรากฏการณ์ธรรมชาติแห่งตน

  • ธรรมแท้ ตัดสินกันที่ ปลดเปลื้องทุกข์ได้

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

600. ประตูแห่งภพ กับ นิมิตความตาย

ในภาพอาจจะมี 4 คน, ต้นพืช, สถานที่กลางแจ้ง และ สถานที่ในร่ม

600. ประตูแห่งภพ กับ นิมิตความตาย
... จิตของเรา ชี้นำ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมทั้งมวลของเรา ..ช่วงที่เราผล็อยหลับช่วยให้เรามีประสบการณ์เรื่อง แสงสว่างวาบขณะที่สิ้นชีวิต ภาวะความฝันมีลักษณะคล้าย"..บาร์โด ".. และนิมิต ความฝัน มีลักษณะคล้ายกับตัวตนของบาร์โด ..(จำลองความตาย ภาพจำลองประตูแห่งภพหน้า)
.. การฝึกแบบตันตระ จึงต้องฝึก “โยคนิมิต” เพื่อควบคุมความคิดและภาพ นิมิตในฝันได้ เพื่อควบคุม”บาร์โด” ควบคุม “ประตูสู่ภพหน้า” ได้เช่นกัน
...การตื่นจากฝัน ย่อมเหมือน การเกิดใหม่ เมื่อ...ตัวตนความฝัน สลายไป และเราตื่นขึ้นมาในรูปลักษณ์ใหม่ ฉันนั้น " 
หลักพุทธศาสนา คือการศึกษาเรื่องจิต และ การพัฒนาคุณสมบัติภายในจิต
**... หินยาน - มหายาน - วัชรยาน ทั้ง ๓ วิธีต่างก็มีการฝึกฝนให้ มี..มรณสติ เพียงแต่ต่างกัน ปลีกย่อย เท่านั้น
.. 
+... ฝึกแบบหินยาน คือ ทางสายกลาง การสละโลกียสุข มีมรณสติ..ทำให้เรามองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ด้วย ความสงบและไม่หวั่นไหว และไม่ยึดมั่นในขันธ์
+.. ฝึกแบบมหายาน ..หัวใจของมหายานคือ “การุณยธรรมอันยิ่งใหญ่” เมื่อผู้ฝึกมีมรณสติอันมั่นคงแล้ว แม้ผู้อื่นสร้างกรรมให้ เขาย่อมมีขันติ อดทน และเมตตากรุณาต่อคนเหล่านั้นด้วย ทำให้พระโพธิสัตว์มีปณิธานที่แน่วแน่ยิ่งขึ้น ที่จะช่วยสรรพสัตว์
+..ฝึกแบบวัชรยาน ผู้ฝึก สามารถใช้อำนาจสมาธิเข้าสัมผัสความตายในขั้นต่าง ๆ ได้ เหมือนสิ้นชีวิตจริง ๆ นี่เป็น” การฝึกขั้นสุดยอดในมรณสติ “
..**...ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติ สามารถมีประสบการณ์มรณะ ความตาย ได้ในสมาธิและรู้ได้แน่ชัดว่าจะมีอะไรเกิด ขึ้นบ้างหลังความตาย สัมผัสพลังงาน กายทิพย์ จักรู้แจ้งในไตรภพ มีความรู้สึก สำนึกรู้ ละเอียดอ่อนที่สุด นี่คือมรรควิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติมี...พลังอำนาจอันสามารถ”บรรลุพุทธภูมิ “ได้ในหนึ่งชั่วอายุขัยเท่านั้น