วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สุดยอดความลับของการเชื่อมพลังจักระทั้ง 7


สุดยอดความลับของการเชื่อมพลังจักระทั้ง 7
  • พลังจักรวาล หรือชื่อเต็มว่า พลังไฟฟ้าสากลจักรวาล  เพราะการทำหน้าที่ของจักระทั้ง 7 ก็คล้ายกับการส่งกระแสไฟฟ้าเช่นกัน มีทั้ง พลังบวก (หยาง) พลังลบ (หยิน) ทำให้เกิดสมดุลขึ้น 
  • ในยุคนี้ ผู้คนพบ วิชานี้คือ ดาสิรา นาราดา ท่านเป็นชาวศรีลังกา เกิดเมื่อ ปีค.ศ. 1846 ศึกษา วิชาปรัชญาสมัยใหม่ ระดับ ปริญญาเอก  และทำงานจนเกษียณ ก็ปลีกตัวค้นหาสัจธรรม จนค้นพบพลังจักรวาลนี้ ออกมา
  • หลังจากนั้น ก็ถ่ายทอดให้กับ อาจารย์ชาวอินเดีย  ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน  แต่ ท่านก็เสียชีวิตไป ปี ค.ศ. 1924 ถือว่าไม่นาน แต่ก่อนนั้น ท่านก็ถ่ายทอดวิชานี้ ให้กับ ท่านอาจารย์เหลือง มิน ด๋าง ชาวเวียดนาม มาจนถึงปัจจุบันในที่สุด
  • สัญลักษณ์ พลังจักรวาล ของอาจารย์ เหลือง มิน ด๋าง ด้านซ้าย รูปมังกร แทน ผู้ชาย (หยาง) พลังบวก และ หงค์ แทน ผู้หญิง (หยิน) หรือพลังลบ ให้สมดุลกันถือว่าสุขภาพดี  ส่วนปิรามิด หมายถึง  ความลึกลับ ของจิตวิญญาณและศาสตร์ต่าง ๆ  ที่ได้ปกปิดเอาไว้ในปิรามิด
  • พลังจักรวาลนี้ ก็ไปเหมือนหลาย ๆ วิชา เช่น โยคะ กำลังภายใน ลองคิดตามหนังจีนก็คงจะรู้จักกันดี หรือปราณ  หยิน-หยางของจีน และฤาษีดัดตนของไทยด้วย รวมถึงพลังจิตแต่ต่างอยู่ที่ พลังจักรวาลเป็นพลังจากนอกโลกควบคุมการดำเนินของโลก แต่พลังจิตนั้นอยู่ภายในตัวเรา ซึ่งคุณสมบัติของวิชาพลังจักรวาลเกิดจากแห่งพลังงานที่ไม่เสื่อมสลายในจักรวาล  จะเปรียบเทียบก็คือ พลังดึงดูดของแม่เหล็กที่ไม่เสื่อมสลายเป็นพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ แต่พลังงานนั้นจะมีกำลังสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวัสดุที่ถูกสร้างขึ้น ส่วน พลังจักรวาลนั้นมาจากบ่อพลังงานธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอนันต์ และมีพลังงานอย่างไร้ขอบเขต
  • พลังจักรวาลนี้ ไม่ค่อยยุ่งยากในการฝึกเท่าไหร่ ไม่ต้องต้องกินมังสวิรัติ หรือแต่งงานแล้วก็ฝึกได้ 
  • พลังงานจักรวาลนี้ ควบคุมการทำงานของชีวิต จะมี ประตู อยู่ 7 ประตู  เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง ส่วนใหญ่คนจะปิด ร่ายกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้  ร่างกายเรามีพลังงานห่อหุ้ม หลายคนคงรู้จัก ออร่า กันดีครับ บางคนเรียกว่า กายทิพย์  ซึ่งสามารถแยกสีออกไป แต่ละบุคคล 
  • ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ ได้ประดิษฐ์กล้อง ถ่ายภาพรัศมี นี้ได้แล้ว เรียกว่า กล้องเกอร์เลียน เมื่อถ่ายออกมาจะเป็นแสงสีต่าง ๆ รอบตัวเรา  เมืองไทยก็มีอยู่บ้างครับ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่   
  • พลังจักรวาลนี้ ช่วยให้ร่ายกายของเรา สามารถเดินพลังที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง และควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ จนทำให้อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวด หายไปได้ น่าสนใจทีเดียว
  • จักร ทั้ง 7 นี้ทำหน้าที่ควบคุม จิต จิตใต้สำนึก อารมณ์ ปัญญา เป็นต้น  เซลล์พิเศษของสมอง เรียกว่า ไมโครเซลล์  ไมโครเซลล์นี้ จะฉายแสงสีเหลืองเป็นประกายและสั่นไหวอย่างรุนแรง เป็นหลักการสั่นไหว เมื่อผู้ฝึกสมาธิ และจะสั่นไหวแรงขึ้น เมื่อ ฝึกในระดับที่สูงขึ้น จนขยายไปทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายในทั่วร่าง และถ้าหากผู้ฝึกสามารถสั่งสมเพิ่มพลังงานให้มากขึ้น  ไมโครเซลล์เหล่านี้ จะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า กายทิพย์  และกายทิพย์นี้ เป็นเหมือนเครื่องมืออเนกประสงค์เลยทีเดียว บางที่อาจสร้างความมหัศจรรย์ของมนุษย์ได้
  • จากหลักการสั่นไหว มากับพลังจักรวาล มาอีกหลักหนึ่งคือ การหมุน  หรือการเคลื่อนไหวเป็นทรงกลม ดูดพลังจักรวาล เข้ามาเพื่อเป็นกลไกการทำงาน
  • คนโบราณได้ค้นพบว่า รูปทรงต่าง  ๆ บางรูปเปล่งหรือปล่อยพลังจักรวาลออกมาเองโดยอัตโนมัติ และแรงกว่าธรรมดา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพลังจักรวาลเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก และเป็นทรงกลมที่หมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่ออนุภาคมาเกาะตัวกันมันก็หมุน โดยเคลื่อนไหวของอนุภาคเหล่านี้ก็จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน  และนำไปสู่รูปทรงที่ต่างกันย่อมก่อให้เกิดคลื่น ของจักรวาลที่ต่างกันออกไป
  • ปราณ เป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งในจักรวาล ดังนั้น ย่อมสามารถนำมันมาใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณของคนได้แน่นอน
  • การหมุน การหมุน จะถ่ายเทพลังงานตามหลักการสั่นไหวร่วมกัน เห็นได้ชัด ตามตัวอย่างทั่วไป ก็คือ พายุ ไต้ฝุ่น ซึ่งหมุนซ้ายทวนเข็มนาฬิกา และเวลาผ่านไป มันจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  การหมุนนี้ ก็คล้ายกับวิชาอื่น  ก็คือ ไทเก็ก และ ฝ่ามือมังกรแปดทิศ  ก็มีการเคลื่อนไหว เป็นวงกลม  และถ้ายิ่งฝึกวิชามังกรแปดทิศ พลัง รวมถึง ดูดซับพลังจักรวาลด้วยแล้ว พลังก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ
  • พลังจักรวาล หัวใจก็คือ จักระ แปลว่า วงล้อหรือธรรมจักร  ที่เราได้ยินกัน  จักระนี้ มีอยู่ 7 จุดด้วยกัน
    • จักระที่ 1 ตั้งอยู่ ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ
    • จักระที่ 2 ตั้งอยู่ ที่ปลายกระดูกก้นกบชิ้นสุดท้าย มี สัญลักษณ์เป็นดอกบัว 6 กลีบ ชื่อว่า สวาธิษฐานะ จักระนี้แสดงถึงความต้องการที่แรงกล้า การสืบเผ่าพันธุ์
    • จักระที่ 3 อยูที่ กระดูกสันหลังระดับเอวที่ตรงข้ามกับสะดือ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 10 กลีบ มีชื่อว่า มณีปุระ จักระนี้ แสดงออกถึงพลังอำนาจและความมีสติ
    • จักระที่ 4  อยู่ที่ กระดูกสันหลัง ระดับเดียวกับหัวใจ มีสัญลักษณ์ เป็นดอกบัว 11 กลีบ ชื่อว่า อะนาหตะ  จักระนี้แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ และการช่วยเหลือความรักความเมตตา
    • จักระที่ 5  ตั้งอยู่บน กระดูกสันหลังบริเวณต้นคอ มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 16 กลีบ ชื่อว่า วิศทะ จักระนี้แสดงถึงความรัก ความสมดุล ของสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ
    • จักระที่ 6 อยู่ตรงกลางหน้าผาก เหนือหว่างคิ้ว มีสัญลักษณ์เป็นดอกบัว 2 กลีบใหญ่  และกลีบย่อยอีก 100 กลีบ ชื่อว่า อะชะ จักระนี้แสดงถึงการพัฒนาจิตระดับที่สูง  ความมีสติ ความรู้แจ้ง  จุดนี้ เปรียบเสมือนเป็นตาที่ 3 หรือตาทิพย์ ของมนุษย์และเป็นจุดเดียวกับต่อมไพนิล
    • จักระที่ 7 อยู่จุดที่สูงที่สุดของศีรษะ สัญลักษณ์ดอกบัว 1,000 กลีบ ชื่อว่า สหสราระ แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัว และการหมดกิเลส  จักระที่ 7 หรือ จักระ มงกุฎ อยู่ส่วนบนของสมองเรียกว่า คาเวอร์เนียส เพลกซัส  ณ ตำแหน่งนี้ ชื่อว่าทำให้เกิดปัญญาความรอบรู้
  • หน้าทำหลักของจุดนี้ ระบบประสาทศูนย์กลางบัญชาการใหญ่ในการสั่งการของร่างกายทุกชนิด
  • เทคนิคการดูดซับพลังจักรวาล ทุกคนคงรู้จักปิรามิดเป็นอย่างดี บ้างก็รู้จักพลังปิรามิดอยู่บ้าง ลักษณะของปิรามิดนี้ ยังมีพลังซ่อนเร้นอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะรู้วิธีนี้ด้วย ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่มหัศจรรยฺ์ที่สุดของโลก มีผู้ทดลอง เกี่ยวกับมันมามาก ขอเข้าเรื่องเลยละกัน
  • พลังปิรามิด เป็นสถานที่เพิ่มพูดพลังจักรวาล ช่วยทำให้ ส่งเสริม พลังภายใน  ซึ่งปิรามิด นี้ มีหน้าที่เปรียบเสมือนเลนส์ รับเอาพลังจักรวาล ทั้งภายนอกโลก และพลังแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกด้วย
  • เริ่มต้นด้วย  มหาปิรามิดแห่งกีซา  เป็นต้นแบบของการสร้างปิรามิดจำลอง ซึ่งนำมาใช้ ในการฝึก พลังจักรวาล  มหาปิรามิด สูง 146.7 เมตร แต่ปัจจุบันเนื่องจากยอดหายไปจึงสูงแค่ 137.3 เมตร ความยาวของฐานปิระมิดคือ 230.5 เมตร จำนวนชั้นบันไดหินมี 201 ชั้น เดิม สร้างเสร็จใหม่ ๆ น่าจะมี 220 ชั้น มุมองศาคือ 51 องศา  จำนวนก้อนหิน สร้างราว ๆ สองล้านเจ็ดแสนก้อน เฉลี่ยหนักก้อนละ 2.5 ตัน น้ำหนักทั้งหมดของปิระมิดราว ๆ เจ็ดล้านตัน
  • ปัจจุบันมีหลายคน ที่ใช้ปิรามิดจำลองมาใช้เพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ 
 ข้อความบางส่วนบางตอนจาก http://www.luangputo.com
ศึกษาเพิ่มเติมได้จากลิงค์นี้ัครับ
http://www.stonelover.com/chakra.htm
  •  ส่วนภาคปฎิบัติจริง ฝึกตามคลิปด้านล่างได้เลยครับ จากท่านอาจารย์สถิตธรรม เพ็ญสุข ท่านที่ฝึกและเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการเชื่อมต่อจากพลังจักรวาล จะนำความอุดมสมบูรณ์และความรักมาสู่ผู้ฝึกปฎิบัติอย่างง่ายดาย ให้ฝึกอย่างต่อเนื่องวันละ 1-2 ครั้ง จนครบ 21 วัน และฝึกต่อไปจนเกิดความชำนาญและเพิ่มระดับพลังให้กับตัวเอง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น