วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วัฒนธรรมญี่ปุ่นต่างจากจีนอย่างไร?

ในภาพอาจจะมี 1 คน
วัฒนธรรมญี่ปุ่นต่างจากจีนอย่างไร?
  • วัฒนธรรมจีนมีรากฐานมาจากวิถีฮั่นและวิถีมองโกล แต่กระแสหลักของวัฒนธรรมจีนคือ "วิถีฮั่น" ที่นี้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือวิถีฮั่น? วิถีฮั่นคือวิถีของชาวฮั่น ที่เป็นวัฒนธรรมปิด มีศาสนาและความเชื่อของตัวเอง ชาวฮั่นจะปิดรับวัฒนธรรมภายนอก ทำให้กลายเป็นอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ชนิดที่ใครเปิดรับศาสนาหรือแนวคิดต่างชาติเข้ามา จะถูกกวาดล้างข้อหาเป็นพรรคมารทันที เช่น กรณีการกวาดล้างนิกายเม้งก่า เป็นต้น วิถีฮั่นจึงมีวัฒนธรรมซับซ้อนและแบ่งแยกดีเลว มารเทพ ชัดเจน อีกทั้งยังนิยม "ตำรา" หรือการอ้างอิงครูอาจารย์ เช่น เล่าจื้อ เป็นต้น
  • วิถีมองโกลเป็นพวกไร้ตำรา แต่อยู่กับธรรมชาติมากกว่านี่คือ ข้อแตกต่างอย่างชัดเจน ชาวมองโกลไม่สนใจว่าคุณจะพูดเก่งแค่ไหน มีความรู้มากเท่าใด? สนใจแต่ว่า "คุณปฏิบัติได้จริง" แค่ไหน? ชาวมองโกลเมื่อเริ่มเข้าวัยรุ่นหนุ่มทุกคนจะต้องขี่ม้าได้ จะต้องเลี้ยงอินทรีย์เพื่อนำทางไปล่าสัตว์ได้ และยังต้องทำอะไรอีกมากมายเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเป็น "ลูกผู้ชาย" พอที่จะเอาชีวิตรอดในทุ่งกว้างได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ดีแต่พูดแบบนักปราชญ์ชาวฮั่นครับ ดังนั้น ชาวมองโกลจึงมักชอบใช้กำลังและมุทะลุ ไม่ค่อยใช้สมองคิดเท่าไร ซึ่งแตกต่างจากชาวฮั่นชัดเจน
  • วัฒนธรรมญี่่ปุ่นมีความโน้มเอียงไปทาง "วิถีมองโกล" มากกว่าวิถีฮั่น ทว่า มีรายละเอียดมากกว่า ชาวญี่ปุ่นสร้างศาสนาของตัวเองขึ้น เรียกว่า "ชินโต" สร้างวัฒนธรรมของตัวเองขึ้น สร้างชุดประจำชาติของตัวเองขึ้น เช่น ชุดกิโมโน นอกจากนี้ยังเปิดรับเอาวัฒนธรรมจีนเข้าไปดัดแปลงเป็นของตัวเองด้วย เช่น การดื่มชา แต่ก็ดัดแปลงเป็นชาในแบบของตัวเอง เช่น "ชาเขียว" เป็นต้น เรื่องการปลูกพืช ชาวฮั่นนับว่าเก่งอันดับต้นๆ ของโลก แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ยอมแพ้ สามารถปลูกพืชได้เก่งมาก เรื่องการเลี้ยงสัตว์เป็นเอกลักษณ์ของชาวมองโกล ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ยอมแพ้ ทำได้ดีไม่แพ้ชาวมองโกลเลย ชาวญี่ปุ่นนิยมธรรมชาติ จึงกินอาหารที่มีการปรุงรสน้อย และเป็นรสธรรมชาติ เช่น ปลาดิบ
  • ปัจจุบัน วัฒนธรรมญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปมีความโน้มเอียงไปทางวัฒนธรรมฮั่นมากขึ้น มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้นและยังปิดกั้นการเปิดรับวัฒนธรรมภายนอกด้วย (มีความเป็นจีนฮั่นสูงกว่าเดิม) ทั้งๆ ที่่อดีต ญี่ปุ่นเองใช้การเปิดรับวัฒนธรรมจีนแล้วนำไปดัดแปลงเป็นของตัวเอง ทว่า ปัจจุบัน ญี่ปุ่นกลายเป็นฮั่นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เน้นรายละเอียดและกฎระเบียบในการใช้ชีวิตแบบ "มากเกินไป" ทั้งๆ ที่จริงแล้วชาวญี่ปุ่นเดิมเป็นพวกที่นิยมธรรมชาติ เรียบง่าย ไม่นิยมกฎระเบียบอะไรยุ่งยากมากมายแบบนี้ครับเช่น การยอมรับในธรรมชาติทางเพศ ชายแก่สามารถไปเหล่เด็กผู้หญิงได้ เขาเรียกว่า "โอตาคุ" ครับ ไม่มีใครว่าเขา แต่ถ้าคนไทยกระแดะไปเห็นก็จะบอกว่า "ตาแก่ตัณหากลับ" ไป อันนี้คือข้อแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ของแดนปลาดิบครับ
  • ดิบๆ เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง แต่มีรสนิยมในการใช้ชีวิตครับ
  • สังเกตุหน้าตานักแสดงชาวจีน ปัจจุบันคล้ายๆ ไทยมากขึ้น ถามว่าตรงไหน? คือ คนไทยจะหน้าเรียวๆ คมๆ คนจีนผู้หญิงจะนิยมหน้ากลมอิ่มเต็มแบบพระพักตร์ของพระพุทธรูปจีน ผู้ชายก็มีเหลียมหน้าใหญ่หน่อยๆ แต่ปัจจุบันดาราหญิงบางคนก็หน้าเรียว "วีเชพ" ครับ 555
  • นายแบบในรูปคือคนจีน แต่ถูกทำให้เหมือนคนไทยมากเลย ทั้งคางเรียวคม ผิวเข้ม และตาสองชั้นด้วยครับ

ชาวศรีวิไลซ์

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ

ชาวศรีวิไลซ์
  • ชาวศรีวิไลซ์คล้ายๆ ชาวบังบด พวกเขาเป็นพวกกายทิพย์ กายพลังงาน ไม่มีกายสังขารร่างเนื้อ แต่เป็นจิตวิญญาณมนุษย์ครับ (มนุษย์แต่เดิมไม่มีกายเนื้อ มีแต่กายพลังงานมาก่อน) แต่ต่างจากชาวบังบดตรงที่พวกเขาไม่ได้อยู่บนพื้นดิน พวกเขาจะอยู่บนเรือ หรือก็คือ "เรือธรรมนาวา" ของพระศรีอาริยเมตตรัย ตามตำนานที่ว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะมาฉุดช่วยสรรพสัตว์ขึ้นเรือธรรมนาวา ชาวศรีวิไลซ์ดำรงอยู่คล้ายมนุษย์ บนเรือนั้นเหมือนอาณาจักรที่มีแผ่นดิน, น้ำ, ต้นไม้ ฯลฯ มีพระศรีอาริยเมตตรัยปกครองอยู่ และมี "สภา" เป็นทีมงานช่วยพระศรีอาริยเมตตรัยทำกิจต่างๆ เนื่องจาก มนุษย์ปัจจุบันนั้น สูญเสียความเป็นมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์ไปแล้ว พวกเขากลายเป็น "ร่าง" ของอะไรบางอย่าง เช่น ร่างของปีศาจ, ร่างของอสูร, ร่างของซาตาน ฯลฯ ทว่า มนุษย์ที่แท้จริงเป็นจิตวิญญาณที่จรจากร่างนั้นมานานแล้ว พวกเขาตกเป็นทาสของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าในอีกมิติหนึ่ง เมื่อพระศรีอาร์ฯ ได้ปลดแอก ให้อิสรภาพแก่พวกเขาแล้วรับพวกเขาไว้บนเรือนั้น พวกเขาจึงกลายเป็น "ชาวศรีวิไลซ์" ตามตำนานที่เล่าขานกัน
  • เรือธรรมนาวานี้ มีลักษณะคล้าย "จานบิน" ของวัดธรรมกาย ซึ่งพระในวัดอาจเห็นด้วยตาทิพย์แล้วพยายามสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาครับ ทว่า เจดีย์ธรรมกายยังไม่ใช่เรือธรรมนาวาของแท้ เป็นแค่ของที่สร้างจำลองขึ้นให้เห็นจากการเห็นผ่านนิมิตรเท่านั้น เรือจริงจะมีลักษณะคล้ายๆ นั้น ด้านล่างเหมือนจักร ด้านบนเหมือนโลก คือ มีแผ่นดินและที่อยู่อาศัยราวกับจำลองโลกนี้มาเลย ชาวศรีวิไลซ์นี้จะใช้ "เงินบุญ" ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน พวกเขาจะทำความดีเพื่อให้ได้เงินบุญมาก่อน สะสมเงินบุญได้มากแล้วจะเอาไปซื้อ "ร่างมนุษย์" ครับ มนุษย์คนไหนหมดบุญแล้วอยากมีบุญต่อไปอีก เพื่อให้สังคมสมมุติทางโลกยังคงอยู่ได้ (ถ้าหมดบุญ บางคนอาจธุรกิจล้มละลายทีเดียว) พวกเขาจะต้องขอ "ต่อบุญ" เงินบุญของชาวศรีวิไลซ์จะช่วยได้ แต่พวกเขาจะต้องให้ร่างสังขารแก่ชาวศรีวิไลซ์อาศัยเพื่อบำเพ็ญธรรม สร้างความดี ชาวศรีวิไลซ์จึงเป็นดั่ง "เทพองครักษ์ประจำกาย" ของมนุษย์โลกได้ ตรงนี้ต่างจากชาวบังบด ดังนั้น ชาวศรีวิไลซ์จึงมีทั้งที่มีกายเนื้อและไม่มี คนไทยก็สามารถรับชาวศรีวิไลซ์ไปอยู่เป็น "องค์ใน" ของตนเองได้ เมื่อได้รับแล้วจะเข้าถึงความเป็นมนุษย์ครับ เพราะพวกเขาคือมนุษย์ จะมีความสุขแบบเรียบง่าย ดำรงอยู่ในโลกนี้แบบไม่ทำลายโลก
  • คนไทยส่วนใหญ่ชอบมีองค์ในเป็นพญานาคมากกว่าชาวศรีวิไลซ์

เงินบุญกับวัดธรรมกาย

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ
เงินบุญกับวัดธรรมกาย
  • วัดธรรมกายพยายามให้คนมาทำบุญที่วัดชนิด "เทหมดหน้าตัก" ถามว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น? แท้แล้ว มันคือการสร้าง "เงินบุญ" อย่างหนึ่งนั่นเอง เพราะอนาคตจะมีสงครามเงิน เพื่อล้มคว่ำเงินดอลล่าร์ จนเกิดผลกระทบต่อเงินทั้งโลก เงินสกุลใดไม่แข็งพอ และผูกติดกับอเมริกามากไปจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจนล้มไปตามๆ กัน ไม่ใช่แค่เงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้นครับที่จะล้มแต่จะล้มเป็นโดมิโน่เลย มีเพียง "เงินบุญ" เท่านั้นที่จะใช้ได้จริง และมีพลังอำนาจแห่งการแลกเปลี่ยนที่แท้จริง ดังนั้น วัดธรรมกายจึงพยายามให้คนทำบุญแบบหมดตัว เพื่อเปลี่ยนเงินกระดาษนี้ ให้กลายเป็นเงินบุญให้หมด เมื่อสร้างเงินบุญได้สำเร็จแล้วก็จะไม่ต้องกลัวผลกระทบนี้อีกต่อไป เราจะสามารถอยู่รอดได้โลกนี้ได้แม้ไม่มีเงินครับ ทว่า เพราะวัดรับเงินทำบุญของคนทั้งหลายไว้เอง ทำให้วัดและพระธัมชโยต้องรับวิบากกรรมของสัตว์ไว้ที่ตัวเองมากเกินไป จนไม่อาจสำเร็จธรรมได้ ผลสุดท้าย ทำให้มีปัญหาอย่างที่เห็น เงินบุญไม่อาจสร้างได้สำเร็จ เรือธรรมนาวาก็มีเพียง "เจดีย์ธรรมกาย" ให้เห็นเป็นรูปธรรมแต่ไม่ใช่ของจริง
  • ชายเป็นคนหนึ่งที่เคยมีเงินแล้วทำบุญจนหมดตัวไปเลย เรียกว่าเทหมดหน้าตัก แต่ไม่ใช่ที่วัดธรรมกายนะครับ กระจายไปทั่วไปหมด จากนั้น ชายก็ต้องอยู่อย่างคนไม่มีเงินใช้ เป็นชีวิตแบบที่เรียกว่า Retro life ไงละครับ ชายบวชพระแล้วก็อยู่ได้สามปี จนชินกับการมีเงินบ้าง ไม่มีเงินบ้าง มีก็ใช้ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ ชายไม่มีอาชีพไม่มีรายได้ ชายจึงหันมาทำความดีด้วยการโพส กระทู้ธรรมะ โดยไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ทว่า ผลที่เกิดขึ้นในอีกมิติ ชายได้รับ "บางสิ่ง" ที่มีค่าไม่น้อยกว่าเงินทอง ในมิติทิพย์นั้นจะมีเงินทองเป็นเหรียญๆ ครับ เรียกว่า "เงินบุญ" เกิดจากการสร้างคุณงามความดี เหรียญเงินเรียญทองพวกนี้ใช้แลกกับของต่างๆ ในโลกทิพย์ เช่น อาหาร, ที่อยู่อาศัย ฯลฯ ซึ่งนับว่าดีกว่าโลกยุคก่อนที่เทพเทวดาถือกระบี่ ถือดาบแล้วใช้อาวุธในมือฟาดฟันกัน การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ทว่า จะไม่ให้มีสงครามเลยย่อมไม่ได้แน่นอน เทพอัคคีเป็นผู้นำโลกในการทำสงคราม สิ่งศักดิสิทธิ์ได้พยายามช่วยมนุษย์ให้ไม่ต้องมีการเข่นฆ่ากันเอง ไม่ให้เกิดกลียุค ดังนั้น สงครามจึงเปลี่ยนไปเป็นการโจมตีค่าเงิน อีกไม่นานเงินจะกลายเป็นกระดาษ แต่คนที่มีเงินบุญจะอยู่รอดได้ครับ เหมือนชายที่อยู่รอดได้ทุกวันนี้
  • ทุกอย่างกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว และมันจะเห็นได้จริงครับ!

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พระป่าผู้ลึกลับ



พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ยินได้ฟังมาจาก หลวงตารูปหนึ่ง ณ.ที่วัดที่อำเภอ ศรีราชา ขณะนี้ท่านเองยังมีชีวิตอยู่เป็นภิกษุผู้มีวัยเกือบ ๘๐ ท่านเป็นภิกษุผู้เคร่งในศีลน่าเคารพมาก การสวดมนต์ท่านสามารถท่องบทสวดหนังสือมนต์พิธีได้ทั้งเล่มรวมถึงบทปาฎิโมกข์ด้วย
เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเป็นผู้ที่บวชเมื่ออายุมาก ตอนพรรษาต้นๆ ปี ๒๕๓๒ ท่านได้เดินทางไปที่ถำ้ผาจม จ.เชียงรายและได้พบกับคณะพระธุดงธ์คณะหนึ่งกำลังหาพระภิกษุร่วมเดินทางไปประเทศอินเดียให้ครบเก้ารูปเพื่อสักการะสังเวชสถานทั้งสี่ตำบล ท่านจึงตอบตกลงร่วมคณะเดินทางไป วิธีการเดินทาง คือ การเดินเท้าข้ามประเทศพม่าและต้องหลบหลีกเจ้าหน้าที่ของพม่าด้วยเนื่องจากเวลาขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังไม่ราบรื่นนัก เอกสารหลักฐานคือใบสุทธิเพียงอย่างเดียว
ปัจจัยเงินทองทั้งหมดไม่รับ ทั้งหมดต่างปวารณาถือธุดงธ์ควัตรเอาชีวิตเป็นเดิมพัน การเดินทางจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่าไม่เคยได้กินอิ่ม อดข้าวเป็นเรื่องปกติ 2วันบ้าง 4วันบ้าง แต่กระนั้นทุกรูปยังคงความสามัคคี ไม่มีใครท้อทอยหรือแสดงความเห็นแก่ตัวตามวิสัยปุถุชนออกมา
จนกระทั่งถึงขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ทุกรูปเดินเท้าอย่างหมดแรง กลางป่าลึก หาบ้านคนไม่ได้ ต่างคิดว่าตายแน่ ๆ เอาชีวิตมาทิ้งแล้วหนอ
พลันสายตาทุกรูป เห็น บุรุษผู้หนึ่งรูปร่างผอม นุ่งผ้าสีย้อมฝาดขมุกขมอมผืนเดียว ผมยาวประมาณ ๑ ฝ่ามือ ที่ไหล่สะพายข้องจับปลา ที่มือถือไม้แหลม กำลังก้มหน้าก้มตาเอาไม้แหลมแทงลงในซอกหิน เหมือนคนกำลังหาปลา ทุกครั้งที่เสียบลงไปจะมีปลาดิ้น ติดมาที่ไม้แหลมทุกครั้ง
พระทุกรูปเห็นแล้วก็คิดในใจว่า…“พระหรือคนบ้าหนอ” 
แค่คิดในใจ ท่านก็ตะโกนออกมาว่า… “ก็พระซีว่ะ” 
แล้วพระทุกรูปคิดต่อในใจว่า…“ทำไมเป็นพระแล้วแต่งกายแบบนี้?” 
ท่านก็ตะโกนสวนออกมาว่า… “แล้วการเป็นพระ…มันอยู่ที่หัว..เหรอ?” มันอยู่ที่…จีวรเครื่องนุ่ง…เหรอ?” 
หลวงตาก็เลยพูดขึ้นว่า…“แล้วเป็นพระทำไมฆ่าสัตว์ต้ดชีวิตล่ะ?” 
ท่านก็เดินเข้ามา…แล้วทำท่าเหมือนโกรธ ขว้างข้องจับปลาลงกับพื้น แล้วบอก “กูไม่ทำก็ได้ว่ะ” 
ปรากฏว่า…ในข้องกลายเป็นรากไม้ทั้งหมด แล้วท่านก็พูดต่อ…“กะว่ามากันเหนื่อย ๆ จะต้มยาให้กินเสียหน่อย” 
พระภิกษุทุกรูป จึงก้มกราบ ขอขมากรรม ณ ที่ตรงนั้น
ท่านจึงพาทุกคนไปในถำ้ที่พักของท่าน ตอนไปนี่แปลก ทุกคนเหมือนไม่ได้เดิน หรือออกแรงกันเลย พอถึงที่พัก   ท่านนำอาหารมาให้ทานก็แปลกอีก…
อาหารแม้เพียงน้อยแต่ทุกคนกลับอิ่มพอดี กำลังวังชากลับเป็นปกติอย่างเหลือเชื่อ โรคที่หลวงตาเป็นก็เหมือนจะหายไปเลย แล้วท่านก็ออกมาสนทนาธรรมกับทุกคน
ท่านบอกว่า…”ดีนะที่เจอท่าน มิฉะนั้นต้องมีคนตาย อย่างแน่นอน” 
พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า…“ถ้ารอดไปได้จะกลับมากราบท่านอีก” 
ท่านกล่าวว่า…“ทุกท่านจะเจอกับผมครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” แล้วก็ทำนายทายทักทุกคน ซึ่งก็เป็นไปตามคำทำนายทุกประการ
ครั้นพอถึงรุ่งเช้า ท่านก็บอกว่า…“ให้เดินทางไปตามเส้นทางนี้นะ แล้วจะรอด” 
ทุกรูปก็เดินไปตามที่ท่านบอก ก็พบทางรอดจริง ๆ คือ ไปเจอกับทหารพม่า แล้วก็ถูกควบคุมต้วส่งกลับชายแดนไทยทั้งหมด ช่วงถึงชายแดนนั้น ทุกรูปพึ่งคิดได้คือ…

พวกท่านอยู่ใจกลางป่าลึกของประเทศพม่า ค่อนข้างไปทาง บังคลาเทศ แล้วทำไมภิกษุรูปนั้นถึงพูดภาษากลางชัดเจนขนาดนั้น?
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง บุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีชีวตอยู่ ผู้พูดเป็นภิกษุผู้มีศีลอันงดงาม แต่ขอปิดชื่อ ที่อยู่ไว้ ไม่อยากให้ใครไปรบกวนสมณะธรรมของท่าน

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และพระป่าผู้ลึกลับ “สติอยู่ที่ตัว รักษาศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ให้ดี แล้วจะเจอแสงสว่าง”

576. สตรี ๕..น่าบูชายิ่ง.

ในภาพอาจจะมี 1 คน

576. สตรี ๕..น่าบูชายิ่ง.
  • สตรี ย่อมต่าง จากบุรุษ ..มันเป็นกฎธรรมชาติ. เป็นหยิน กับ หยาง ] อ่อนโยน กับ แข็งแกร่ง ,รับ กับ รุก, ยืดหยุ่น กับ กระด้าง แม้เป็นความต่าง เพื่อ ให้เกิดความสมดุล ในการสร้างภพชาติ ในการเรียนรู้ทุกข์ .สร้างบารมี…
**..ความทุกข์ ๕ ของสตรี..
  • ๑. สตรีเมื่อเป็นสาวไปสู่สกุลแห่งสามี ย่อมพลัดพรากจากญาติทั้งหลาย นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะที่ได้รับต่างหากจากบุรุษ.
  • ๒. สตรีย่อมมีระดู(ประจำเดือน) นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะที่ได้รับต่างหากจากบุรุษ.
  • ๓. สตรีย่อมมีครรภ์(ตั้งครรภ์) นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะที่ได้รับต่างหากจากบุรุษ.
  • ๔. สตรีย่อมคลอดบุตร นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะที่ได้รับต่างหากจากบุรุษ.
  • ๕. สตรีย่อมทำหน้าที่บำเรอบุรุษ นี้เป็นทุกข์โดยเฉพาะที่ได้รับต่างหากจากบุรุษ.

ธรรมชาติสร้างกำลัง ให้สตรี **เป็น..กำลัง ๕ ของสตรี 

  • ๑. กำลัง คือ รูป
  • ๒. กำลัง คือ ทรัพย์
  • ๓. กำลัง คือ ญาติ
  • ๔. กำลัง คือ บุตร
  • ๕. กำลัง คือ ศีล

  • *** สตรีผู้ประกอบด้วยกำลัง ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมเป็นผู้องอาจในการครองเรือน, ย่อมข่มสามีในการครองเรือน, ย่อมครอบงำสามีในการครองเรือน. ยิ่งสตรีมีกำลังครบทั้ง๕..บุรุษย่อมกริ่งเกรง เกรงใจ มากขึ้นไปอีก.....แม้สตรีอาจขาดกำลังทั้ง๔ รูปก็ไม่งาม ยากจน ขาดญาติ ไม่มีบุตร ..แต่สิ่งที่เราสร้างได้..คือ “ กำลังแห่งศีล”..และเป็นกำลังที่มีอานุภาพสุงสุดด้วย..นอกจากจะมีอำนาจในการยับยั้งการข่มเหงของบุรุษแล้ว..ยังมีอำนาจทำให้สตรีผู้นั้น เข้าสุ่ “อริยะบุคคล” ได้โดยง่าย
  • *..ทำไม..ร่างบอบบางของสตรี..จึงต้องรับภาระหนักในการแบกน้ำหนัก”คนหนึ่ง” ๑-๔ กิโลกรัม..ตลอด ๙ เดือน
  • ...ทำไมไม่ให้บุรุษผู้แข็งแกร่งแบกไว้เล่า...เพราะสตรี อดทนสูงกว่า ยืดหยุ่นกว่า..อ่อนโยนกว่า เมตตากว่า...เป็นธาตุผุ้รับมากกว่าผู้รุก..สตรีจึงเป็นคู่บารมี เป็น “นางแก้ว”ของ พระโพธิสัตว์....
  • ..ถ้าพระโพธิสัตว์ ขาด สตรีที่เป็นนางแก้วคู่บารมีแล้วไซร้...โพธิสัตว์องค์นั้น จะไม่สามารถบรรลุบารมี ๓๐ ทัศน์ได้เลย 
  • ถ้านางแก้วคู่บารมีไม่สละชีวิตตนเอง แด่โพธิสัตว์แล้ว ต้องยอมทนทุกข์ ที่ต้องถูกบริจาคทั้งตัวเอง ทั้งบุตรแก่ผู้อื่นแล้ว โพธิสัตว์องค์นั้น ย่อมสร้าง”มหาทานบารมี” เป็นปรมัตถบารมีไม่ได้เลย..เพราะมันเป็นหลักสูตรของพุทธะ ถ้าขาดนางแก้วสตรีผู้เสียสละ.แล้ว จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร.. 
  • ข้าพเจ้า ขอน้อมกราบ ในกำลัง ความเสียสละ ความอดทน ความทุกข์ แห่งสตรี ที่มีมาทุกดวงจิต ไม่มีสตรี ย่อมไม่มีนางแก้ว ไม่มีนางแก้ว ย่อมไม่มีโพธิสัตว์ ไม่มีโพธิสัตว์ ย่อมไม่มีพระพุทธเจ้า..สาธุสาธุ สาธุ


วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำสอนหลวงปู่ดูลย์

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม

คำสอนหลวงปู่ดูลย์ 
ที่จริงมีไม่มากนะ มีนิดเดียว
ท่านไม่ใช่พระช่างพูด นานๆพูดทีนึง
ไปอยู่ด้วยเป็นชั่วโมง บางที เงียบๆ
พูดประโยคสองประโยค
หลังๆ เห็นคนเอาคำสอนหลวงปู่ดูลย์
มาโฆษณาเยอะแยะเลย ซึ่งไม่ใช่
แต่งขึ้นเอง แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ดูลย์
.คำสอนท่านมีสองส่วน
ส่วนของสมถะ กับ วิปัสสนา
สมถะ
ท่านพูดคำเดียวมันครอบคลุมอยู่ ท่านบอก "อย่าส่งจิตออกนอก"
จิตออกนอก ก็จิตฟุ้งซ่าน จิตไหลไป ก็ไม่มีสมาธิ
ถ้าจิตไม่ออกนอกนะ จิตก็ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
แล้วท่านก็บอกอีกว่า "ธรรมชาติของจิตต้องส่งออกนอก"
เพราะธรรมชาติของจิต มันต้องส่งออกนอก
แต่ท่านกับไปบอกว่า "อย่าส่งจิตออกนอก"
ฟังแล้วแปลกมั้ย
.ธรรมชาติของจิตส่งออกนอกนะ
แล้วก็ เวลาจิตไปกระทบอารมณ์
อย่างจิตมันต้องส่งออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่ไปไหนเลยก็ไม่ได้
นี้พอจิตมันกระทบอารมณ์แล้ว
จิตมันกระเพื่อมหวั่นไหว
ยินดียินร้ายขึ้นมา มันก็ปรุงแต่งต่อ
พอจิตมันปรุงแต่ง ก็คือจิตมันสร้างภพ
มันก็ทุกข์ขึ้นมา
.
ท่านบอกว่า
"พระอริยเจ้า คือพระอรหันต์เนี่ย มีจิตไม่ออกนอก"
ในขณะที่ ทีแรกท่านบอกว่า "จิตมีธรรมชาติออกนอก"
พอถึงพระอรหันต์ ท่านบอกว่า
"พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ออกนอก
มีจิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหว
มีสติเป็นวิหารธรรม อยู่จบอริยสัจตรงนี้"
ฟังแล้วเหมือนขัดกันไปขัดกันมา
คือจริงๆ เป็นธรรมะคนละขั้นกัน
จิตพระอรหันต์เนี่ย ไม่มีขอบเขต ไม่มีขนาด
จิตของพวกเรา รู้สึกมั้ย มันแคบๆเล็กๆ
งั้นมันรู้สึกจิตมันวิ่งไปวิ่งมาได้
จิตพระอรหันต์มันไม่มีขอบเขต
งั้นจะดู มันก็แค่สักว่าดู มันไม่ต้องวิ่งไปดู
จะฟัง มันก็แค่สักว่าฟังนะ มันไม่ต้องวิ่งไปฟัง
งั้นจิตนั้นไม่ออกนอกนะ แต่ไม่มีข้างใน
.
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอน
บอกว่า จิตเนี่ย จิตจริงๆ นะ
ข้างในเหมือนท่อนไม้ และก้อนหิน
คือไม่มีความเคลื่อนไหว
ข้างนอกไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีรูปร่าง
แต่ข้างในเนี่ย ไม่มีความเคลื่อนไหว
แต่จิตของเราเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน หมุนอยู่ตลอด
.
งั้นเวลาฟังครูบาอาจารย์
บางทีต้องฟังแล้ว ต้องฟังให้ดี
บางทีฟังแล้วเข้าใจผิดเลย
อย่างบางองค์ท่านก็สอนนะ
บอกว่า จิตไม่เกิดไม่ดับ
ในขณะที่พระพุทธเจ้าสอน
"จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ทั้งวันทั้งคืน"
ทำไมครูบาอาจารย์บางองค์
บอก จิตไม่เกิดไม่ดับ
บางองค์ก็บอกว่า
ถ้าใครเห็นว่าจิตเที่ยงเป็นมิจฉาทิฏฐิ
หลวงปู่หล้า(เขมปตฺโต)ภูจ้อก้อ ว่าอย่างนั้น
สุดท้ายจิตมันเที่ยงหรือมันไม่เที่ยง
จิตมันเกิดดับหรือจิตมันไม่เกิดดับ
เราฟังแล้วงงนะ
.
งั้นการเรียนธรรมะนะ
อย่าเรียนหลายที่
เรียนหลายอาจารย์จะไม่รู้เรื่อง
จะขัดกันไปขัดกันมา
บางทีท่านพูดสิ่งเดียวกัน ภาษาไม่เหมือนกัน
บางทีท่านพูดกันคนละระดับ
องค์นี้พูดระดับนี้ องค์นี้พูดระดับนี้
เราฟังแล้วเราก็แยกไม่ออก เราก็งงว่า
ตกลงจิตมันเที่ยงหรือมันไม่เที่ยง อะไรอย่างเนี้ย
.
ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุดนะ
เราเรียนว่า "พระพุทธเจ้าสอนอะไร
แล้วเดินตามร่องรอยที่พระพุทธเจ้าบอกให้
ปลอดภัยที่สุด"
อย่างท่านสอนสติปัฏฐาน ๔
เรียนเรื่องสติปัฏฐานให้ดี
ท่านสอนเรื่องไตรลักษณ์ เรียนเรื่องไตรลักษณ์
เรื่องขันธ์ ๕
อายตนะ ๖
เรียนเรื่องธาตุ
ไม่จำเป็นต้องเรียนทั้งหมด
เรียนขันธ์ ๕ แจ่มแจ้ง
มันก็แจ่มแจ้งในอายตนะ
ในธาตุ, ในอินทรีย์, ในปฏิจจสมุปบาท
เรียนอายตนะจบนะ
มันก็เข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมดอีก
.
งั้นเราสังเกตตัวเองนะ
ค่อยๆฝึกตัวเราเองไป
ถ้าเราเป็นพวกคิดมาก(ทิฏฐิจริต)
พวกคิดมากเนี่ย จิตไม่ค่อยสงบ
กรรมฐานที่เหมาะ กับพวกจิตไม่ว่างจิตไม่สงบ
ก็คือดูจิตเอา เพราะจิตนี้จะเปลี่ยนแปลงให้ดู
งั้นเราก็ต้องรู้จักตัวเองว่า จะใช้กรรมฐานอะไร
หรือถ้าเป็นพวกรักสุข
รักสบาย รักสวยรักงาม(ตัณหาจริต)
อะไรอย่างนี้ ดูกาย
เพราะกายเนี้ย มันจะสอนให้เห็นว่า
ไม่สุข ไม่สบาย ไม่สวย ไม่งาม
กายมันเต็มไปด้วยความทุกข์
เต็มไปด้วยของไม่สวยไม่งาม
ถ้าคิดมาก ก็ดูจิตไป
เพราะทุกคราวที่คิด จิตมันเปลี่ยน
คิดเรื่องนี้มีความสุข คิดเรื่องนี้มีความทุกข์
คิดเรื่องนี้โลภ คิดเรื่องนี้โกรธ คิดเรื่องนี้หลง
คิดเรื่องนี้ฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้หดหู่
จิตมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
.
แต่คนส่วนใหญ่นั้น มีจริตผสมผสาน
มีทั้งคิดมาก มีทั้งรักสวยรักงาม รักตัวเอง
งั้นเราสังเกตดูว่า อันไหนมันเด่นกว่าอันไหน
แล้วคอยรู้ตัวนั้นเป็นหลัก
ถ้าเจ้าความคิดเจ้าความเห็นนะ ดูจิตเป็นหลัก
แต่ว่า(ดูจิต)มันก็เห็นกายด้วย ไม่ใช่ไม่เห็นกาย
ถ้าเรารักสวยรักงาม รักสุข รักสบายมาก
ดูกายเป็นหลัก แต่มันก็เห็นจิตด้วย
เพราะจิตเป็นคนสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว
งั้นเราดูตัวเองนะ
.
เนี่ยเรียนสิ่งเหล่านี้ให้แม่นๆ
แล้วไปลงมือปฏิบัติเอา
อย่างสติปัฏฐาน ๔ เนี่ย เริ่มต้น
ก็ต้องมีวิหารธรรม/มีเครื่องอยู่ของจิต
เครื่องอยู่ของจิตนั้น ก็คือ
รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย
จะใช้รูป หรือจะใช้นาม บอกแล้วว่าเพราะอะไร
ถ้าเราคิดมาก ก็ดูนามธรรมเป็นหลัก
ถ้าเรารักในร่างกายนี้มากนะ ก็ดูรูปธรรมเป็นหลัก
เนี่ยต้องมีวิหารธรรม/มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่
ถ้าจิตไม่มีเครื่องอยู่นะ จิตก็ร่อนเร่ไป
พอจิตร่อนเร่ไป เราดูไม่ออกว่าจิตร่อนเร่
สติไม่เกิด
.
งั้นเราต้องมีวิหารธรรม/มีเครื่องอยู่ของจิต
อยู่กับกายก็ได้ อยู่กับเวทนาก็ได้
อยู่กับจิตที่เป็นกุศล อกุศลก็ได้
อยู่กับธรรม รูปธรรมและนามธรรม ก็ได้
อันไหนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดนะ
.
ถ้าพวกอินทรีย์แก่กล้าเนี่ย
แล้วเป็นพวกตัณหาจริต...
พวกรักสุข รักสบาย รักสวยรักงามเนี่ย
ควรจะดูเวทนา
ดูกายเนี่ย รู้สึกตื้นไปไม่มัน
ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้าดูกาย
แล้วถ้าเป็นพวกช่างคิด/พวกทิฏฐิจริต ช่างคิด
ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้า ดูจิตที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
ถ้าอินทรีย์แก่กล้าแล้ว มันจะขึ้นไปธรรมนุปัสสนาฯ
จะเห็นรูปธรรม-นามธรรมมันทำงาน
งั้นเราสันนิษฐานก่อนว่า
(อินทรีย์)เรายังไม่แก่กล้า
เราก็ดูรูป-ดูนาม/ดูกาย-ดูใจไปนะ
ดูกาย-ดูจิต
.
ดูกายก็เห็นได้หลายแบบ
เห็นร่างกายหายใจออก รู้สึกตัว
เห็นร่างกายหายใจเข้า รู้สึกตัว
เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตัว
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึกตัว
ถนัดแค่ไหนเอาแค่นั้น
บางคนแค่รู้หายใจออก หายใจเข้า
รู้สึกตัวได้ มันก็รู้สึกตัวได้ทั้งวัน
เพราะทั้งวันมีแต่หายใจออก กับหายใจเข้า
หายใจออกด้วย หายใจเข้าด้วย คนละรูจมูกทำได้มั้ย
ไม่รู้เหมือนกัน ทำไม่เป็น
งั้นถ้าเราเห็นร่างกายหายใจออก เรารู้สึกตัว
ร่างกายหายใจเข้า เรารู้สึกตัว
เรารู้สึกตัวทั้งวันแล้ว
งั้นอิริยาบถใหญ่ๆของเราน่ะ
ยืน เดิน นั่ง นอน
ไอ้กระโดด เขย่งเก็งกอยอะไรเนี่ย นานๆมีที
ไม่มีใครไปไหนเค้ากระโดดไปหรอก ไม่ใช่ผีแมนจู
งั้นเราก็รู้อิริยาบถ
ยืน เราก็รู้สึกตัว เดิน เราก็รู้สึกตัว นั่ง ก็รู้สึกตัว
นอน ก็รู้สึกตัว
มันจะรู้สึกตัวได้ทั้งวัน
บางคนบอกว่า ชอบว่ายน้ำ
ว่ายน้ำมันยืน เดิน นั่ง นอน มันยังไงแน่
มันก็เอนๆหน่อยหนึ่ง จะว่านอนมันก็ไม่เหมือนนอน
อันนั้นเป็นอีกบรรพหนึ่ง รู้ร่างกายที่เคลื่อนไหว
มันเคลื่อนไหวในอิริยาบถย่อยๆ
ที่แปลกออกไปกว่าปกติ
.
งั้นในสติปัฏฐานหมวดกายเนี่ย
มีตัวที่ทำง่ายๆ อยู่ ๓ ตัว
คือรู้การหายใจ หายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก
ก็จะรู้สึกตัวได้ทั้งวัน
เพราะทั้งวันมีแต่หายใจออก หายใจเข้า
แต่ถ้าหายใจออก ใจลอย หายใจเข้า ใจลอย
ก็คือใจลอยทั้งวัน
หรือจะรู้อิริยาบถ ๔
ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตัว
ก็รู้สึกตัวได้ทั้งวัน
_/|\_ _/|\_ _/|\_
วัดสวนสันติธรรม ต.โค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม 4 มิถุนายน 2560
CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ 71
File:600604A
พระธรรมเทศนาระหว่างนาที 0:22-- 11:02
ดาวน์โหลดไฟล์เสียงธรรมะได้ที่
Dhamma.com
.....
กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล



ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

วิธีเจริญจิตภาวนาตามแนวการสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

  • เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว อย่างเดียว
  • รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
  • เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆโดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจ
  • จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป
  • ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

  • ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

  • ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิ
  • พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
  • ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
  • เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที
  • เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
  • ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ
  • เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"
  • การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
  • แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
  • ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่อง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดล
  • เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
  • เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลา และบั่นทอนความศรัทธาตนเองเลย
  • เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้นๆ
  • บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์

574.. การบำเพ็ญบารมี กับ ..อาวุธทิพย์

ในภาพอาจจะมี 1 คน

574.. การบำเพ็ญบารมี กับ ..อาวุธทิพย์
  • .ในโลกทิพย์ ย่อมมีอาวุธทิพย์ คล้ายของใช้ของมนุษย์ เป็นพลังงาน ตาเปล่ามองไม่เห็น ” เมื่อมีหน้าที่ ย่อมมีบารมี มีอาวุธทิพย์ ซึ่งอยุ่ในกายทิพย์
  • บางท่านมีอาวุธชนิดเดียว บางองค์มีศัสตราวุธหลายชนิด ..อยู่ที่การสร้างบารมี ดังเช่น

๑.)การบำเพ็ญ จักรทิพย์
  • ในสมัยเป็นมนุษย์ บำเพ็ญบารมีด้วยการ เป็นนักประดิษฐ์ เป็นต้นวิชชา สร้างสิ่งต่างๆหรือ ออกแบบ 
ด้วยความมุ่งมั่น เช่นออกแบบเครื่องบิน แล้วนำความรู้นั้นมาเผยแพร่ต่อให้ผู้คนทั้งหลายเป็น“สาธารณกุศล หรือ ทำคุณงามความดีแก่โลก ปกครองประเทศได้ดี หรือชอบปราบมาร อภิบาลคนดี บ่อยๆ จะ
ได้รับ “จักรทิพย์” มาอยู่ในกายทิพย์ จักรทิพย์นี้ สามารถใช้ฆ่าภูตผีปีศาจได้ .พระนารายณ์ใช้อาวุธนี้...

๒).การบำเพ็ญคทาทิพย์
  • ต้องบำเพ็ญบารมีด้วย “ขันติบารมี” และ “อุเบกขา จิตหนักแน่น เป็นกลาง ผู้นำศาสนา ผู้คนให้ความนับถือและนำทางผู้คนให้เดินตามตนได้ บารมีนี้ก่อให้เกิดเป็น “คทาทิพย์”

๓ ธรรมจักรทิพย์
  • พบได้ใน พระลามะ, พระโพธิสัตว์ สร้างบารมี ขับเคลื่อนพุทธจักร หรือบางท่านฝึกการหมุนธรรมจักรบ่อยๆ หรือ “สมาธิหมุน”หรือ... การหมุนของ จักระ..ธรรมจักรทิพย์ สามารถขับสิ่งไม่ดี คุณไสยที่ ออกได้ง่าย ทั้งยังสามารถหมุนธรรมจักรทิพย์ดึงเอาพลังงานที่ดีงาม เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย

๔ ลูกแก้วทิพย์
  • พบมากในพญานาค บำเพ็ญตบะ จะรวมพลังจิตเป็นรูปลูกแก้ว เรียกว่า”ลูกแก้วพญานาค”มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น ยกเว้น ช่วงพญานาคมีร่างกายเนื้อเป็นสัตว์เดรัจฉานใช้ธาตุสี่สร้างลูกแก้ว แล้วประจุพลังทิพย์เข้าไว้ แล้วคายลูกแก้วพญานาคออกมา หลากสีสัน


๕) พระขรรค์ทิพย์ ,กริช,
  • พระขรรค์ทิพย์ กริชทิพย์ เกิดจากผู้ทำหน้าที่ปกป้องประเทศด้วยใจรักในมาตุภูมิ..เพื่อให้คนข้างหลังมีความสุข มีเอกราช พอตายไป มักจะเป็น พระสยามเทวาธิราช มีพระขรรค์เป็นอาวุธและอาวุธอันเป็นทิพย์นี้ ใช้ในการเข่นฆ่ากันกับเทวดาได้ด้วย..

๖) ตาทิพย์
  • ผู้ฝึกทิพยจักขุจนชำนาญ จะเกิดตาทิพย์มีลักษณะเหมือนอวัยวะ ติดอยู่กับกายทิพย์เสมอ อยู่บริเวณจักระที่๖ ระหว่างคิ้ว จะมองเห็นทะลุได้ทุกสิ่ง มองเห็นอนาคต อดีต ของผู้อื่นได้

๗) แจกันทิพย์
  • เป็นคนที่มีเมตตา กรุณาสูง จิตใจมีแต่คิดจะให้คนรอบข้างมีความสุข ปลอบประโลมคนตกทุกข์ได้ยาก คนจะฆ่าตัวตาย ให้กลับใจมีกำลังใจต่อสู้ชีวิต ใครอยู่ใกล้จะรู้สึกเย็นใจ ก่อเกิดเป็นแจกันทิพย์.. เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีให้หายไป และประทานพรได้ด้วย พระแม่กวนอิมมักใช้แจกันทิพย์

๘) บ้วนเซียงหรือ หีบทิพย์
  • ผู้ที่มีบารมีในการโปรด และ ปราบวิญญาณ ปรับภพภูมิจนชำนาญ จะก่อเกิด “หีบทิพย์” สามารถกักเก็บวิญญาณ และสอนธรรมจนวิญญาณมีคุณธรรมขึ้น เช่น หลวงปู่โต กักวิญญาณแม่นาคพระขโนง พร้อมสอนธรรม จนแม่นาคหายจากจิตพยาบาท หรือ หมอปลา(จิตหนึ่งของปุ่พญายมราช)..ก็มีอาวุธทิพย์นี้
  • อนึ่ง..สำหรับความเห็นส่วนตัว โลกหยาบทำอะไร ย่อมส่งผลในโลกทิพย์ เหมือนดังภาพในกระจกเงา ..วิธีที่ง่ายในการจะมีอาวุธทิพย์นี้..คือ การถวายสิ่งนั้นบ่อยๆ..ย่อมจะเกิดอานิสงส์เป็นอาวุธทิพย์ในโลกทิพย์ได้
    • เมื่อเราถวายน้ำ..ย่อมมี สระน้ำทิพย์ข้างบน 
    • ถวายจีวร ย่อมมีเครื่องประดับทิพย์...
    • ถวายอาหาร ย่อมมีวรรณะทิพย์ อายุทิพย์..
    • ถวายรองเท้า...ย่อมเหาะเหิรได้ไว...
    • ถวายประคำ..ย่อมมีประคำทิพย์เพื่อบำเพ็ญตบะ....
    • ถวายพระเครื่องบูชา..ย่อมมีรัศมีแผ่ซ่าน....
    • ถวายพระธาตุย่อมมี..พลังพระธาตุก่อเกิดนิมิตพุทธะในกายทิพย์.....
    • ถวายหนังสือหรือธรรมทาน..ย่อมก่อเกิดคัมภีรย์ทิพย์.สอนเหล่าเทวดา นางฟ้า
    • ถวายดอกบัว ก่อเกิดดอกบัวทิพย์ในการสอนธรรม...
    • ถวายบายศรี..มักเป็นผุ้จัดพิธีกรรมบนโลกทิพย์....
    • ถวายดวงแก้ว...ย่อมมีทิพยจักขุแจ่มชัด วิมานสว่างมาก บันดาล

ทรัพย์ทิพย์...


  • อนึ่ง แม้เรามิได้สร้างหรือถวายเพื่อมีอาวุธทิพย์ แต่ถ้าเรามีบารมีถึง เหล่ามหาเทพ และเทพเทวา ก็ให้ยืมอาวุธทิพย์ของเขาได้..
  • อีกอย่าง..ช่วงที่ข้าพเจ้าปรับส่งวิญญาณ..ที่มาหา หรือ ที่ข้าพเจ้าไปหา..ปกติ..แค่ยกมือขึ้น..พวกเขาก็เปลี่ยนภพภูมิ หรือ มีกายทิพย์ดีขึ้นแล้ว 
  • แต่มีครั้งหนึ่ง..ไปส่งวิญญาณในตึกร้าง..พวกเขาไม่สามารถจะรับกระแสบุญได้..เพราะตกในภวังค์แห่งกรรม...สักพัก..กลับมีผ้าทิพย์..ไม่รู้มาจากไหน..ลอยมาอยุ่ในมือข้าพเจ้า..และข้าพเจ้าจึงใช้ผ้าทิพย์นี้..สะบัดให้วิญญาณที่ตกค้างในตืก..ให้หลุดออกมาได้...
  • ดังนั้นอาวุธทิพย์..จึงมีความจำเป็น และสามารถมีได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่..มันซ่อนในกายทิพย์ของเรา
ในภาพอาจจะมี 1 คน
ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย ปวงข้าไซร้ขอเป็นที่พึ่ง
ซึ่งพร้อมมีพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร มหากรุณา จิตธารณี
ประทานความ สมบูรณ์สุข ไกลอวิชชา
พลังบุญผู้มีธรรม พาโลกพลันสว่าง ด้วยแสงธรรม ค้ำโลกา
ขอนอบน้อมองค์พระ ผู้เลิศปัญญา
ทรงนำพา ให้รู้เท่าทันบุญบาป กิเลสทุกข์ทั้งปวง
ความโลภ ความโง่เขลา หลงโกรธ
จงมลาย จางหาย เป็นความบริสุทธิ์
ดั่งเช่นดอกบัว ของพระโพธิสัตว์
ทรงนำพาสัตว์โลกหายโง่งม
ซึ่งล้วนเป็น มหากรุณา
ธรรมอันใด ธรรมทรงดำรงค์
ขอพระองค์ทรงบรรลุธรรม
นำพระนิพพาน สู่แดนพระพุทธภูมิ

ฑูตแห่งแสงสว่าง

ในภาพอาจจะมี 1 คน


ลูกรัก จงตื่นจากการหลับไหล 
ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ ฑูตแห่งแสงสว่าง 
พลังรักแท้ชั่วนิจนิรันดร จาก แม่สู่ลูก 
ทุกจิตทุกกายทุกญาณ ช่วยกัน 
ตั้งปณิธาณมหาอภัยทาน 
ตั้งแต่ต้นจิตต้นชาติต้นกัลป์ กันทั้งหมด 
ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรผู้ใด 
ก้าวมาสู่ทางแห่งเมตตา 
เป็นทางที่สว่างไสว 
ต้องรู้หน้าที่ของตน 
มีความสามัคคี รักกัน 
มอบพลังใจให้กัน 
และที่สำคัญ 
ทุกจิตทุกกายทุกญาณ 
ธรรมขาว ธรรมเทา ธรรมดำ 
ต้องรักกันให้มากๆ 
เพื่อจะได้สำเร็จธรรม 
ได้ชัยชนะทุกฝ่าย 
ด้วยพลังแห่งพุทธะมหาเมตตา 
มีรักแท้ต่อกันชั่วนิจนิรันดร


วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คลื่นพลังงานที่หนักแน่นมากเมื่อนั่งหรือนอนอยู่ในปิรามิด

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ตาราง และ สถานที่กลางแจ้ง

วันที่ 25 มิถุนายน 2017
"เอมมี่ มีความรู้สึกถึงคลื่นพลังงานที่หนักแน่นมากขึ้นเมื่อนั่งหรือนอนอยู่ในปิรามิดทั้งคืน ซึ่งเอมมี่ก็นอนในปิรามิด นั่งสมาธิในปิรามิดมาเป็นเวลาเกือบจะเข้าสองปีแล้ว หลังจากที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องของปิรามิดเลย"
...เมื่อเอมมี่นำปิรามิดออกมาเผยแพร่เพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังงานลงมามากขึ้นเรื่อยๆ บนโลก ลึกๆ แล้วเอมมี่ได้ยินผู้ต้องการใช้ปิรามิด แต่ติดขัดเรื่องการเงิน จิตลึกๆ แล้วเอมมี่ต้องการปรารถนาให้ทุกบ้านเรือนเลยมีปิรามิดประจำบ้านไว้สักหลังถ้าเป็นไปได้ เอมมี่หวังใจว่าอุปกรณืทุกชนิดที่เอมมี่นำมาเผยแพร่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่ขบวนการเชื่อมพลังงานและมิติได้กว้างขวางขึ้น มันมีทางออกสำหลับผู้ต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินมาก สำหรับท่านที่มีทรัพย์ไม่มากพอ ซึ่งเอมมี่เข้าใจเรื่องแบบนี้เป็นอย่างดี
...ท่านใดต้องการขอคำแนะนำจากเอมมี่ ยินดีให้คำแนะนำด้วยความยินดีจากใจค่ะ 0845511871 : 0642156889
.....................................................................
"แสงออร่าที่เกิดขึ้นรอบๆ ภาพมีข้อมุลพอยืนยันได้จากบทความนี้ค่ะ"
ตามทฤษฎี ของ ดร. แนนตัวร์ โฟตัวร์ นักจิตวิทยาผู้หนึ่ง ได้อธิบายไว้ว่า
พวกนักบุญ หรือ ผู้ชำนาญการทางศาสนาทางตะวันตก ได้จำแนก
ลักษณะของแสงออร่า ประกอบด้วย 4 ประเภท ดังนี้
  • ๑.แบบ นิมบัส ( Nimbus )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ “ รังสีทรงกลด ” จะเป็นรัศมีทรงกลดเหนือศีรษะ
  • ๒.แบบ ฮาโล ( Halo )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ รังสีวงเหลว ” จะเป็นรัศมีแผ่ออกมา รอบศีรษะ
  • ๓.แบบ ออริโอลา ( Aureola )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ รังสีเปลวเพลิงทรงกลด ” 
  • ๔.แบบ กลอรี ( Glory)คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ แสงเรืองรองเปล่งปลั่งแผ่ออกมารอบร่างกาย ” ส่วนมากบุคคล ทีมีแสงลักษณะดังกล่าวนี้ มักเป็นคนมีบุญวาสนาสสูงส่งมาก หรือไม่ จะเป็นบุคคลที่เป็นพระศาสดาผู้บรรลุธรรมบารมีชั้นสูงปฏิบัติธรรม หรือติดตัวแต่ละบุคคลมาแต่ในอดีตชาติ จากการสะสมบุญ หรือ บำเพ็ญเพียรภาวนาได้มาแล้วจากอดีต การเปล่งรังสีเหล่านี้ มีความเข้มข้น แตกต่างกันไป แล้วแต่ในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่าง ในบุคคลที่มีจิตใจ อยู่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอๆปรากฏการณ์ แสงออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่

ความหมายของออร่าในแต่ละสี
  • ๑. สีชมพูหมายถึง พลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขันถ่อมตน และสามารถปลอบประโลมผู้อื่นได้ โรแมนติก มักจะพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีมีเมตตาต่อเพื่อมนุษย์ หญิงมีครรภ์ ก็มีสีชมพูออกมามากเช่นกัน ข้อเสียของคนที่มีแสงสีนี้ คือ มักจะเป็นคนโลเล
  • ๒. สีแดง หมายถึง เต็มไปด้วยพลังงาน มีความทะเยอทะยาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศ อารมณ์รุนแรง ถ้าในร่างกายมีสีแดงสด แสดงว่ามีความภาคภูมิใจและทะเยอทะยานทางที่ถูกที่ควร แต่ถ้าเป็น สีแดงขุ่นเป็นบุคคลที่มีจิตใจโหดร้าย
  • ๓. สีส้มหรือสีแสด หมายถึง มีความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุขสุขภาพเต็มไปด้วยพลัง บุคคลที่มีแสงสีนี้มากไป จะกลายเป็นเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่ถ้าสีส้มมัวหม่น หรือส้ม ออกปนน้ำตาล แสดงว่า สติปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงมากเกินไป เป็นบุคคลเย่อหยิ่ง อวดฉลาด เป็นต้น
  • ๔. สีเหลือง หมายถึง สีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดมีความเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อมนุษย์ นอกจากนี้เป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองส้มแดง บุคคลนั้น มีความฉลาดปลาดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นข้น บุคคลนั้นมีความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
  • ๕. สีเขียว หมายถึง สีของจิตใจที่มีความละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นเป็นสีของความรัก การเปลี่ยนแปลง การรักษาโรค ความสนใจในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงความสมดุล สีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นบุคคลปรับตัวเก่งในสังคม ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืด เป็นบุคคลที่ชอบคดโกงอิจฉาริษยาสีเขียวอมฟ้า บุคคลที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และยังแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค ส่วนสีเขียวขี้ม้าเป็นบุคคลชอบหลอกลวงผู้อื่น ตระหนี่ เป็นต้น
  • ๖. สีน้ำเงิน หมายถึง สีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสารพลังจิตความฉลาด ความมีอุดมคติสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง ความขยันขันแข็งและความสำเร็จ ความเชื่อมั่นในตนเองและความซื่อตรงจริงใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่น หรือเป็นบุคคลสมถะ แต่อารมณ์หงุดหงิดง่าย สีน้ำเงินขุ่น แสดงว่าบุคคลนั้นทัศนวิสัยถูกปิดกั้น เป็นบุคคลวิตกกังวลบ่อย หรือหลงลืมบ่อย เป็นต้น
  • ๗. สีคราม หมายถึง สีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต มีความฉลาดล้ำลึก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมีความจริงใจเป็นบุคคลชอบค้นหาสัจจะธรรมความจริงของชีวิต
  • ๘. สีม่วง หมายถึง บุคคลที่จิตใจละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ของทางสมาธิและมีความโน้มเอียงในทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีสีนี้ผู้ที่มีสีนี้ มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง
  • ๙. สีน้ำตาล หมายถึง สีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัวชอบคุยแต่เรื่องของตนเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระ พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดหมายและความสำเร็จ
  • ๑๐. สีดำ หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา คือการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ สุขภาพมีโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก หรือผู้นั้นอาจจะมี ความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่ในสีอื่นๆ เช่น ผสมอยู่กับสีแดง บุคคลนั้นมีความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ผสมสีเหลือง บุคคลนั้นมีความคิดชั่วร้าย ผสมสีเขียว บุคคลนั้นมีความคิดหักหลัง และริษยา
  • ๑๑.สีขาว หมายถึง แสงสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์มากที่สุดจะปรากฎกับพวกนักบุญ พระภิกษุ หรือผู้ผึกสมาธิวิปัสนากรรมฐาน อย่างสม่ำเสมอ ถ้าปรากฎเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง คือการได้รับข่าวสารจากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เป็นคนทรง มีจะมีสีขาวเข้ามาในระหว่างการเข้าทรง ผู้ที่มีสีขาวปรากฎในออร่า จะพบว่ามีการชำระล่างร่างกายและฟอกจิตใจให้ขาวบริสุทธิ์ บุคคลที่มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
  • ๑๒. สีน้ำเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
  • ๑๓. สีทอง หมายถึง พลังจักรวาลหรือพลังจากองค์เทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
  • ๑๔. สีเทา หมายถึง พวกขาดจินตนาการ ความคิดล้าสมัย หัวโบราณยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ เป็นสีเทามืด แสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา จิตใจสลดหดหู่ บุคคลพวกนี้มักจะว้าเหว่ มีสีนี้ในสีอื่น แสดงว่ามีความคิดในแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคลียดแค้น หรือแม้แต่ บุคคลเหล่านี้ อาจเป็นฆาตกรได้สีเทาค่อนไปทางสีน้ำเงิน แสดงถึงสมองซีกขวา ได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและสัมผัสที่ ๖
  • สีที่ไม่ค่อยปรากฎอยู่ด้วยกัน คือ สีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าผู้ใดมีสองสีนี้ อยู่ด้วยกัน จะเป็นบุคคลที่น่าอิจฉา เพราะสีน้ำเงินแสดงถึงความสงบ ส่วนสีแดงแสดงถึงความสุขถ้ารวมกันก็คือ บุคคลนั้นจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ ส่วนใหญ่จะพบในเด็กที่อายุต่ำกว่า ๘ ขวบ และในผู้ใหญ่บางรายที่รักษาโรคด้วยพลังจิตพวกนี้มักจะมีความสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้มี ๒ สีนี้ปรากฎในสีของออร่า 

............................................................................................
.....อาณาจักรแอตแลนตีสเก่า?.....
  • ท้องทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก ที่น่าสนใจ บางโซนเต็มไปแด้วยดงภูเขาไฟใต้ทะเลนับไม่ถ้วน บางโซนก็มีร่องรอยแยกของเปลือกโลกมองเห็นได้ชัดเจน บางโซนก็เป็นที่ค่อนข้างราบ มีเนินเขาประปรายอยู่ห่างๆ อาณาจักรที่น่าสนใจนี้อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ผ่านเมืองสวานาและแจ๊คสันวิลล์ ในรัฐฟลอริดา ทางฝั่งสหรัฐฯ และใต้ประเทศมอรอคโค และสหร่าตะวันตก ทางฝั่งยุโรป
  • เค้าโครงและร่องรอยของอาณาจักรใต้ทะเลแห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ อยู่ห่างจากทางฝั่งยุโรปออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1,000 กม. จะเริ่มเห็นร่องรอยของเมืองใหญ่ ไล่ไปทางทิศตะวันตกเรื่อยไป จะยิ่งเห็นผังเมืองมีถนนตัดกันเป็นบล๊อคๆอย่างชัดเจน พื้นที่เมืองส่วนใหญ่เป็นที่ค่อนข้างราบ ส่วนถัดไปทางตะวันตกมากเข้าจะเป็นดงภูเขาไฟใหญ่ใต้ทะเล และรอยแยกของเปลือกโลกมากมาย เมื่อท่านคลิกที่ลิงค์ข้างใต้แล้ว ค่อยๆเลื่อนภาพไปทางทิศตะวันตก และตะวันออกก็จะค่อยๆมองเห็นร่องรอยของอดีต ที่น่าจะเป็นสถานที่ตั้งอาณาจักรใหญ่ในทำเลที่ดีไม่น้อยทีเดียว ที่ได้รับการเปิดเผยจากพระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ ถึงความก้าวหน้าในวิชาความรู้และเชี่ยวชาญในการใช้พีระมิด เป็นอาณาจักรแห่งพีระมิดเลยทีเดียว จากการช่วยเหลือของชาวโลกอังคาร ซึ่งพีระมิดมีคุณประโยชน์ในการดำรงชีวิต ที่สะดวกสบายและประหยัดไร้มลภาวะ
  • และจะยิ่งน่าตื่นเต้น ถ้าอาณาจักรโบราณแห่งนี้ใกล้จะครบวงรอบวาระ 13,000 ปีที่รอคอย และจะมีโอกาสที่เปลือกโลกส่วนนี้จะถูกยกตัวขึ้นมาเหนือน้ำทะเลกลับมาอีกวาระหนึ่ง หากเป็นอาณาจักรแอตแลนตีส อย่างในอดีตนั้น อาณาจักรนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาก ใช้พลังงานไปถึง 7 ระดับ เหนือจากชั้นปรมาณูขึ้นไปอีก 2 ระดับ จากพลังความร้อน แสง เสียง พลังแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานปรมาณู เส้นแสง และการเปลี่ยนวัตถุเป็นเส้นแสง และสลับกลับมา ลักษณะคล้ายกับวิชาอภิญญาใหญ่ในปัจจุบัน
  • เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ นักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงของอเมริกา กล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 20,0000 ลงมาจนถึง 10,700 ปี ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-90,000 ปี

atlantis_pashos.jpg picture by Drakuli_2006
ขอให้สังเกต เครื่องหมายบอกทิศเหนือ
แสดงว่าในสมัยแอตแลนตีส ขั้วเหนือใต้สลับกับยุคปัจจุบัน
  • เอ็ดการ์ เคย์ซี กล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์ มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมี โอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า
  • พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคม หรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมา ให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่า พื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามา ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512
  • ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกัน ก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อย และประณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก
  • นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต
  • บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง
  • มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส
  • เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี
  • ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของเทพโพซีดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โตเป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก
  • ได้ทราบจากท่านพระอาจารย์รัตน์ว่า ในอาณาจักรแอตแลนตีส มีพีระมิดใช้อย่างแพร่หลายมาก และใช้ประโยชน์จากพีระมิดได้หลายอย่าง มีชาวดาวอังคารมาให้ความรู้
  • ความลับของพีระมิด 
  • สุดยอดเทคโนโลยี ที่หลงเหลือจาก...แอตแลนติส 
  • โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
  • ความ ลี้ลับมหัศจรรย์ของ “พีระมิด” และ “พลังพีระมิด” ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัยตราบเท่าจนปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดเจนได้ว่า ใครคือผู้สร้างพีระมิด มหาพีระมิดทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังพีระมิด” มีประโยชน์อย่างไร
  • ความรู้เกี่ยวกับ “พลังพีระมิด” ที่ได้เรียบเรียงขึ้นนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่รู้ได้ด้วย การใช้ญาณทัสนะ 
  • Image
  • ศึกษาจากฐานความรู้ สาเหตุของการสร้าง ใครเป็นผู้สร้าง รวมทั้งการประยุกต์ เพื่อนำประโยชน์ของ “พลังพีระมิด” มาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมในการฝึกสมาธิ และฝึกการใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคและ สร้างภูมิต้านทานด้วยตนเอง และในอนาคต พีระมิด และสฟิงซ์ ยังมีภารกิจสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ กับอาณาจักรของชาวแอดตแลนตีส...เปลือกโลกมันเป็นเช่นที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี่ ให้ความเห็นเอาไว้ มันมีทั้งลอยขึ้น และจมลง ซึ่งแผนที่โลกใหม่ของ นายกอร์ดอน สแกนเลี่ยน พอจะให้ภาพอนาคตของเปลือกโลกในยุคที่ 5 นี้ที่น่าสนใจไม่น้อย
  • ฉะนั้นองค์ความรู้เหล่านี้จึงมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากแหล่งความรู้อื่น เพราะความรู้เหล่านี้ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่เข้ามาพิสูจน์ได้ ดังนั้น แต่ละบุคคลจะสามารถเรียนรู้และสัมผัสในพลังจิตและพลังพีระมิดได้จริงจากการ ทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้นไม่ใช่เรียนรู้จากการอ่าน และสร้างความรู้สึกคล้อยตาม
  • ฐานที่มาของความรู้เรื่องพีระมิด พลังพีระมิด พอจะกล่าวย่อๆ ได้ดังนี้
  • จากประวัติศาสตร์โลก เมื่อประมาณ 10,000 ปีเศษ ได้กล่าวถึงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองมากบนทวีปแอตแลนติก ชาวแอตแลนตีสในยุคนั้นมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตสูงมาก โดยเฉพาะความรู้ในการสร้างพีระมิดและนำพลังแกนพีระมิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งวิวัฒนาการในการสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยการนำพลังงานเส้นแสงมาใช้ซึ่งอาวุธชนิดนี้เรียกว่า “อาวุธแสง”
  • ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถค้นพบพลังงาน และนำมาใช้ประโยชน์เพียง 5 ชนิดจากจำนวนพลังงาน 7 ชนิด คือ
  • พลังงานความร้อน
  • พลังงานแสง
  • พลังงานเสียง
  • พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
  • พลังงานปรมาณู
  • พลังงานเส้นแสง
  • การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานเสงเป็นวัตถุ
  • พลังงานลำดับที่ 6 คือพลังงานเส้นแสง นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา แต่ชาวแอตแลนตีสในยุคที่ผ่านมาถึง 10,000 ปีเศษ ได้มีการนำพลังงานตัวนี้มาใช้ก่อนแล้ว
  • พลังงานลำดับที่ 7 คือการเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นความสามารถของมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนต่างดาวที่อยู่ในครอบครัวสุริยะจักรวาล เช่นเดียวกับดาวโลกของเรา จึงสะดวกในการนำหินก้อนใหญ่ๆมาติดตั้งทำพีระมิด และติดตั้งหินก้อนเดียวทำสฟิงซ์ซึ่งยาว 73 เมตร สูง 20 เมตร หนักหลายร้อยตัน
  • ชาวแอตแลนตีสได้นำอาวุธแสงมาใช้ในสงครามทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เกิดคลื่นความถี่สูง เกิดคลื่น Resonance frequency ของเปลือกโลก จนนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้อาวุธแสง ทำให้ทวีปแอตแลนติก เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแผ่นดินทรุด ยุบตัวลง เปลี่ยนสภาพจากผืนแผ่นดินเป็นมหาสมุทรในชั่วค่ำคืน อาณาจักรแอตแลนตีส จึงยังคงจมอยู่ใต้มหาสมุทรตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเมื่อใดที่การย้อนรอยของธรรมชาติปรากฎขึ้น อาวุธแสงถูกนำมาใช้อีกครั้ง อาณาจักรแอตแลนตีส อาจจะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก อวดตนเองแก่สายตาชาวโลกอีกวาระหนึ่ง
  • ซึ่งพระอาจารย์รัตน์เพิ่งมาเปิดเผย ในงานสัมมนาเจาะลึกภัยพิบัติ ที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 19 ธ.ค. 2553 ที่ ม.ศรีปทุมเกือบตลอดทั้งวัน ว่า 1 ทุ่ม ของ วันที่ 1 ม.ค. 2554 ท่านอาจารย์และคณะศิษย์จะร่วมกันส่งพลังจิต ไปเหยียบเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ เพื่อเปิดมิติ ให้สฟิงซ์ดูดพลังงานไม่ดีจากจักรวาลอันโดรเมดา ลงสู่ใต้ดิน เพื่อช่วยลดระดับความรุนแรงของการย้ายขั้วโลกเหนือใหม่ ไปที่สฟิงซ์ให้แกนโลกใหม่ชี้ไปทางทิศตะวันออก เพื่อช่วยรักษาชีวิตของพลโลกเอาไว้เพิ่มมากขึ้น...วิธีช่วยเหลือพลโลกให้รอดชีวิตมากขึ้นของช่าวดาวอังคารเพิ่งเปิดเผยโฉมกลางงานสัมมนาครั้งนี้เอง
  • และท่านอาจารย์รัตน์ ยังได้กล่าวเชิญชวนให้ผู้สนใจ ลองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นึกถึงเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ ขอให้สฟริงซ์ดูดสิ่งเลวร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราลงสู่ใต้โลก ลดสาเหตุความเจ็บป่วยขัดข้องต่างๆออกไป ในวันที่ 2 ม.ค. 2554 แล้วท่านจะสัมผัสแรงหมุนได้ด้วยตัวของท่านเอง เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ทุกคนลองพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..อ่านต่อที่ลิงค์นี้
  • (วัตถุหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆจะมีความถี่อันหนึ่ง เป็นลักษณะเฉพาะตัว หากมีคลื่นในความถี่นั้นเกิดขึ้น โครงสร้างของสะพาน หรือสิ่งใดก็ตาม จะแตกหักพังลงมาทันที นักวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า Resonance frequency จึงห้ามมิให้ทหารเดินสวนสนามบนสะพาน หากเกิดแรงสั่นสะเทือนในจังหวะหนึ่ง สะพานอาจพังลงมาได้)
  • ก่อนที่จะเกิดสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรประมาณ 1 เดือน นักบวชชาวแอตแลนตีสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น กับทวีปแอตแลนตีส นักบวชรูปนี้ได้นำชาวแอตแลนตีสที่เชื่อในคำพยากรณ์เดินทางออกมาจากทวีปและ ได้สร้างที่อยู่ใหม่ในดินแดนของชาวอียิปต์อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้ถ่ายทอด สู่ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะการสร้างพีระมิดและการใช้ประโยชน์จาก พลังพีระมิดในยุคอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์...คงจะมีชาวแอตแลนตีสเก่าจำนวนหนึ่ง มาเกิดในยุคนี้ พร้อมๆกับนักบวชรูปนั้นก็ได้

โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแจกกุศล จากคัมภีร์ใบลานสมัยปาละ

ในภาพอาจจะมี 1 คน
ภาพ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแจกกุศล จากคัมภีร์ใบลานสมัยปาละ แถบเบงกอล จากศตวรรษที่ 12 จารอัษฏสาหัสริกปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นของ The Metropolitan Museum of Art
  • พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เมื่อคนพาลเห็นเจ้าปฏิบัติกุศล จึงกล่าววาจาเหยียดหยามต่างๆ นานา เจ้าจงอดกลั้นไว้ มีขันติไว้ อย่าได้โกรธคนพาลผู้นั้น เพราะแม้คนพาลผู้นั้นจะกล่าวบริพาษเจ้า แต่แท้จริงเขากำลังบริพาษตัวเองต่างหาก"
  • จากบทที่ 6 ของพระสูตร 42 บท (四十二章經) อันเป็นธรรมบทของพุทธศาสนาฝ่ายอุตรทิศ


หัดดูสภาวะที่เป็นนามธรรม

หัดดูสภาวะที่เป็นนามธรรม
นามธรรมที่เราเห็นง่ายนะ
ก็คือ ความสุข ความทุกข์(เวทนา)
แต่ความสุข ความทุกข์ มันเกิดได้ ๒ ที่
เกิดที่กายกับที่ใจ
งั้นเราคอยสังเกต
ถนัดที่จะรู้ที่กาย ก็รู้กาย
ถนัดที่จะรู้ที่ใจ ก็รู้ที่ใจ
อย่างหลวงพ่อถนัดที่จะรู้ใจนะ
หลวงปู่ดูลย์ ท่านรู้จริต
เจอท่านวันแรกนะ ท่านก็สอนให้ดูจิตเลย
เพราะว่าถูกกับจริต
คนเจ้าความคิดเจ้าความเห็น คนเมืองนะ
คนในเมือง ทำงานก็ใช้ความคิดตลอดเนี่ย
มันถนัดที่จะดูจิตมากกว่าดูกาย
งั้นหลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อนะ
แต่ก่อนจะสอนนะ
ท่านหลับตาสอบประวัติเราไปเกือบชั่วโมง
หลับตานิ่งๆ เรานึกว่าท่านนั่งหลับไปแล้วด้วยซ้ำ
ลืมตาขึ้นมานะท่านสอนเลย
"การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ
อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง"
... ถ้าอ่านจิตตนเองได้ก็จะเห็นเลย
จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย
ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค
ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ"
ท่านสอน ให้ไปดูเอา
เราก็มาดูจิตใจของตัวเอง
.
การดูจิตนั้นไม่ใช่ดูจิต
บางคนบอก ดูจิตคือไปดูตัวจิตตรงๆ
จิตตรงๆ ไม่มีอะไรให้ดูหรอกนะ
จิตโดยตัวของมันเองไม่มีรูปร่าง
ไม่มีร่องรอยอะไรเลย
มันเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์
งั้นเราไปดูจิตตรงๆ จะไม่เห็นอะไรเลย
หลวงปู่ดูลย์บอก
ใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ
ท่านสอนอย่างนี้
.
งั้นเวลาเราดูจิต
เราดูผ่านสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับจิต
เค้าเรียกว่าเจตสิก
อย่างตัวความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับใจเรา
อย่างใจเราขณะนี้สุข หรือใจเราขณะนี้ทุกข์ เรารู้ได้มั้ย
อย่างเนี้ยเรารู้ได้
จะดูจิตเกิดดับเนี่ย
จะดูไม่ได้ ไม่เห็น
แต่ว่าสภาวะสุข-ทุกข์-ดี-ชั่ว
ที่เรียกว่าเจตสิกนั้นนะ มันไม่ได้เกิดลอยๆ
มันเกิดร่วมกับจิต
มันเกิดพร้อมกับจิต มันดับพร้อมกับจิต
มันมีอารมณ์อันเดียวกับจิต
งั้นเวลาที่เราจะดูจิตนั้น
ดูยังไงก็ไม่เห็น เราดูผ่านความเกิดดับของเจตสิก
อย่างเราเห็นความโกรธมันผุดขึ้นมา
มันผุดขึ้นกลางหน้าอกนะ
พอมันผุดขึ้นมาปุ๊บเนี่ย เราเห็นนะขณะนั้นจิตโกรธ
แต่พอเรารู้ทันว่าความโกรธผุดขึ้น
ขณะที่รู้ทันนั้นน่ะไม่ใช่จิตโกรธแล้ว
โทสมูลจิต/จิตโกรธตัวนั้นดับไปแล้ว
มันเกิดจิตรู้ขึ้นมาแทน จิตรู้ตัวนี้เป็นจิตที่เป็นกุศล
เพราะฉะนั้นโกรธเนี่ย
ขณะที่โกรธปุ๊บขึ้นมา
ยังไม่ทันรู้ตัวว่าโกรธเนี่ย ขณะนั้นจิตเป็นอกุศล
แต่พอโกรธแล้วรู้ว่ากำลังโกรธอยู่นะ
เห็นจิตมันกำลังโกรธขึ้นมาอยู่เนี่ย
อันนั้นแหละจิตเป็นกุศลแล้ว
.
ไม่ต้องตกใจ
เพราะฉะนั้นจิตจะโกรธบ่อยๆ
ก็ไม่ต้องไปตกใจนะ
จิตโกรธบ่อยน่ะดี (ให้รู้)อย่าให้จิตโกรธนาน
ถ้าจิตโกรธนาน หมายถึงว่า
"จิตจมกับอารมณ์ความโกรธนะ จิตเป็นอกุศลนาน"
แต่ถ้าจิตมันโกรธปุ๊บ เรามีสติรู้ทันปั๊บเนี่ย
เราก็จะเห็นเลยว่า จิตเมื่อกี้โกรธ จิตตรงนี้ไม่โกรธ
(เราก็จะเห็น)จิตนั้นมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
อย่างคนไหนขี้โลภ
เจออะไรก็อยากได้ไปหมดเลย ชอบไปหมด
เห็นอันโน้นก็อยากได้ เห็นอันนี้ก็อยากได้นะ
ไม่รู้จะอยากไปทำอะไร
พอใจมันโลภขึ้นมา เรามีสติรู้ทัน
พอใจมันโลภ เรามีสติรู้ทัน
เราก็จะเห็น ตอนที่ขณะโลภนั้นน่ะ จิตเป็นอกุศล
เรียกว่า โลภมูลจิต/จิตซึ่งมีโลภะเป็นรากฐานเป็นมูล
โลภมูลจิตเกิดขึ้นมา พอเรามีสติปุ๊บ
ในขณะที่มีสติรู้ทันว่ามีโลภะ
จิตที่มีโลภะดับไปแล้วเกิดจิตดวงใหม่
ซึ่งมีสติขึ้นมารู้ทันว่า จิตตะกี้นี้มีโลภะ
จิตดวงนี้เป็นกุศลนะ
ค่อยๆฝึก ค่อยๆรู้ ค่อยๆดูไป
อย่าไปตกใจว่ากิเลสเยอะ
ถ้าเราเห็นกิเลสเกิดบ่อยน่ะ
"แสดงว่า สติเกิดบ่อย"
ถ้าเราเห็นกิเลสเกิดทั้งวันเลย
เหมือนเดิมเปี๊ยบเลยนะ
แล้วไม่รู้ตัวว่าโกรธเนี่ย ไม่รู้ตัวว่าโลภเนี่ย
อันนั้นเรียกว่าไม่มีสติ "จิตเป็นอกุศลยาว"
อกุศลมันเกิดซ้ำๆๆๆอยู่อย่างนั้น
ที่จริง จิตที่เป็นอกุศลก็เกิดดับทีละขณะ
เหมือนกับจิตที่เป็นกุศลนั่นเอง
แต่ว่ามันเกิดซ้ำยาวเลย
มันก็เลยเหมือนคนทั่วๆไปเวลาโกรธ
มันรู้สึกโกรธนาน
แต่เรานักปฏิบัติเนี่ย
พอโกรธขึ้นมาปุ๊บ เรารู้ทันปั๊บนะ
ขณะที่รู้นั้นไม่ได้โกรธแล้ว เป็นจิตคนละดวงแล้ว
ดวงหนึ่งเป็นอกุศลคือโกรธ
ดวงหนึ่งเป็นกุศลคือรู้/มีสติขึ้นมา
นี้เราฝึกไปเรื่อย
ไม่ได้ฝึกว่าห้ามโกรธ ห้ามโลภ
โกรธแล้วรู้ โลภแล้วรู้ เราก็จะเห็นเลย
จิตนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
จิตอกุศล เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่เป็นกุศล เกิดแล้วก็ดับ
.
หลวงพ่อดูจิตเนี่ย
แรกๆ ดู(จิตที่มี)โทสะ เพราะเป็นคนขี้โมโห
ทีแรกก็เห็นโทสะแรงๆก่อน
ต่อมา(เห็น)โทสะที่ละเอียดขึ้นนะ
แค่ขัดใจเล็กๆ ก็เห็นแล้ว
อย่างเรานั่งอยู่ในห้องมืดๆอย่างเนี้ย
เราออกไปข้างนอกห้อง
แสงแดดกระทบเปลือกตานิดเดียว ยังหงุดหงิดเลย
รำคาญแสงกระทบตา
อย่างเราเห็น(สภาวะ) ละเอียดขึ้นๆ
ต่อไปพอชำนิชำนาญในการดูจิตนะ
มันกลับไปดู ไม่ได้ดูโทสะ ไม่ได้ดูโลภะ
จะไปดูโมหะ โมหะคือความฟุ้งซ่าน
จะเห็นเลย จิตเดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้
เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้ อันนี้เห็นมาถึงตัวโมหะ
งั้นอย่างบางคน
หลวงพ่อบอกว่า เผลอไปแล้วรู้มั้ย
นั้นสอนให้ดูโมหะแล้ว
จิตเดี๋ยวเผลอ เดี๋ยวรู้
เดี๋ยวเผลอ เดี๋ยวรู้ ค่อยๆสังเกตไป
เราจะพบว่าจิตที่เผลอ มันก็เผลอได้เอง
เราห้ามมันไม่ได้ สั่งไม่ได้ว่าอย่าเผลอ
หรือจิตจะรู้สึกตัวเนี่ย สั่งให้รู้สึกตัวก็ไม่ได้
รู้สึกตัวแล้ว สั่งให้รู้สึกตัวนานๆ ก็ไม่ได้
เราไม่สามารถสั่งได้
อย่างขณะที่ฟังหลวงพ่อเทศน์
สังเกตมั้ย บางทีใจก็หนีไปคิด
คิดเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์บ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างนะ
เนี่ย ค่อยๆ สังเกตไปเรื่อย
"จิตมันทำงานได้เอง มันไม่ใช่เรา"
อันนี้เป็นการดูจิตผ่านความฟุ้งซ่าน
เรียกว่า ผ่านอุทธัจจะ
อุทธัจจะ มันก็เป็นสังขารตัวหนึ่งนะ(สังขารขันธ์)
ก็เป็นเจตสิก เป็นธรรมะที่เกิดร่วมกับจิต
(เจตสิกมี ๓ ขันธ์/เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์)
.
งั้นเราก็หัดดู ถ้าจะดูจิตดูใจ
เราก็ดูจากสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับจิต(เจตสิก)
ขี้โกรธ เราก็เห็น จิตโกรธเกิดจิตโกรธดับ
ขี้โลภ เราก็เห็น จิตโลภเกิดจิตโลภดับไป
ชอบฟุ้งซ่าน เราก็เห็น จิตเผลอเกิดแล้วจิตเผลอก็ดับ
กลายเป็นจิตรู้ขึ้นมา
เนี่ยค่อยฝึก อย่างเนี้ยเรียกว่าดูจิต
.
ดูจิตไม่ใช่ไปดูความว่าง
พวกสอนดูจิต ดูจิตหลังๆนะ
ก่อนหน้าเนี้ยเยอะมากเลยสำนักดูจิต
เอะอะก็จะดูจิตๆ ที่แท้ไปดูความว่าง ไม่ใช่จิตหรอก
แล้วบอกว่า
หลวงปู่ดูลย์สอนว่าไม่ให้คิด
หลวงปู่ดูลย์ไม่ได้สอนว่าอย่าไปคิดนะ
ท่านบอกว่า
"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด"
ต้องอาศัยคิดนะ ไม่ใช่ไม่คิด
ท่านบอก จิตมีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง
จะไปห้ามมันได้ยังไง
ในขณะที่จิตมันคิดนั้นแหละ เราไม่รู้
ในขณะที่รู้ มันไม่หลงอยู่ในโลกของความคิด
แค่นั้นเอง เราไปคิดมาก
เราไปคิดว่าจะรู้ธรรมะได้ต้องไม่คิด
ถ้าต้องไม่คิดเลย
ไม่มีสติไม่มีปัญญาอะไรเลย ซื่อบื้ออยู่ ว่างๆอยู่เฉยๆ
ไม่ใช่เส้นทางของพระพุทธเจ้าเลย
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนนะว่าอย่าไปคิดมัน
ทำไมท่านไม่สอน
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่คิด
ท่านไม่สอนอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก
.
งั้นเราหัดดูสภาวะนะ
รูปธรรม(กาย)ก็ได้ นามธรรม(ใจ)ก็ได้
หัดดูไป แล้วแต่ถนัด
คนไหนถนัดจะดูรูป
ก็ดูรูปไปก่อน เราก็จะเห็นทั้งรูปทั้งนาม
รูป(กาย)เคลื่อนไหว นามคือจิตเป็นคนรู้นะ
ถ้าจะดูจิตดูใจเราก็จะเห็นเลย
ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว เกิดแล้วดับ
จิตที่เกิดร่วมกับสุข ทุกข์ ดี ชั่ว
เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน
แล้วจิตจะเปลี่ยนแปลงได้
เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดดี เกิดชั่วได้
อาศัยอะไรเกิดขึ้น..?
อาศัยผัสสะ คือการกระทบอารมณ์(ทางอายตนะ)
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส ใจคิดนึก
แล้วก็เกิดสุข เกิดทุกข์ขึ้นมา
เกิดสุข เกิดทุกช์แล้ว ก็มีดี มีชั่วขึ้นมา
มีความสำคัญมั่นหมาย
มีความยึดถืออะไรขึ้นมา
มีความทุกข์ตามมา
ทุกข์ทางใจ
เนี่ย ค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็นนะ ค่อยๆดูสภาวะไป
_/|\_ _/|\_ _/|\_
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
วัดสวนสันติธรรม 25 ธันวาคม 2559