วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คลื่นพลังงานที่หนักแน่นมากเมื่อนั่งหรือนอนอยู่ในปิรามิด

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ตาราง และ สถานที่กลางแจ้ง

วันที่ 25 มิถุนายน 2017
"เอมมี่ มีความรู้สึกถึงคลื่นพลังงานที่หนักแน่นมากขึ้นเมื่อนั่งหรือนอนอยู่ในปิรามิดทั้งคืน ซึ่งเอมมี่ก็นอนในปิรามิด นั่งสมาธิในปิรามิดมาเป็นเวลาเกือบจะเข้าสองปีแล้ว หลังจากที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้เรื่องของปิรามิดเลย"
...เมื่อเอมมี่นำปิรามิดออกมาเผยแพร่เพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังงานลงมามากขึ้นเรื่อยๆ บนโลก ลึกๆ แล้วเอมมี่ได้ยินผู้ต้องการใช้ปิรามิด แต่ติดขัดเรื่องการเงิน จิตลึกๆ แล้วเอมมี่ต้องการปรารถนาให้ทุกบ้านเรือนเลยมีปิรามิดประจำบ้านไว้สักหลังถ้าเป็นไปได้ เอมมี่หวังใจว่าอุปกรณืทุกชนิดที่เอมมี่นำมาเผยแพร่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่ขบวนการเชื่อมพลังงานและมิติได้กว้างขวางขึ้น มันมีทางออกสำหลับผู้ต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินมาก สำหรับท่านที่มีทรัพย์ไม่มากพอ ซึ่งเอมมี่เข้าใจเรื่องแบบนี้เป็นอย่างดี
...ท่านใดต้องการขอคำแนะนำจากเอมมี่ ยินดีให้คำแนะนำด้วยความยินดีจากใจค่ะ 0845511871 : 0642156889
.....................................................................
"แสงออร่าที่เกิดขึ้นรอบๆ ภาพมีข้อมุลพอยืนยันได้จากบทความนี้ค่ะ"
ตามทฤษฎี ของ ดร. แนนตัวร์ โฟตัวร์ นักจิตวิทยาผู้หนึ่ง ได้อธิบายไว้ว่า
พวกนักบุญ หรือ ผู้ชำนาญการทางศาสนาทางตะวันตก ได้จำแนก
ลักษณะของแสงออร่า ประกอบด้วย 4 ประเภท ดังนี้
  • ๑.แบบ นิมบัส ( Nimbus )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ “ รังสีทรงกลด ” จะเป็นรัศมีทรงกลดเหนือศีรษะ
  • ๒.แบบ ฮาโล ( Halo )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ รังสีวงเหลว ” จะเป็นรัศมีแผ่ออกมา รอบศีรษะ
  • ๓.แบบ ออริโอลา ( Aureola )คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ รังสีเปลวเพลิงทรงกลด ” 
  • ๔.แบบ กลอรี ( Glory)คือ แบบที่มีการแผ่รังสีออกมาในลักษณะ“ แสงเรืองรองเปล่งปลั่งแผ่ออกมารอบร่างกาย ” ส่วนมากบุคคล ทีมีแสงลักษณะดังกล่าวนี้ มักเป็นคนมีบุญวาสนาสสูงส่งมาก หรือไม่ จะเป็นบุคคลที่เป็นพระศาสดาผู้บรรลุธรรมบารมีชั้นสูงปฏิบัติธรรม หรือติดตัวแต่ละบุคคลมาแต่ในอดีตชาติ จากการสะสมบุญ หรือ บำเพ็ญเพียรภาวนาได้มาแล้วจากอดีต การเปล่งรังสีเหล่านี้ มีความเข้มข้น แตกต่างกันไป แล้วแต่ในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่าง ในบุคคลที่มีจิตใจ อยู่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอๆปรากฏการณ์ แสงออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่

ความหมายของออร่าในแต่ละสี
  • ๑. สีชมพูหมายถึง พลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขันถ่อมตน และสามารถปลอบประโลมผู้อื่นได้ โรแมนติก มักจะพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีมีเมตตาต่อเพื่อมนุษย์ หญิงมีครรภ์ ก็มีสีชมพูออกมามากเช่นกัน ข้อเสียของคนที่มีแสงสีนี้ คือ มักจะเป็นคนโลเล
  • ๒. สีแดง หมายถึง เต็มไปด้วยพลังงาน มีความทะเยอทะยาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศ อารมณ์รุนแรง ถ้าในร่างกายมีสีแดงสด แสดงว่ามีความภาคภูมิใจและทะเยอทะยานทางที่ถูกที่ควร แต่ถ้าเป็น สีแดงขุ่นเป็นบุคคลที่มีจิตใจโหดร้าย
  • ๓. สีส้มหรือสีแสด หมายถึง มีความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุขสุขภาพเต็มไปด้วยพลัง บุคคลที่มีแสงสีนี้มากไป จะกลายเป็นเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่ถ้าสีส้มมัวหม่น หรือส้ม ออกปนน้ำตาล แสดงว่า สติปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงมากเกินไป เป็นบุคคลเย่อหยิ่ง อวดฉลาด เป็นต้น
  • ๔. สีเหลือง หมายถึง สีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดมีความเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อมนุษย์ นอกจากนี้เป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองส้มแดง บุคคลนั้น มีความฉลาดปลาดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นข้น บุคคลนั้นมีความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
  • ๕. สีเขียว หมายถึง สีของจิตใจที่มีความละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นเป็นสีของความรัก การเปลี่ยนแปลง การรักษาโรค ความสนใจในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงความสมดุล สีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นบุคคลปรับตัวเก่งในสังคม ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืด เป็นบุคคลที่ชอบคดโกงอิจฉาริษยาสีเขียวอมฟ้า บุคคลที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และยังแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค ส่วนสีเขียวขี้ม้าเป็นบุคคลชอบหลอกลวงผู้อื่น ตระหนี่ เป็นต้น
  • ๖. สีน้ำเงิน หมายถึง สีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสารพลังจิตความฉลาด ความมีอุดมคติสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง ความขยันขันแข็งและความสำเร็จ ความเชื่อมั่นในตนเองและความซื่อตรงจริงใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่น หรือเป็นบุคคลสมถะ แต่อารมณ์หงุดหงิดง่าย สีน้ำเงินขุ่น แสดงว่าบุคคลนั้นทัศนวิสัยถูกปิดกั้น เป็นบุคคลวิตกกังวลบ่อย หรือหลงลืมบ่อย เป็นต้น
  • ๗. สีคราม หมายถึง สีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต มีความฉลาดล้ำลึก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมีความจริงใจเป็นบุคคลชอบค้นหาสัจจะธรรมความจริงของชีวิต
  • ๘. สีม่วง หมายถึง บุคคลที่จิตใจละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ของทางสมาธิและมีความโน้มเอียงในทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีสีนี้ผู้ที่มีสีนี้ มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง
  • ๙. สีน้ำตาล หมายถึง สีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัวชอบคุยแต่เรื่องของตนเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระ พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดหมายและความสำเร็จ
  • ๑๐. สีดำ หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา คือการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ สุขภาพมีโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก หรือผู้นั้นอาจจะมี ความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่ในสีอื่นๆ เช่น ผสมอยู่กับสีแดง บุคคลนั้นมีความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ผสมสีเหลือง บุคคลนั้นมีความคิดชั่วร้าย ผสมสีเขียว บุคคลนั้นมีความคิดหักหลัง และริษยา
  • ๑๑.สีขาว หมายถึง แสงสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์มากที่สุดจะปรากฎกับพวกนักบุญ พระภิกษุ หรือผู้ผึกสมาธิวิปัสนากรรมฐาน อย่างสม่ำเสมอ ถ้าปรากฎเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง คือการได้รับข่าวสารจากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เป็นคนทรง มีจะมีสีขาวเข้ามาในระหว่างการเข้าทรง ผู้ที่มีสีขาวปรากฎในออร่า จะพบว่ามีการชำระล่างร่างกายและฟอกจิตใจให้ขาวบริสุทธิ์ บุคคลที่มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
  • ๑๒. สีน้ำเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
  • ๑๓. สีทอง หมายถึง พลังจักรวาลหรือพลังจากองค์เทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
  • ๑๔. สีเทา หมายถึง พวกขาดจินตนาการ ความคิดล้าสมัย หัวโบราณยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ เป็นสีเทามืด แสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา จิตใจสลดหดหู่ บุคคลพวกนี้มักจะว้าเหว่ มีสีนี้ในสีอื่น แสดงว่ามีความคิดในแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคลียดแค้น หรือแม้แต่ บุคคลเหล่านี้ อาจเป็นฆาตกรได้สีเทาค่อนไปทางสีน้ำเงิน แสดงถึงสมองซีกขวา ได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและสัมผัสที่ ๖
  • สีที่ไม่ค่อยปรากฎอยู่ด้วยกัน คือ สีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าผู้ใดมีสองสีนี้ อยู่ด้วยกัน จะเป็นบุคคลที่น่าอิจฉา เพราะสีน้ำเงินแสดงถึงความสงบ ส่วนสีแดงแสดงถึงความสุขถ้ารวมกันก็คือ บุคคลนั้นจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ ส่วนใหญ่จะพบในเด็กที่อายุต่ำกว่า ๘ ขวบ และในผู้ใหญ่บางรายที่รักษาโรคด้วยพลังจิตพวกนี้มักจะมีความสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้มี ๒ สีนี้ปรากฎในสีของออร่า 

............................................................................................
.....อาณาจักรแอตแลนตีสเก่า?.....
  • ท้องทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก ที่น่าสนใจ บางโซนเต็มไปแด้วยดงภูเขาไฟใต้ทะเลนับไม่ถ้วน บางโซนก็มีร่องรอยแยกของเปลือกโลกมองเห็นได้ชัดเจน บางโซนก็เป็นที่ค่อนข้างราบ มีเนินเขาประปรายอยู่ห่างๆ อาณาจักรที่น่าสนใจนี้อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ผ่านเมืองสวานาและแจ๊คสันวิลล์ ในรัฐฟลอริดา ทางฝั่งสหรัฐฯ และใต้ประเทศมอรอคโค และสหร่าตะวันตก ทางฝั่งยุโรป
  • เค้าโครงและร่องรอยของอาณาจักรใต้ทะเลแห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่ อยู่ห่างจากทางฝั่งยุโรปออกไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1,000 กม. จะเริ่มเห็นร่องรอยของเมืองใหญ่ ไล่ไปทางทิศตะวันตกเรื่อยไป จะยิ่งเห็นผังเมืองมีถนนตัดกันเป็นบล๊อคๆอย่างชัดเจน พื้นที่เมืองส่วนใหญ่เป็นที่ค่อนข้างราบ ส่วนถัดไปทางตะวันตกมากเข้าจะเป็นดงภูเขาไฟใหญ่ใต้ทะเล และรอยแยกของเปลือกโลกมากมาย เมื่อท่านคลิกที่ลิงค์ข้างใต้แล้ว ค่อยๆเลื่อนภาพไปทางทิศตะวันตก และตะวันออกก็จะค่อยๆมองเห็นร่องรอยของอดีต ที่น่าจะเป็นสถานที่ตั้งอาณาจักรใหญ่ในทำเลที่ดีไม่น้อยทีเดียว ที่ได้รับการเปิดเผยจากพระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ ถึงความก้าวหน้าในวิชาความรู้และเชี่ยวชาญในการใช้พีระมิด เป็นอาณาจักรแห่งพีระมิดเลยทีเดียว จากการช่วยเหลือของชาวโลกอังคาร ซึ่งพีระมิดมีคุณประโยชน์ในการดำรงชีวิต ที่สะดวกสบายและประหยัดไร้มลภาวะ
  • และจะยิ่งน่าตื่นเต้น ถ้าอาณาจักรโบราณแห่งนี้ใกล้จะครบวงรอบวาระ 13,000 ปีที่รอคอย และจะมีโอกาสที่เปลือกโลกส่วนนี้จะถูกยกตัวขึ้นมาเหนือน้ำทะเลกลับมาอีกวาระหนึ่ง หากเป็นอาณาจักรแอตแลนตีส อย่างในอดีตนั้น อาณาจักรนี้เคยเจริญรุ่งเรืองมาก ใช้พลังงานไปถึง 7 ระดับ เหนือจากชั้นปรมาณูขึ้นไปอีก 2 ระดับ จากพลังความร้อน แสง เสียง พลังแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานปรมาณู เส้นแสง และการเปลี่ยนวัตถุเป็นเส้นแสง และสลับกลับมา ลักษณะคล้ายกับวิชาอภิญญาใหญ่ในปัจจุบัน
  • เอ็ดการ์ เคย์ซีย์ นักพยากรณ์ผู้มีชื่อเสียงของอเมริกา กล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 20,0000 ลงมาจนถึง 10,700 ปี ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-90,000 ปี

atlantis_pashos.jpg picture by Drakuli_2006
ขอให้สังเกต เครื่องหมายบอกทิศเหนือ
แสดงว่าในสมัยแอตแลนตีส ขั้วเหนือใต้สลับกับยุคปัจจุบัน
  • เอ็ดการ์ เคย์ซี กล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์ มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมี โอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า
  • พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคม หรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมา ให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่า พื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติส จะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามา ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512
  • ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกัน ก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อย และประณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก
  • นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต
  • บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง
  • มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส
  • เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี
  • ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของเทพโพซีดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โตเป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก
  • ได้ทราบจากท่านพระอาจารย์รัตน์ว่า ในอาณาจักรแอตแลนตีส มีพีระมิดใช้อย่างแพร่หลายมาก และใช้ประโยชน์จากพีระมิดได้หลายอย่าง มีชาวดาวอังคารมาให้ความรู้
  • ความลับของพีระมิด 
  • สุดยอดเทคโนโลยี ที่หลงเหลือจาก...แอตแลนติส 
  • โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
  • ความ ลี้ลับมหัศจรรย์ของ “พีระมิด” และ “พลังพีระมิด” ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย ต่อภูมิปัญญาของมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัยตราบเท่าจนปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดเจนได้ว่า ใครคือผู้สร้างพีระมิด มหาพีระมิดทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังพีระมิด” มีประโยชน์อย่างไร
  • ความรู้เกี่ยวกับ “พลังพีระมิด” ที่ได้เรียบเรียงขึ้นนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่รู้ได้ด้วย การใช้ญาณทัสนะ 
  • Image
  • ศึกษาจากฐานความรู้ สาเหตุของการสร้าง ใครเป็นผู้สร้าง รวมทั้งการประยุกต์ เพื่อนำประโยชน์ของ “พลังพีระมิด” มาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมในการฝึกสมาธิ และฝึกการใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคและ สร้างภูมิต้านทานด้วยตนเอง และในอนาคต พีระมิด และสฟิงซ์ ยังมีภารกิจสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ กับอาณาจักรของชาวแอดตแลนตีส...เปลือกโลกมันเป็นเช่นที่ เอ็ดการ์ เคย์ซี่ ให้ความเห็นเอาไว้ มันมีทั้งลอยขึ้น และจมลง ซึ่งแผนที่โลกใหม่ของ นายกอร์ดอน สแกนเลี่ยน พอจะให้ภาพอนาคตของเปลือกโลกในยุคที่ 5 นี้ที่น่าสนใจไม่น้อย
  • ฉะนั้นองค์ความรู้เหล่านี้จึงมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากแหล่งความรู้อื่น เพราะความรู้เหล่านี้ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่เข้ามาพิสูจน์ได้ ดังนั้น แต่ละบุคคลจะสามารถเรียนรู้และสัมผัสในพลังจิตและพลังพีระมิดได้จริงจากการ ทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้นไม่ใช่เรียนรู้จากการอ่าน และสร้างความรู้สึกคล้อยตาม
  • ฐานที่มาของความรู้เรื่องพีระมิด พลังพีระมิด พอจะกล่าวย่อๆ ได้ดังนี้
  • จากประวัติศาสตร์โลก เมื่อประมาณ 10,000 ปีเศษ ได้กล่าวถึงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มีความเจริญรุ่งเรืองมากบนทวีปแอตแลนติก ชาวแอตแลนตีสในยุคนั้นมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิตสูงมาก โดยเฉพาะความรู้ในการสร้างพีระมิดและนำพลังแกนพีระมิดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งวิวัฒนาการในการสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง โดยการนำพลังงานเส้นแสงมาใช้ซึ่งอาวุธชนิดนี้เรียกว่า “อาวุธแสง”
  • ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน สามารถค้นพบพลังงาน และนำมาใช้ประโยชน์เพียง 5 ชนิดจากจำนวนพลังงาน 7 ชนิด คือ
  • พลังงานความร้อน
  • พลังงานแสง
  • พลังงานเสียง
  • พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า
  • พลังงานปรมาณู
  • พลังงานเส้นแสง
  • การเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนจากพลังงานเสงเป็นวัตถุ
  • พลังงานลำดับที่ 6 คือพลังงานเส้นแสง นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้ค้นพบแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา แต่ชาวแอตแลนตีสในยุคที่ผ่านมาถึง 10,000 ปีเศษ ได้มีการนำพลังงานตัวนี้มาใช้ก่อนแล้ว
  • พลังงานลำดับที่ 7 คือการเปลี่ยนพลังงานจากวัตถุเป็นพลังงานแสง และการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายทางวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นความสามารถของมนุษย์ดาวอังคาร เพื่อนต่างดาวที่อยู่ในครอบครัวสุริยะจักรวาล เช่นเดียวกับดาวโลกของเรา จึงสะดวกในการนำหินก้อนใหญ่ๆมาติดตั้งทำพีระมิด และติดตั้งหินก้อนเดียวทำสฟิงซ์ซึ่งยาว 73 เมตร สูง 20 เมตร หนักหลายร้อยตัน
  • ชาวแอตแลนตีสได้นำอาวุธแสงมาใช้ในสงครามทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เกิดคลื่นความถี่สูง เกิดคลื่น Resonance frequency ของเปลือกโลก จนนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้อาวุธแสง ทำให้ทวีปแอตแลนติก เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแผ่นดินทรุด ยุบตัวลง เปลี่ยนสภาพจากผืนแผ่นดินเป็นมหาสมุทรในชั่วค่ำคืน อาณาจักรแอตแลนตีส จึงยังคงจมอยู่ใต้มหาสมุทรตราบจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเมื่อใดที่การย้อนรอยของธรรมชาติปรากฎขึ้น อาวุธแสงถูกนำมาใช้อีกครั้ง อาณาจักรแอตแลนตีส อาจจะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก อวดตนเองแก่สายตาชาวโลกอีกวาระหนึ่ง
  • ซึ่งพระอาจารย์รัตน์เพิ่งมาเปิดเผย ในงานสัมมนาเจาะลึกภัยพิบัติ ที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 19 ธ.ค. 2553 ที่ ม.ศรีปทุมเกือบตลอดทั้งวัน ว่า 1 ทุ่ม ของ วันที่ 1 ม.ค. 2554 ท่านอาจารย์และคณะศิษย์จะร่วมกันส่งพลังจิต ไปเหยียบเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ เพื่อเปิดมิติ ให้สฟิงซ์ดูดพลังงานไม่ดีจากจักรวาลอันโดรเมดา ลงสู่ใต้ดิน เพื่อช่วยลดระดับความรุนแรงของการย้ายขั้วโลกเหนือใหม่ ไปที่สฟิงซ์ให้แกนโลกใหม่ชี้ไปทางทิศตะวันออก เพื่อช่วยรักษาชีวิตของพลโลกเอาไว้เพิ่มมากขึ้น...วิธีช่วยเหลือพลโลกให้รอดชีวิตมากขึ้นของช่าวดาวอังคารเพิ่งเปิดเผยโฉมกลางงานสัมมนาครั้งนี้เอง
  • และท่านอาจารย์รัตน์ ยังได้กล่าวเชิญชวนให้ผู้สนใจ ลองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นึกถึงเท้าขวาของสฟิงซ์ ที่ประเทศอียิปต์ ขอให้สฟริงซ์ดูดสิ่งเลวร้ายทั้งหลายในร่างกายของเราลงสู่ใต้โลก ลดสาเหตุความเจ็บป่วยขัดข้องต่างๆออกไป ในวันที่ 2 ม.ค. 2554 แล้วท่านจะสัมผัสแรงหมุนได้ด้วยตัวของท่านเอง เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ทุกคนลองพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..อ่านต่อที่ลิงค์นี้
  • (วัตถุหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆจะมีความถี่อันหนึ่ง เป็นลักษณะเฉพาะตัว หากมีคลื่นในความถี่นั้นเกิดขึ้น โครงสร้างของสะพาน หรือสิ่งใดก็ตาม จะแตกหักพังลงมาทันที นักวิทยาศาสตร์เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า Resonance frequency จึงห้ามมิให้ทหารเดินสวนสนามบนสะพาน หากเกิดแรงสั่นสะเทือนในจังหวะหนึ่ง สะพานอาจพังลงมาได้)
  • ก่อนที่จะเกิดสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรประมาณ 1 เดือน นักบวชชาวแอตแลนตีสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น กับทวีปแอตแลนตีส นักบวชรูปนี้ได้นำชาวแอตแลนตีสที่เชื่อในคำพยากรณ์เดินทางออกมาจากทวีปและ ได้สร้างที่อยู่ใหม่ในดินแดนของชาวอียิปต์อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้ถ่ายทอด สู่ชาวอียิปต์ โดยเฉพาะการสร้างพีระมิดและการใช้ประโยชน์จาก พลังพีระมิดในยุคอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์...คงจะมีชาวแอตแลนตีสเก่าจำนวนหนึ่ง มาเกิดในยุคนี้ พร้อมๆกับนักบวชรูปนั้นก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น