วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"จิตตก" ต้องทำอย่างไร


"จิตตก" ต้องทำอย่างไร
“7 วิธีง่าย ๆ ไว้ยกจิต” 
  • 1. =น้อมใจนำเรื่องนั้น ๆ มาสอนตนเอง= เวลาจิตตกนั้นเป็นโอกาสทองที่ทำให้เราได้หยุดสำรวจว่าสิ่งใดคือสิ่งสำคัญของชีวิต เราสามารถเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมจากเรื่องนั้น ๆ ได้มากมาย
    • นอกจากจะได้เรียนรู้สิ่งสำคัญแล้ว การคิดด้วยตรรกะเหตุผลนั้นใช้การทำงานของสมองส่วนหน้า จึงกล่าวได้ว่าเป็นการดึงพลังงานมาจากระบบลิมบิกของสมองที่กำลังทำงานอย่างตื่นตัวเวลาที่เราจิตตกอีกด้วย
  • 2. =เจริญสติ= ถ้าเราหมั่นเจริญสติอยู่กับกายใจของเราในปัจจุบันขณะอยู่แล้วเป็นประจำ อุบายยกจิตที่ได้ผลทันทีวิธีนี้จะผุดขึ้นช่วยเราอย่างเกือบจะเป็นอัตโนมัติ ถ้าสังเกตดูดี ๆ เราจะพบว่าอาการจิตตกมักเกิดขึ้นเมื่อใจเราหลุดไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตของเรื่องราวต่าง ๆ เท่านั้น
  • 3. =มองหาสิ่งที่น่าขอบคุณรอบตัว= สิ่งที่น่าขอบคุณนั้นมีมากกว่าที่เราคิด เพียงการยังมีชีวิตอยู่ มีสติ ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่น่าขอบคุณมากแล้ว เพราะการที่จะก้าวสู่ความพ้นทุกข์ทั้งปวงอาศัยแค่กายกับใจเท่านั้น
  • 4. =นึกถึงกุศลที่เคยทำ= ให้นึกถึงบรรดาทาน ศีล ภาวนา ที่ตนเองเคยทำ ไล่ไปทีละอย่างเรื่อย ๆ ทราบไหมว่าเราจะนึกถึงกุศลได้ง่ายขึ้นถ้าเราเป็นคนคิดริเริ่มทำกุศลนั้นเองโดยไม่ต้องมีคนชวน ดังนั้นหมั่นริเริ่มทำกุศลเองไว้ให้มากเข้าไว้ สักวันหนึ่งเราจะได้พึ่งแน่นอน อย่างน้อยก็ตอนกำลังจะเสียชีวิต
  • 5. =แผ่เมตตาให้ตนเอง= ถ้าเรื่องที่ทำให้จิตตกนั้นน่าอกสั่นขวัญแขวน ลองหลับตาหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ช้า ๆ พร้อมทั้งส่งความเมตตาปรารถนาดีให้ตนเองสั้น ๆ ว่า “ขอให้เราเป็นสุข ๆ เถิด อย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย” ทำติดต่อกันเพียง 5-10 ลมหายใจ (เข้า-ออกนับ 1) ก็ได้ผลดีแล้ว
  • 6. =มองหาสิ่งน่าอนุโมทนา= ลองมองไปรอบตัวเพื่อหาความดีของคนรอบข้างดู แล้วนึกอนุโมทนาไปกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็สามารถนึกอนุโมทนาได้ทั้งนั้น
  • 7. =หากิจกรรมที่เป็นกุศลทำ= การลุกขึ้นลงมือทำอะไรเพื่อผู้อื่นนั้นจะช่วยยกจิตเราได้เป็นอย่างดี มีข้อแม้ว่าต้องทำด้วยจิตเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นจริง ๆ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน แม้แต่การยิ้มให้คนที่เดินเราผ่านในที่ทำงานอย่างอบอุ่นก็สามารถยกจิตเราขึ้นได้แล้ว
  • ถ้ายังรู้สึกแย่อยู่ ก็ให้พาตนเองออกมาจากสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ถ้ามีโอกาสให้เดินออกไปข้างนอก เปิดรับสัมผัสจากธรรมชาติด้วยทุกประสาทสัมผัส หายใจเข้าลึก ๆ ยืดตัวขึ้นตรง เปิดโอกาสให้แสงแดด สายลม ร่มไม้ เสียงน้ำไหล ช่วยยกจิตคุณ เพราะธรรมชาติก็คือธรรมะชั้นเยี่ยมนั่นเอง

พลังจิต

บทความนี้คุณ Wanvipa Suksawat 
  • ได้นำมาลง เป็นบทความที่ดีมากและมีประโยชน์ ขออนุญาตจัดการเรื่องวรรคตอนและย่อหน้าให้ใหม่ เพื่อจะช่วยให้การทำความเข้าใจนั้นค่อยเป็นค่อยไปกับคนที่ยังใหม่อยู่
พลังจิต หมายถึง 
  • คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ที่เกิดจากต่อมไพเนียล ที่สมองตอนบน 
  • เมื่อบุคคล"คิด"ต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด นั้น 
  • คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
  • บุคคลที่มีพลังจิตสูงบุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
การทำงานของ พลังจิต
  • จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ 
  • ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆ สีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบน ของมันสมอง 
  • เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่งร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ
  • พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ 
  • ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
ทำไมจึงต้องฝึกเจริญสติ?
  • สติ แปลว่า ความระลึกได้ หมายถึงความตระหนักรู้ในปัจจุบัน 
  • หลายๆ คนมีสติ แต่ก็มักจะเผลอสติอยู่บ่อยๆ เพราะเหตุสติไหลไปกับอารมณ์ และความปรุงแต่งนึกคิด หรือขาดสตินั่นเอง เมื่อขาดสติ ความคิดปรุงแต่ง ก็ครอบงำ
  • เมื่อเกิดความคิดปรุงแต่ง ก็เกิดการปรุงแต่งในอารมณ์ ฉุนเฉียว หลงไหล เศร้าซึม ฟุ้งซ่าน ทะยานอยาก จนเลยเถิด สร้างทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
  • สัมปชัญญะ แปลว่าความรู้สึกตัว หลายๆ คน มีสติ แต่เป็นสติที่อ่อนแอ ไม่ตั้งมั่น เพราะขาดสัมปชัญญะคือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวจะทำให้สติอยู่กับปัจจุบันและตั้งมั่นมากขึ้นๆ 
  • สติที่ตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันทุกขณะก็คือสมาธิ สมาธิที่ถึงพร้อมสติ และความรู้สึกตัว ก็ทำให้สติคมชัดในแต่ละขณะปัจจุบัน จนสามารถเห็นความจริงแท้ของโลก หรือเห็นโลกตามความเป็นจริง ตามที่มันเป็นโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็คือปัญญา
ทำไมจึงต้องฝึกเจริญสติ
  • ๑. คนเรามีปัญหาชีวิต ความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะขาดสติ เหตุเพราะขาดสติก็จะคิดฟุ้งซ่าน และปรุงแต่ง ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ นานา
  • ๒. เมื่อจิตใจไหลและปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ก็จะเกิดความหลงผิด ความหลงผิดหรืออวิชชานี้เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน และความวุ่นวายต่างๆ นานัปการ
  • ๓. เมื่อมีสติก็จะเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ ตื่นจากความปรุงแต่งนึกคิดในอารมณ์ทั้งหลาย ไม่หลับไหลไปกับความหวง ห่วง เยื่อใย อาลัยอาวรณ์ ไม่มีที่สิ้นสุด
  • ๔. หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เพราะ สติ เพราะเมื่อมีสติก็จะเกิดทั้งสมาธิและปัญญา เมื่อมีสติ สมาธิ ปัญญา ก็จะเกิดปฏิภาณ ไหวพริบ วิสัยทัศน์ (ญาณทัสสนะ) เห็นความเป็นเหตุปัจจัย ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เกิดโยนิโสมนสิการ (การพิจารณาอย่างแยบคาย) ทำให้เข้าใจชีวิตและโลกตามความเป็นจริง
  • ๕. เมื่อมีสติก็จะรู้จักปล่อยวางและอยู่เหนือสมมติของโลก ไม่ไปสำคัญผิดมั่นหมายว่าเป็นตัวกูของกู จิตใจก็เป็นอิสระ มีได้โดยไม่เป็นทุกข์ เป็นได้โดยไม่เป็นทุกข์ อันเป็นศิลปะในการใช้ชีวิตและดำรงชีวิตอย่างมีสติ..
การมีสติในชีวิตประจำวัน
  • รู้อย่างไรว่าเรามีสติ?
  • การมีสติในชีวิตประจำวัน ก่อนอื่น เราต้องมารู้จักคำว่า “สติ” เมื่อมีแล้ว เกิดอะไรขึ้น เพื่อว่าเราจะได้รู้ว่าเรามีสติ หรือไม่อย่างไร 
  • ขอยกตัวอย่างในหลายๆ กรณีเพื่อให้เรารู้ว่า ในการกระทำ การพูด และการคิดของเราในชีวิตประจำวันนั้น เรามีสติในขณะนั้นหรือไม่ 
  • และจะบูรณาการสติมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร พึงพิจารณาถึงการมีสติและการพัฒนาสติดังนี้
    • ๑.สติเกิดขึ้นเมื่อมีความตั้งใจ ปกติเราคิดแต่ว่าจะมาฝึกสติที่วัด แต่หารู้ไม่ว่าเวลาที่ฝึกสติดีที่สุดก็คือ ในชีวิตประจำวัน 
      • ฝึกสติอย่างไรหรือ? ก็ฝึกสติด้วยการทำอะไร ก็ให้ตั้งใจทำให้ดี ทำงาน ก็ให้ตั้งใจทำงานให้ดี เลี้ยงดูครอบครัว ก็ตั้งใจเลี้ยงดูครอบครัวให้ดี 
      • เรามักไม่รู้หรอกว่า การฝึกสติทุกๆ วัน ในชีวิตประจำวัน ด้วยตั้งใจทำงานให้ดี ตั้งใจเลี้ยงดูครอบครัวให้ดีนี้ จะทำให้มีสติที่ตั้งมั่นเสมอต้นเสมอปลาย ดีกว่าจะมาอยู่วัดวันสองวันเพื่อฝึกสติ 
      • และเมื่อเริ่มต้นจากการมีสติในการตั้งใจทำงาน เวลามาฝึกสติหรือฝึกสมาธิที่วัด ก็จะเกิดสติตั้งมั่น จิตรวมเป็นสมาธิได้ง่าย 
      • หากมัวแต่ทำงานแบบรวกๆ คิดแต่ว่า เมื่อไรจะถึงเวลาเลิกงานเสียที และทำงานไปแบบเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ขาดความตั้งใจในการทำงานที่ดี ก็เท่ากับเป็นการฝึกทำร้ายและบั่นทอนสติของตนเอง จิตก็จะฟุ้งซ่านและหงุดหงิดได้ง่าย 
      • ฉะนั้น ผู้ที่หวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติ จึงต้องเริ่มจากการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ด้วยการมีความตั้งใจในการทำงานให้ดี 
      • เพราะเมื่อมีความตั้งใจในการทำงาน ก็จะเกิดสติอยู่กับปัจจุบันในขณะทำงานทุกๆขณะ ผลของการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้มีความสุขอยู่กับปัจจุบันในขณะทำงานด้วย ทำงานก็จะไม่หงุดหงิด แถมยังสนุกกับการทำงานด้วย 
      • เมื่อเรามีสติด้วยการตั้งใจทำงานให้ดีแล้ว ก็จะเกิดการพัฒนาสติ และเราจะรู้จักคำว่ามีสติเกิดจากความตั้งใจ ทำอะไรด้วยความตั้งใจ ทำงานด้วยความตั้งใจ เช่นนี้ ก็เท่ากับการฝึกสติไปในตัว
    • ๒.สติเกิดขึ้นเมื่อมีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบก็จะยิ่งทำให้เกิดสติคมชัดมากขึ้น เวลาพิจารณาเรื่องใดๆ ก็จะเกิดการพิจารณาโดยแยบคาย 
      • ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมที่มุ่งมาศึกษาและฝึกสมาธิวิปัสสนาที่วัด ถ้าต้องการให้การฝึกสมาธิวิปัสสนาก้าวหน้า ต้องเริ่มจากที่บ้านและที่ทำงาน ด้วยการมีความรับผิดชอบในครอบครัวให้ดี และมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานให้ดี 
      • ผู้ที่ขาดความรับผิดชอบในครอบครัวและในการงาน ตอนอยู่ที่บ้านที่ทำงาน ก็มักจะคิดถึงวัด ว่าเมื่อไร จะได้ไปวัดปฏิบัติธรรมเสียที แล้วก็ทำงานทั้งที่บ้านและที่ทำงานแบบเร่ง ๆ รีบ ๆ เพื่อที่จะทำงานให้แล้วเสร็จเพื่อที่จะได้ไปวัด 
      • แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เวลามาวัด ก็จะคิดถึงบ้าน คือเป็นห่วงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่บ้านบ้าง ที่ทำงานบ้าง ว่ายังทำอะไรไม่เรียบร้อย ขาดตกบกพร่อง เพราะขณะอยู่ที่บ้านและที่ทำงาน ขาดความใส่ใจและความตั้งใจทำงานให้ดี สุดท้ายพอมาวัด ก็เลยกังวลฟุ้งซ่าน 
      • เพราะฉะนั้น ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมที่วัด ควรจะต้องฝึกตนเองให้มีความรับผิดชอบในครอบครัวและการงานให้ดีเสียก่อน จึงจะไม่เกิดปลิโพธเป็นกังวลในเวลาที่มาปฏิบัติธรรมที่วัด ทำให้ขาดสติ เผลอสติบ่อยๆ ในขณะปฏิบัติธรรม
    • ๓.สติเกิดขึ้นเมื่อมีความระมัดระวัง อาทิ เวลาเดินข้ามถนน การเดินด้วยความมีสติ ต้องรู้จักเดินด้วยความระมัดระวัง หากรีบร้อนเดิน ไม่ระมัดระวัง ก็จะทำให้เผลอสติ หรือ ขาดสติบ่อย ๆ และการกระทำอื่น ๆ แม้กระทั่งการพูดและการคิดก็เช่นกัน ก็ต้องมีความระมัดระวังในการกระทำ การพูด การคิด ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น 
      • ฉะนั้น ผู้ที่มีความระมัดระวังเช่นนี้ อยู่เนืองๆ ในการกระทำ การพูด การคิด ก็จะเกิดความมีสติสำรวมระวังในขณะปฏิบัติธรรม คือ เกิดการสำรวมระวังกาย วาจา และใจ ให้ทำดี พูดดี และคิดดีเสมอ
    • ๔.สติเกิดขึ้นเมื่อมีความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกต ความรอบคอบและช่างสังเกตเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดสติละเอียด และคมชัดในการพิจารณาธรรม 
      • ผู้ปฏิบัติที่มุ่งความพ้นทุกข์หลุดพ้น จึงต้องรู้จักเป็นผู้ดำเนินชีวิตด้วยความ รอบคอบ ความรอบคอบและช่างสังเกต จะทำให้มีความละเอียดถี่ถ้วนในการรับรู้ และเรียนรู้สิ่งต่างๆทางโลก โดยไม่เผลอสติไปมัวเมาลุ่มหลงหรือทะยานอยากในสิ่งนั้นๆ 
      • เพราะเห็นแล้วว่าเมื่อมัวเมา ลุ่มหลงหรือทะยานอยากครั้งไร เป็นทุกข์ทุกที นอกจากนั้น ความรอบคอบและช่างสังเกต ยังทำให้เกิดการพัฒนาสติไปสู่สติสัมโพชฌงค์ คือ ความสมบูรณ์ของสติ และธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือการสอดส่องในธรรมด้วยโยนิโสมนสิการ 
      • อันเป็นปัจจัยสนับหนุนให้เกิดความก้าวหน้าในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วนและแยบคาย อันเกิดจากการเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกต ในการดำเนินชีวิตอยู่เนือง ๆ โดยไม่ประมาท
    • ๕.สติเกิดขึ้น เมื่อรู้จักใจเย็น และไม่รีบร้อน การกระทำอะไรที่เร่ง ๆ รีบ ๆ มักจะทำให้เกิดการเผลอสติได้ง่าย แต่หากเรารู้จักฝึกทำอะไรด้วยความใจเย็น และไม่รีบร้อน เราก็จะมีสติอยู่กับปัจจุบันทุกขณะ 
      • ทำให้เกิดการรู้และเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้นได้ชัด คือ เกิดการรู้ชัดและเข้าใจชัดในสิ่งนั้น ๆ เป็นขณะ ๆ ทุก ๆ ขณะ 
      • อันมีความสำคัญมากในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเน้นการมีสติรู้ชัดในกาย เวทนา จิต และธรรมในแต่ละขณะปัจจุบัน การมีสติรู้ชัดในแต่ละขณะปัจจุบัน ก็จะทำให้เกิดการเห็นที่เรียกว่าญาณทัสสนะ 
      • แต่การจะมีสติรู้ชัดในกาย เวทนา จิต และธรรม ในแต่ละขณะปัจจุบัน สิ่งสำคัญมาก ก็คือ ความใจเย็น และไม่รีบร้อนในการฝึก ซึ่งผู้ปฏิบัติพึงฝึกเริ่มจากในชีวิตประจำวันด้วยการดำเนินชีวิตและการทำกิจการงานทั้งปวง ให้เป็นผู้รู้จักทำอะไรด้วยความใจเย็นและไม่รีบร้อน
    • ๖.สติเกิดขึ้นเมื่อรู้จักปล่อยวาง หัวใจของการมีสติที่สำคัญที่สุด ก็คือเป็นผู้รู้จักปล่อยวาง การฝึกสติเป็นผู้รู้จักปล่อยวางนี้ ผู้ปฏิบัติต้องเริ่มหัดให้มีสติรู้จักปล่อยวางในชีวิตประจำวัน เพราะการฝึกปล่อยวางนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาปล่อยวางในขณะมาฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน 
      • แต่ต้องเริ่มฝึกปล่อยวางไปโดยลำดับ จากสิ่งที่ง่ายๆ จนไปถึงสิ่งที่ปล่อยวางยาก การฝึกปล่อยวางนี้ จะเป็นการทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว และความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา หรือของๆเรา ไปโดยลำดับ 
      • การฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐานที่ไม่ประสบผลสำเร็จและความก้าวหน้า เพราะฝึกปฏิบัติด้วยความทะยานอยาก ความคาดหวัง อยากได้โน่น อยากได้นี่ อาทิ อยากได้สมาธิ อยากได้ฌาน อยากได้ญาณ อยากมีฤทธิ์เป็นต้น 
      • ซึ่งเป็นการวางใจในการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ตรงกันข้าม การปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน เราต้องรู้จักวางใจด้วยการปล่อยวาง ไม่อยากได้ ไม่อยากเอา ไม่อยากมี และไม่อยากเป็น ใด ๆ ทั้งสิ้น 
      • การฝึกสติให้เป็นผู้รู้จักปล่อยวาง จึงเป็นหัวใจของการฝึกปฏิบัติธรรม และผู้ปฏิบัติพึงฝึกสติด้วยการปล่อยวางแบบค่อยเป็นค่อยไปในชีวิตประจำวัน 
      • ในที่สุดเรื่องที่คิดว่าปล่อยวางไม่ได้ ก็จะสามารถปล่อยวางได้เอง และหากเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ปล่อยวางยาก ผู้ปฏิบัติพึงต้องรู้จักฝึกให้มีสติปล่อยวาง ด้วยการมีปัญญาเห็นโทษ เห็นภัยของความยึดมั่นถือมั่นของตนเอง 
      • เพราะเมื่อเห็นโทษ เห็นภัย ก็จะเกิดการยอมรับ และเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ตามความเป็นจริง เมื่อรู้จักยอมรับและเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ตามที่มันเป็น ก็จะค่อยๆ เกิดการปล่อยวางในสิ่งนั้น ๆ ที่ยึดมั่นมานานได้โดยลำดับ
  • ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น หากผู้ปฏิบัติรู้จักคำว่ามีสติ จะมีอย่างไรในชีวิตประจำวัน อาการของสติเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีอาการอย่างไร ดังที่ได้อธิบายพอเป็นสังเขปนั้น ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้จักปรับปรุง และแก้ไขตนเองในการดำเนินชีวิตด้วยความเป็นผู้มีสติ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป

คำทำนายล่าสุดเรื่องสงครามโลกของเสด็จเตี่ย

(คำทำนายล่าสุดเรื่องสงครามโลกของเสด็จเตี่ย) 


  • ผมชั่งใจอยู่นานพอสมควรว่าควรถ่ายทอดดีหรือไม่ แต่เมื่อคำนึงว่าชีวิตควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ขนาดจิ้งจกทัก ยังต้องระวังกันเลย คนโบราณว่าไว้
  • เมื่อคืน วันที่ ๑๙ พฤศจิดายน ๒๕๕๘ ผมพาชาวชมรมมังกรธรรมจำนวนหนึ่งไปเรียนกรรมฐานต่อจากองค์คุรุเทพของผม
  • หลังจากที่ท่านถ่ายทอดกรรมฐานในท่ายืน เดิน และนอนของท่านที่เรียนมาจากหลวงปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) ให้พวกเราต่อจากกรรมฐานท่านั่งในครี้งก่อนแล้ว ผมได้เอ่ยปากกับท่านว่า
  • "องค์พ่อครับ ผมขอเรียนถามองค์พ่อแทนคนจำนวนมากได้มั้ยครับ เพราะองค์พ่อ เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน"
  • "ได้สิ ฉันไม่ถึงกับหยั่งรู้ฟ้าดินหมดหรอก แค่รู้บ้างเป็นส่วนใหญ่ เท่านั้นแหละ"
  • ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยคำถามที่อยากถามออกมา เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นคุรุเทพของผมก็ชิงตอบคำถามในใจของผมออกมาเสียก่อนว่า
  • "สงครามโลก มันจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้แล้วนะ ..." 
  • ผมไม่ซักไซร้ท่านให้มากความ เพราะที่ผ่านมาเสด็จเตี่ยไม่เคยบอกผมผิดแม้สักเรื่องเดียว
  • เมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่ผมร่วมกับเพื่อนนักวิชาการตั้งกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ เพื่อออกมาคานกลุ่มนิติราษฎร์ ผมเคยถามท่านในตอนนั้นว่า "ทหารจะปฏิวัติหรือไม่" ท่านตอบว่า "ทหารยังไม่ปฏิวัติ" ไม่ใช่ "ทหารจะไม่ปฏิวัติ"
  • หลังการปฏิวัติรัฐประหารผ่านไปหกเดือนในปลายปี ๒๕๕๗ ท่านเคยบอกผมว่า "จะเกิดกระบวนการเช็คบิลในทุกวงการอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กระบวนการเช็คบิลนี้จะดำเนินไปสามปีเต็ม และทหารจะอยู่ยาวถึง แปดปี"
  • แม้ท่านจะบอกผมเพียงสั้นๆ ในทุกเรื่อง แต่นัยยะที่ท่านบอกออกมานั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่ง
  • หากใช้ปัญญาไตร่ตรองก็จะสามารถวางแผนกลยุทธ์ ในการเคลื่อนไหว การทำงาน และการใข้ชีวิตของเราให้ถูกต้อง อยู่รอดปลอดภัยได้ ไม่ล่มสลาย ล้มเหลว พังทะลายเพราะอ่านสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ผิดพลาด คลาดเคลื่อน อย่างที่ผมได้เห็นมาหลายคน หลายกลุ่มแล้วในช่วงที่ผ่านมา
  • สุดท้ายก่อนจากกัน ท่านได้ถ่ายทอด คาถาสะเดาะเคราห์ให้พวกผมเป็นครั้งแรก คาถานั้นคือ "อะสังวิสุโล ปุสะภุพะ" ซึ่งต้องท่องแบบอนุโลม และปฏิโลมถอยหลังไปกลับให้ชำนาญ หลังจากที่ได้ฝึกจิต บำเพ็ญภาวนามาพอสมควรแล้ว
  • ทำไม อยู่ดีๆ ท่านถึงถ่ายทอดคาถานี้ให้พวกผม คุรุเทพของผมเป็นคุรุที่ลึกล้ำสุดหยั่งคาด ที่เดินหมากข้ามช็อตเสมอ 
  • ท่านต้องการจะบอกอะไรพวกเราผ่านตัวผมซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านในสายภาวนา ในฐานะที่ท่านเป็นพระสยามเทวาธิราชองค์ปัจจุบัน 
  • ขอให้คนไทยแต่ละคนที่ได้อ่านข้อเขียนนี้ โปรดนำไปไตร่ตรอง เพื่อวางแผนชีวิตหลังจากนี้ให้ดี และร่วมใจกันนำ สยามนาวาลำนี้ให้แล่นรอดปลอดภัยจาก พายุสงครามใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงแล้วด้วยเทอญ

สุวินัย ภรณวลัย

ตอนที่ 6: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)

ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward

ตอนที่ 6: จบครับ 

  • S: ก็ในเมื่อพระผู้สร้างจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของพวกเราแล้ว มันหมายความว่า
  • พระผู้สร้าง (ใช้สรรพนามว่า It เหรอ?) จะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดทางด้านร่างกายและจิตใจของใครเลย เหมือนอย่างที่พระเจ้ารู้สึกใช่ไหม๊?
Matthew: 
  • คุณแม่ครับ สรรพนามในภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า It กับพระผู้สร้างนี้ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เคารพท่านนะครับ 
  • ในกรณีนี้ เราจะเอาไปเปรียบเทียบกับคำว่า It ที่เราใช้เรียกสิ่งไม่มีชีวิตหรือสภาวะต่างๆไม่ได้ 
  • เพราะว่าเมื่อเราใช้กับพระผู้สร้าง มันจะเหมือนกับที่เราพูดถึงสีขาว ซึ่งสีขาวไม่ได้แปลว่าไม่มีสีอะไรเลย 
  • แต่มันหมายถึงสีที่เกิดจากการรวมตัวกันของสีอื่นๆต่างหาก เพราะว่าภายในสีขาวนี้ 
  • มันจะมีแก่นแท้ของสีทุกสีที่มีอยู่ในจักรวาล สะท้อนอยู่ในนั้น และที่อื่นๆในจักรวาล
  • มันก็ยังมีสีอื่นๆที่สวยสดงดงามอยู่อีกมากมาย ที่พวกคุณแม่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป
  • เอาหละทีนี้ พระผู้สร้างก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของทุกๆจิตวิญญาณทั่วทั้งเอกภพได้จริงๆเหมือนกัน และรับรู้ได้เข้มข้นรุนแรง มากกว่าที่พวกคุณแม่ซึ่งอยู่ในมิติที่สามซึ่งหยาบกระด้างนี้จะรับรู้ได้เสียอีก 
  • แต่พระผู้สร้างจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปตอบสนองแบบเป็นส่วนตัวกับสภาวะใดๆ ของจิตวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งโดยเฉพาะ 
  • แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าเสียอีก ที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่ทุกสรรพชีวิต
  • ที่พระองค์สร้างขึ้นมาอยู่เสมอ เท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือที่ว่านี้ จะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของทางเลือกอิสระที่รูปธรรมชีวิตนั้นๆ ได้เลือกเอาไว้ก่อนการถือกำเนิดด้วย 

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
  • พระหัตถ์แห่งพระเจ้าจะโอบกอดพวกคุณแต่ละคน และทุกๆคน ที่อยู่ในจักรวาลนี้เอาไว้ 
  • และหากพวกคุณต้องการ ตัวแทนของพระองค์ จะรับสนองพระบัญชา ออกไปทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกอยู่ในความลำบาก ที่ไม่ใช่เพราะสาเหตุมาจากพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณก่อนการถือกำเนิดของพวกเขาเอง อย่างรวดเร็ว เร็วกว่าชั่วพริบตาซะอีก

ตอนที่ 5: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)

ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward

ตอนที่ 5: พระเจ้า (GOD)

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

S: แล้วพระเจ้ากับพระผู้สร้างมีความแตกต่างกันอย่างอื่นอีกไหม
นอกเหนือจากความแตกต่างกันด้านขอบเขตของพลังอำนาจแล้ว?


Matthew: 

  • มีครับ มีอีกสองเรื่องที่แตกต่างกัน แต่ขอให้ผมทวนซ้ำอีกทีก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระผู้สร้างก็ล้วนประกอบไปด้วยทุกๆองค์ประกอบของพระผู้สร้างครบถ้วนเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นแล้ว พระเจ้าก็คือภาคหนึ่งของพระผู้สร้าง ที่ถอดแบบออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีส่วนใดขาดตกบกพร่องไปแม้แต่น้อย และก็ทำหน้าที่เป็น “พระผู้สร้าง” สำหรับจักรวาลนี้อย่างแท้จริง 
  • พระเจ้าเป็นจิตของพระผู้สร้างด้านความรู้และภูมิปัญญา, เป็นหัวใจของพระผู้สร้างด้านความรัก, เป็นพลังอำนาจของพระผู้สร้างด้านอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
  • ตอนนี้ ก็มาที่ความแตกต่างอย่างแรกกัน นั่นก็คือ แกนกลางของพระผู้สร้างคือศูนย์กลางของลำดับชั้นทางจิตวิญญาณ และศูนย์กลางของทุกชีวิตในเอกภพ แต่ลำพังบทบาทหน้าที่หลักที่สำคัญดังกล่าวนั้น ก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ 
  • ก็เหมือนกับที่ “เพลา” ของล้อรถ หรือกงล้ออะไรสักอย่างนั่นแหละ ที่ทำหน้าที่คอยยึดล้อรถหรือกงล้อเอาไว้ด้วยกัน และเพราะว่า มีแรงพลังที่มั่นคงของพระผู้สร้างคอยยึดเอาไว้อยู่นั่นเอง จึงทำให้การเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆดำเนินไปได้อย่างคงที่อยู่ แต่ถ้าหากว่าความมั่นคงนั้นสิ้นสุดลง ชีวิตทั้งหมดก็คงจะจบลงด้วย 
  • เพราะฉะนั้น การจะสรรสร้างชีวิตในรูปแบบใดๆขึ้นมาก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะต้องอาศัยคลื่นความถี่ต่างๆ ของพลังงานนี้ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย และจำเป็นจะต้องอาศัยคุณสมบัติของพระผู้สร้าง ทั้งความมั่นคงและคุณสมบัติอื่นๆที่ตื่นตัวแล้ว (Active aspects) เข้ามาร่วมด้วยเสมอ
  • ส่วนพระเจ้า คือผู้ที่มีคุณสมบัติทุกอย่างที่ตื่นตัวแล้ว (Active) เพราะว่าพระเจ้า คือส่วนขยายของแรงพลังที่ตื่นตัวแล้วของของพระผู้สร้าง สำหรับจักรวาลนี้ ซึ่งมีแก่นแท้ของพลังงานความรักและแสงสว่างเทียบเท่ากับพระผู้สร้างทุกประการ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
  • พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสรรพชีวิต ในทุกระดับชั้น ในจักรวาลนี้ และก็เหมือนกันกับที่ในระดับเอกภพ พลังงานที่มีพลังอำนาจมากที่สุด ก็คือพลังงานแสงสว่าง ซึ่งก็คือพลังงานแก่นแท้ของพระผู้สร้าง ส่วนในระดับจักรวาลนี้ พลังงานที่มีพลังงานอำนาจมากที่สุด ก็คือพลังงานแสงสว่าง ซึ่งก็คือพลังงานแก่นแท้ของพระเจ้า
  • "พลังงานแสงสว่าง" เป็นพลังงานที่มีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา, มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ขยายตัว และหดตัวอยู่ตลอดเวลา และมีพลังอำนาจเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาด้วย เพื่อที่จะให้ตัวมันเองสามารถบรรจุความรักและความรู้สึกเอาไว้ให้ได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ 
  • พลังงานแสงสว่างสามารถส่งไปในทิศทางไหนก็ได้ แต่ไม่อาจจะเก็บกักหรือทำลายได้ ส่วนพลังงานความรักคือพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด 
  • ดังนั้นพลังงานแสงสว่าง และพลังงานความรัก จึงเป็นพลังงานประเภทดียวกัน 
  • เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันเท่านั้น และพลังงานทั้งคู่นี้ ก็เป็นพลังงานรากฐานของจิตวิญญาณทุกๆดวง ที่มีปฏิสัมพันธ์อยู่กับพระเจ้า
  • เพราะว่าทุกสรรพชีวิตในจักรวาลแห่งนี้ ถือกำเนิดมาจากพระเจ้า ซึ่งอาจจะพูดได้ว่ามนุษย์ถูกสร้างมาจากภาพลักษณ์ของพระเจ้าเอง โดยการนำเอาคุณสมบัติต่างๆของพระเจ้าเอง มาสร้างเป็นมนุษย์ขึ้นมา ลักษณะของมนุษย์และวัสดุที่นำมาสร้างเป็นกายเนื้อของมนุษย์ถูกสร้างมาจากความคิดภายในจิตของพระเจ้า
  • เมื่อให้กำเนิดสรรพชีวิตขึ้นในจักรวาลแล้ว พระเจ้าก็ได้สร้างกฏต่างๆที่สามารถขับเคลื่อนไปเองได้อย่างต่อเนื่องขึ้นมา 
  • เพื่อใช้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องการโคจรของกาแล็กซี่ ไปจนถึงเรื่องการรู้ของเมล็ดพืชสักเมล็ดหนึ่ง ว่ามันจะต้องเริ่มต้นงอกออกมาจากเปลือกของมันเพื่อเจริญเติบโตขึ้นได้เมื่อไร
  • หลังจากนั้น มันก็ดำเนินไปเช่นนี้อีกนานแสนนาน จะมีก็แต่วิธีการใช้เทคโนโลยี
  • เพื่อกำหนดทิศทางให้กับพลังงานอย่างละเอียดเท่านั้น ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ 
  • และรูปแบบการเคลื่อนที่ดั้งเดิมของพลังงานได้ แต่ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวพลังงานเองได้ 
  • เพราะว่าพลังงานก็เป็น “สิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา” อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน 
  • สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสร้างสรรค์ก็คือการรู้วิธีที่จะดักจับพลังงาน และนำเอามันไปใช้
  • ในช่วงแรกเริ่ม ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้เคยปราศจากข้อบกพร่องมาก่อน, เคยบริสุทธิ์ผุดผ่อง, เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และความรักมาก่อน 
  • ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ด้วยความสามัคคีกลมเกลียวกัน และชีวิตก็เคยดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็นเช่นนั้นมาก่อน
  • แต่หลังจากที่พระผู้สร้างได้มีพระประสงค์ที่จะมอบของขวัญแห่ง “การมีอิสระแห่งความปรารถนา” (Free will) ให้กับทุกๆจิตวิญญาณทั่วทั้งเอกภพแล้ว และเพราะด้วยกฎแห่งเอกภพ ผู้ปกครองของจักรวาลทุกๆจักรวาล จึงต้องปฏิบัติตามพระบัญชาและเคารพในอิสระแห่งความปรารถนาของทุกๆจิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองด้วย 
  • แต่มันก็เป็นไปได้ว่า ของขวัญชิ้นนี้ จากจำนวนของขวัญทั้งหมด 
  • ได้ถูกใช้ไปในทางที่ผิด เพราะฉะนั้น ความมีอิสระอย่างเต็มที่แห่งการเลือกนี้ 
  • จึงไม่ได้เป็นของขวัญชิ้นโบว์แดงอย่างที่มันเคยเป็นอีกต่อไป

  • ตามที่พวกเรารู้มา ในบางจักรวาล หรือแม้แต่บางส่วนของจักรวาลนี้ ก็ไม่มีใครรู้จัก “อิสระแห่งความปรารถนา” เลย 
  • จิตวิญญาณทั้งหลายได้พากันนำของขวัญชิ้นนี้ ไปใช้ในแบบที่ไม่ใช่การตัดสินใจเลือกแบบส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นการเลือกแบบร่วมกันของจิตวิญญาณจำนวนมากแทน 

  • แต่อย่างไรก็ตาม ตามกฎของพระผู้สร้างแล้ว บนโลกมนุษย์ อิสระแห่งความปรารถนา คือคำบัญชา ซึ่งแม้แต่พระเจ้าเอง ก็ได้เพียงเป็นผู้คอยสังเกตการณ์เท่านั้น 
  • ไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดขวาง หรือปฏิเสธทางเลือกใดๆของจิตวิญญาณดวงใดๆได้
  • ความแตกต่างที่สำคัญอย่างที่สองระหว่างพระผู้สร้างกับพระเจ้าก็คือ พระผู้สร้างจะตระหนักรู้ถึงชีวิตของทุกๆชีวิตทั่วทั้งเอกภพนี้ 
  • แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีปฏิสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของจิตวิญญาณดวงใดๆเลยแต่พระเจ้าไม่เพียงแต่จะตระหนักรู้ถึงชีวิต ทุกๆชีวิตในจักรวาลนี้เท่านั้น 
  • แต่ยังจะรู้ไปถึงเรื่องราวส่วนตัวทุกๆเรื่อง เช่น ความเสียใจ, ความฝันที่เป็นความลับ, ความทุกข์ทรมาน, ความสุข, ความกลัว และทุกๆเรื่องของแต่ละจิตวิญญาณอีกด้วย
  • พระผู้สร้างจะดำรงสถานภาพแห่งความสูงส่งของตนเองอยู่อย่างเงียบๆ วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะมีประสบการณ์ต่างๆผ่านทางการสร้างสรรค์ และพระเจ้า ซึ่งเป็นภาคที่สมบูรณ์แบบของพระผู้สร้าง ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันนี้ด้วย 
  • แต่พระองค์จะรู้สึกผ่านทุกๆชีวิตที่พระองค์ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบที่มีรูปหรือไม่มีรูปก็ตาม 
  • พระเจ้าจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่รูปธรรมชีวิตทั้งหลายทั่วทั้งจักรวาลกำลังรู้สึกอยู่จริงๆ ไม่ว่ารูปธรรมชีวิตนั้นๆจะอยู่ในโลกทางกายภาพ หรืออยู่ในโลกของจิตวิญญาณก็ตาม 
  • และไม่มีเลยแม้ชั่วขณะเดียว ที่พระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกร่วมกับรูปธรรมชีวิตใดรูปธรรมชีวิตหนึ่ง 
  • ไม่ว่ารูปธรรมนั้นๆ จะมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณอยู่ในระดับใดก็ตาม หรือไม่ว่าจะเลือกทางเลือกใดอยู่ก็ตาม 
  • ซึ่งรูปธรรมชีวิตที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ รวมไปถึงที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรพืชทุกๆชีวิตด้วย
  • พระเจ้าสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของดาวเคราะห์โลก ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและเต็มไปด้วยพลังด้านลบเช่นนี้ได้ 
  • และสามารถรู้สึกได้ ในระดับที่รุนแรงกว่าหลายเท่าตัวด้วย และนอกจากดาวเคราะห์โลกแล้ว พระเจ้าก็ยังสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของเทหะวัตถุอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน 
  • ผมไม่อยากพูดซ้ำบ่อยๆว่าพระเจ้าและทุกๆสรรพชีวิตที่อยู่ภายในจักรวาลแห่งนี้ คือสิ่งที่มิอาจแยกขาดจากกันได้โดยสิ้นเชิง และความสัมพันธ์ในทำนองเดียวกันนี้ ก็เป็นความจริงระหว่างรูปธรรมชีวิตด้วยกันเองที่อยู่ภายในจักรวาลนี้ทั้งหมดด้วย 
  • เพราะฉะนั้น คำว่า “ความเป็นพระเจ้าของตัวเอง” ที่บางครั้งชาวโลกใช้กัน จึงเป็นคำพูดที่ถูกต้องอย่างที่สุด เพราะว่าพระเจ้าคือทุกๆคนจริงๆ และพระเจ้าก็ยังคือทุกๆ ชีวิต ที่อยู่ในอาณาจักรสัตว์ และอาณาจักรพืชอีกด้วย 
  • แม้ว่าการรับรู้ถึงความรู้สึกของทุกๆชีวิตที่อยู่บนโลกพร้อมกันหมด มันจะง่ายกว่าการรับรู้ถึงความรู้สึกของทุกๆชีวิตทั่วทั้งจักรวาลพร้อมกันหมดก็ตาม 
  • แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครทำได้แบบนั้น ต่อให้เป็นรูปธรรมชีวิต ที่มีระดับวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงที่สุดในจักรวาลก็ตาม

ตอนที่ 4: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)


ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward

ตอนที่ 4:

Susanne
เอาหละ, แม่เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะลูก แล้วตกลงว่าพระผู้สร้างนี่ คือผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเอกภพ
ส่วนพระเจ้านี่คือผู้ช่วยของพระผู้สร้างใช่ไหม?


Matthew: 

  • ไม่ใช่เลยครับ เพราะว่าคำว่าเอกภพ (Cosmos) กับคำว่าจักรวาล (Universe) ชาวโลกก็ยังใช้สับสนกันอยู่ เพราะว่าจักรวาลเป็นเพียงส่วนย่อยส่วนหนึ่งของเอกภพเท่านั้น ซึ่งในหนึ่งเอกภพจะประกอบไปด้วยจักรวาลจำนวนมากมาย และแต่ละจักรวาลเองก็จะมีพระเจ้า หรือผู้เป็นใหญ่ที่สุด เป็นของมันเอง 
  • เพราะว่าชาวโลก ไม่รู้ว่ามีจักรวาลอื่นๆอยู่ด้วย และไม่รู้จักผู้ออกกฎ หรือลำดับชั้นทางจิตวิญญาณของพวกมัน ศาสนาบางศาสนาของชาวโลกจึงเรียก “พระผู้สร้าง” (Creator) ว่า “พระเจ้า” (God) ซึ่งการเรียกแบบนี้ เป็นการนำคำศัพท์ทั่วไป มาใช้เป็นคำศัพท์ที่เป็นทางการ เหมือนอย่างที่เรียกทารกเพศหญิง (girl) ว่า Girl อะไรแบบนั้น
  • แต่ถ้าจะเรียกพระเจ้าว่า “พระผู้สร้างของเรา” (Our Creator) อันนี้จะไม่ผิด หรือไม่แปลกอะไรเลย 
  • เพราะว่าพระองค์ก็เป็นพระผู้สร้างพวกเราจริงๆ เพียงแต่ว่าอาจจะทำให้เข้าใจสับสน
  • ระหว่างพระผู้สร้างกับพระเจ้าจริงๆเท่านั้นเอง
  • ผมเองก็ไม่รู้ว่าความผิดพลาดของการเรียกชื้อนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มันอาจจะเริ่มเพี้ยนมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน่นแล้วก็ได้ 
  • ซึ่งสมัยนั้นพวกเขาก็รู้ว่า “พระผู้สร้าง / สรรพสิ่ง” (Creator/Creation) คือ “ต้นกำเนิด” (The Source), หรือคือ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” (All That Is), หรือคือ “ผู้ที่เป็นฉัน” (I AM), หรือคือ “ผู้มีอำนาจไร้ขีดจำกัด” (Almighty), หรือคือ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (Oneness), หรือคือ “ความเป็นทั้งหมด” (Totality), หรือชื่ออื่นใดก็ตาม ที่หมายถึงพระผู้สร้าง ที่เป็น “พระผู้เป็นเจ้า” (Supreme Being) ของเอกภพทั้งมวล 
  • ชื่อจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย เมื่อเราเรียกชื่อ “พระเจ้า” แต่มอบความรักและความเคารพให้แก่ผู้ที่เราหมายถึงพระผู้สร้าง หรือในทางกลับกันก็ตาม ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว “ตรีเอกานุภาพ” (The Trinity) ของศาสนาคริสต์ อาจจะสามารถแปลความหมายได้ดังนี้: 
  • - พระบิดา (พระผู้สร้าง: ผู้มีพลังอำนาจสูงสุดในเอกภพ ซึ่งในบางศาสนาของพวกคุณเรียกว่าพระเจ้า หรือชื่ออื่นๆ)
  • - พระบุตร (พระเจ้า: ผู้ที่เกิดจากพระผู้สร้าง หรือเป็นบุตรของพระผู้สร้าง และก็ยังเป็นพระผู้เป็นเจ้าของจักรวาลของเราด้วย ซึ่งตรงนี้ชาวโลกไม่ค่อยรู้กัน ว่าแตกต่างจากพระผู้สร้างอย่างไร)
  • - พระจิต (ปริมณฑล หรือ อาณาเขตที่อยู่ใกล้พระผู้สร้างมากที่สุด ซึ่งบางทีก็เรียกว่า “อาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์” (Cristed realm) ซึ่งเป็นที่ๆรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างชั้นสูงสุดทั้งหลาย ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักดำรงอยู่ 
  • และเป็นที่ๆจิตวิญญาณของพระศาสดาทั้งหลายสถิตอยู่ ก่อนที่จะลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในดวงดาวต่างๆทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งรวมถึง พระเยซูคริสต์ และพระพุทธเจ้า บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ด้วย
  • ไม่ว่าชื่อเรียกและการตีความหมายจะมีความแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่ความเชื่อมโยงกันของตรีเอกานุภาพนี้ ก็จะยังคงมีลำดับชั้นเหมือนเดิม และลำดับชั้นอันศักดิ์สิทธิ์ของความมีอำนาจ และความเป็นสัพพัญญูอันไร้ขีดจำกัดของพระผู้สร้าง กับพลังอำนาจในลำดับถัดๆมาของพระองค์ ก็จะไม่มีความแตกต่างกัน มันต่างกันเฉพาะชื่อเรียกเท่านั้นเอง

ตอนที่ 3: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ตอนที่ 3: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง
ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)


ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward


ตอนที่ 3:

  • จากนั้นเพื่อการมีประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตที่กำเนิดมาจากพระเจ้าทั้งหลาย ที่เรียกว่า “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Root Soul) ก็ได้พากันแบ่งภาคตัวเองออกมาเป็นจิตวิญญาณมากมายอีก ซึ่งเรียกว่า “สะเก็ดของจิตวิญญาณ” (Soul Fragment) หรือ “ประกายของจิตวิญญาณ” (Soul Spark) หรือ “สะเก็ดแห่งพระเจ้า” หรือ “ประกายแห่งพระเจ้า” 
  • ต่อจากนั้น บรรดาสะเก็ดแห่งพระเจ้า หรือประกายแห่งพระเจ้าเหล่านี้ ก็ได้พากันแบ่งภาคตัวเองออกมาอีกในทำนองเดียวกัน เกิดเป็น “ละอองประกายของจิตวิญญาณ” (Soul sparklet) ขึ้น ซึ่งต่อมาละอองประกายของจิตวิญญาณเหล่านี้ ก็ได้แบ่งภาคตัวเองออกต่อไปอีก เป็นอนุประกายของจิตวิญญาณ (Soul Sub-sparklet) จำนวนมากมายด้วยเช่นกัน
  • จิตวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการแบ่งภาคในลำดับชั้นถัดๆไปก็จะยังคงถูกเรียกว่าอนุประกายของจิตวิญญาณอยู่ 
  • จิตวิญญาณทั้งหมด ซึ่งมีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน และเป็นเอกเทศ, เป็นปัจเจก และมีชีวิตที่ไม่อาจถูกทำลายได้เหล่านี้ แต่ละจิตวิญญาณ ในทุกลำดับชั้นของการแบ่งภาค เราจะเรียกว่า “อัตภาพ” (Personage) 
  • ชื่อต่างๆทั้งหมดข้างต้น ที่ผมกล่าวถึงไปแล้วนั้น มันยังไม่หมดแค่นี้หรอกนะครับ มันยังมีอีก เพียงแต่ว่าผมต้องการแสดงให้เห็นถึงลำดับชั้นของการสืบเชื้อสาย ภายในอาณาเขตต่างๆ ซึ่งมีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ที่สืบทอดเชื้อสายออกมาจากจิตของพระผู้สร้างเท่านั้นเอง 
  • แต่ชื่อเรียกทั้งหมดนี้ ไม่ได้แสดงถึงสถานภาพของวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของจิตวิญญาณแต่อย่างใดเลย และถ้าจะเรียกชื่อสั้นๆว่า “จิตวิญญาณ” เฉยๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 
  • เพราะว่ามันไม่มีความแตกต่างในแง่ความสัมพันธ์กับพระผู้สร้าง และสัดส่วนขององค์ประกอบของจิตวิญญาณ ระหว่างจิตวิญญาณดวงใดๆ เลย 
  • เพราะแม้แต่จิตวิญญาณดวงที่เพิ่งเกิดใหม่ ก็ยังจะมีความเป็นเอกเทศ และมีความไม่สามารถถูกทำลายได้เป็นของตัวเองอยู่เสมอ และมันก็มีความเชื่อมโยงกับทั้งพระผู้สร้างและพระเจ้าอย่างมิอาจแบ่งแยกได้ 
  • ก็เหมือนกับเซลในร่างกายของพวกคุณแม่ ที่เป็นทั้งเซลที่มีชีวิต ที่ทำหน้าที่ของมันเองได้อย่างเป็นอิสระ และในขณะเดียวกัน มันก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญขององค์ประกอบทั้งหมดด้วย ซึ่งนั่นก็คือตัวของคุณแม่เอง

(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

Susanne: แมทธิว, แล้วมนุษย์โลกยุคปัจจุบันอย่างพวกเรานี้หละ อยู่ตรงส่วนย่อยส่วนไหนของอาณาเขตเหล่านั้น?

Matthew: 
  • ในเบื้องต้นแล้ว อยู่ในระดับ “อนุประกายของจิตวิญญาณ” แต่คุณแม่ก็อย่าลืมนะครับว่า มันไม่ได้มีความหมายในแง่ของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณแต่อย่างใด มันเป็นเพียงลำดับชั้นของ “อัตภาพ” ของจิตวิญญาณ ที่ก่อเกิดขึ้นมาเพื่อมีประสบการณ์อย่างเป็นเอกเทศเท่านั้น 
  • ผมคิดว่าคำว่า “จิตวิญญาณเก่าแก่” ที่คุณแม่กล่าวถึง น่าจะเกี่ยวข้องกับส่วนของวิวัฒนาการมากกว่าที่จะเป็นลำดับชั้นของการสืบเชื้อสาย ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดเลย 
  • เพราะว่าการพัฒนาทางจิตวิญญาณ จะขึ้นอยู่กับทางเลือกอิสระของแต่ละจิตวิญญาณเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำนวนภพชาติที่มาเกิด เพื่อที่จะเลือกเลื่อนระดับตัวเองขึ้นไปสู่ระดับวิวัฒนาการที่สูงขึ้น 
  • และในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุด ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่เฉพาะสำหรับโลกเท่านั้น แต่สำหรับจักรวาลทั้งจักรวาล! 
  • มี “จิตวิญญาณเก่าแก่” มากๆ จำนวนหนึ่ง ที่อยู่บนโลกของพวกคุณแม่แล้ว และจะมานำทางพวกคุณแม่ไปสู่การรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่กว่า

ตอนที่ 2: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง

ข้อความสื่อสารทางโทรจิตจาก Matthew Ward
เรื่อง: OUR COSMIC HERITAGE (ลำดับชั้นทางจิตวิญญาณในเอกภพของเรา)

ที่มา: บางส่วนจากหนังสือ Revelation For A New Era
ผู้เขียน และ ผู้รับการสื่อสาร: นาง Susanne Ward

ตอนที่ 2: 


  • ตอนนี้ เราจะวกกลับมาที่จุดกำเนิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระผู้สร้างได้แบ่งภาคตัวเองออกมาเป็นครั้งแรกแล้ว ส่วนที่ถูกแบ่งภาคออกมาแต่ละส่วนนั้น ก็จะอยู่ในอาณาเขตของลำดับชั้นทางจิตวิญญาณชั้นแรกสุด ที่มีแสงสว่างและความบริสุทธิ์อันสมบูรณ์แบบ และพวกเขาก็จะมีพลังอำนาจเสมอเหมือนกับพระผู้สร้างทุกประการ 
  • อาณาเขตนี้คืออาณาเขตแห่งแสงสว่างอันวิสุทธิ์ (Christed Light) ที่ๆท่านมหาเทพไมเคิล (Archangel Michael) และมหาเทพองค์อื่นๆบังเกิดขึ้น แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังคงดำรงอยู่ในรูปแบบของความตระหนักรู้อันบริสุทธิ์ เป็นเวลานานแสนนานเกินกว่าจะประมาณได้ 
  • จนกระทั่งพระผู้สร้างได้มอบของขวัญอันสูงสุดให้แก่ทุกๆส่วนที่แบ่งภาคออกมาจากพระองค์ คือให้มีอิสระในการ “ร่วมกันสรรสร้าง” (Co-creating) ด้วยพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วในแต่จิตวิญญาณ ที่เรียกว่า “ร่วมกันสรรสร้าง” ก็เพราะว่าแหล่งกำเนิดของพลังงานที่จะผลิตสิ่งต่างๆออกมา มาจากพระผู้สร้าง 
  • ส่วนผลิตผลที่ได้ จะมาจากความคิดของจิตวิญญาณเหล่านั้น เพราะฉะนั้น เหล่ามหาเทพทั้งหลาย จึงได้ร่วมกับพระผู้สร้าง สร้างอาณาเขตแห่งเทพชั้นที่สองขึ้นมาอีก และแม้ว่าอาณาเขตนี้ จะไม่อยู่ใกล้กับจิตของพระผู้สร้างมากเท่ากับอาณาเขตแรกของพวกมหาเทพก็ตาม แต่จิตวิญญาณรุ่นที่สองนี้ ก็ประกอบไปด้วยแสงสว่างอันบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน และก็ปราศจากรูป หรือ สสารใดๆโดยสิ้นเชิง
  • หลังจากที่ได้พากันไตร่ตรองอยู่นานแสนนาน อาณาเขตแห่งเทพทั้งสอง ก็เกิดความคิดที่จะร่วมกันสร้างจิตวิญญาณที่มีศักยภาพแห่งความมีรูปกายขึ้นมาเพราะว่าพวกเขา (จิตวิญญาณระลอกที่ 3 - ผู้แปล) สามารถเลือกที่จะดำรงอยู่ในรูปแบบของความเป็นอรูปเหมือนเดิมก็ได้ หรือจะเนรมิตรูปกายขึ้นมาใช้ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์การเรียนรู้ของตนเองก็ได้ 
  • จิตวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาในอาณาเขตที่ 3 นี้ คือเทหะวัตถุทั้งหลาย ที่มีอยู่ทั่วทั้งจักรวาล รวมถึงเทพบุตร และเทพธิดาต่างๆ ผู้ที่สามารถเลือกที่จะดำรงอยู่ในความเป็นอรูปดังเดิมหรือจะอยู่ในรูปกายของชายหรือหญิงก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง จิตวิญญาณเหล่านี้ไม่มีเพศ พวกเขามีความสมดุลด้านพลังงานของทั้งเพศหญิงและเพศชาย 
  • ตามที่พวกเราเข้าใจ จิตวิญญาณในอาณาเขตนี้ ที่พระผู้สร้างได้เลือกให้เป็นผู้ปกครองจักรวาลทั้งหลายจะอยู่ในรูปแบบอรูป แต่พวกเขาก็อาจจะแสดงความมีตัวตนอยู่ของพวกเขาออกมาให้เห็น
  • เป็นแสงสว่างสีขาว-ทองที่เจิดจ้ามากๆ จนแทบจะมองไม่เห็นก็ได้ แต่พลังอำนาจ และความคิดแห่งการสรรสร้าง อันไร้ขีดจำกัดของพวกเขา ก็ปรากฏอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ภายในจักรวาลของพวกเขาเอง 
  • หนึ่งในเทพบุตร/เทพธิดาแห่งอาณาเขตที่สามนี้ ก็คือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลของเรา เพราะว่ารูปธรรมชีวิตนี้ ได้ร่วมกับพระผู้สร้าง สร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ขึ้นมา แต่เพราะว่าเทพบุตร (god) ของพวกเรา ถูกศาสนาบางศาสนาเรียกว่า “พระเจ้า” (God) 
  • เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงเรียกท่านว่าพระเจ้าตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ผมก็จะเรียกท่านว่าพระเจ้าด้วยเหมือนกันนะครับคุณแม่
  • พระเจ้าคือพลังงานที่ผสมผสานระหว่างพลังงานของทั้งเพศหญิงและเพศชายเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น คำว่าพระบิดาเจ้า/พระมารดาเจ้า น่าจะเป็นชื่อเรียกที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของท่านมากที่สุด 
  • แต่บนโลกของพวกคุณ ชาวโลกมักเรียกท่านว่า “พระบิดา” เฉยๆ และเวลากล่าวถึงท่านก็มักจะใช้สรรพนามสำหรับเพศชายด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพลังงานของเพศชาย เป็นเพศที่ปกครองอารยธรรมต่างๆ ของโลกมานานนับพันๆ ปีแล้วนั่นเอง แม้ว่ามันจะมีพลังงานของเพศหญิง หรือของเทพธิดา จะถูกสาดส่องลงมายังดาวเคราะห์โลกอย่างมากมายอยู่ด้วยก็ตาม 
  • เพราะฉะนั้น เพื่อให้ง่ายแก่การสื่อสาร ผมจึงจะใช้สมญานามแทนท่านเสมือนหนึ่งว่าท่านเป็นเพศชาย อย่างที่พวกคุณแม่คุ้นเคยก็แล้วกันนะครับ


ตอนที่ 1: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง



ตอนที่ 1: ลำดับชั้นของพระผู้สร้าง (HERITAGE OF CREATOR)

Matthew: 


  • ถ้าหากอยากจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของชีวิตเรา เราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระผู้สร้าง (The Creator) 
  • ซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในเอกภพก่อน หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็อาจจะบอกว่า
  • มันเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก เพียงแต่ว่าต้นกำเนิดของจิตวิญญาณของพวกเราที่เกิดมาจากพระผู้สร้าง มันอธิบายได้ไม่ง่ายแบบนั้นเท่านั้นเอง


  • พลังงานของพระผู้สร้าง/สรรพสิ่ง คือแสงสว่างแห่งความรักอันบริสุทธิ์ และมันก็เป็นพลังงานที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในเอกภพด้วย 



  • (คำว่าพระผู้สร้าง/สรรพสิ่ง (Creator/Creation) คือสมญานามของความเป็นทั้งหมด (Totality) หรือแหล่งกำเนิด (Source) หรือความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง (Oneness of All)) 
  • สมญานามนี้ ยังเป็นชื่อที่มีความหมายครอบคลุมและหมายรวมถึงทั้งแก่นสารทั้งหมดของแหล่งกำเนิดสูงสุดนั้น และการสรรสร้างที่สิ่งนั้นกระทำเข้าไว้ด้วยกันแล้ว แต่เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร ปกติพวกเราจะเรียกว่า “พระผู้สร้าง” เฉยๆ
  • ก่อนหน้าที่จะมีพระผู้สร้าง มันไม่มีอะไรอยู่เลย ยกเว้นแต่พลังอำนาจที่หลับใหลอยู่ของพระผู้สร้างเท่านั้น 
  • จนกระทั่งมันได้แสดงออกถึงความเป็นแก่นแท้ของตัวมันเองออกมาเป็นครั้งแรก ในชั่วขณะนั้นเอง ที่บางคนเรียกว่า “บิกแบง” (Big Bang) ส่วนที่แตกออกมาจากความรัก, ภูมิปัญญา และพลังอำนาจของพระผู้สร้าง คือจิตวิญญาณรุ่นแรก 


  • คำว่า “ส่วนที่แตกออกมา” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงส่วนที่แยกย่อยออกมา หรือส่วนที่แตกแยกออกมาจากชิ้นส่วนทั้งหมด แต่หมายถึง ส่วนที่ถอดแบบออกมาจากต้นแบบ ที่มีคุณลักษณะทั้งหมด หรือส่วนประกอบทั้งหมดเหมือนกันกับต้นแบบทุกประการ


  • และจากการสรรสร้างอย่างฉับพลันทันทีในครั้งนั้น จิตวิญญาณรุ่นแรก และทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ทั่วทั้งเอกภพนี้ ล้วนไม่อาจแบ่งแยกออกจากพระผู้สร้างได้ และก็ไม่อาจแบ่งแยกออกจากกันและกันได้ 


  • ในระดับจิตวิญญาณแล้ว ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว และก็จะเป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร


  • แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะหาอะไรที่คล้ายคลึงกับความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ไม่ได้เลย ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ดีที่สุด ที่จะทำให้พอมองเห็นภาพได้ เท่าที่ผมนึกออกในตอนนี้ก็คือ ลองจินตนาการว่าลำดับชั้นทางจิตวิญญาณของพระผู้สร้างมีลักษณะเหมือนขนมพายชิ้นกลมๆ ชิ้นหนึ่ง 

  • โดยที่พายทั้งชิ้นนี้ เราจะสมมุติว่าคือจิตวิญญาณของพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นความเป็นทั้งหมดที่มีพลังอำนาจไม่มีที่สิ้นสุด (Omnipotent Totality) และเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ตรงกลางชิ้นพาย ก็จะเป็นจิตของพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นสัพพัญญูจิต ที่รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง 
  • จากนั้นให้ลองจินตนาการต่อไปว่ามีวงแหวนกลมๆจำนวนมากมาย เรียงซ้อนกันออกมาจากจุดศูนย์กลางของชิ้นพายเป็นชั้นๆตามแนวรัศมี ซึ่งวงแหวนเหล่านี้ หมายถึงอาณาเขตของลำดับชั้นทางจิตวิญญาณ ที่ถอดแบบออกมาจากพระผู้สร้าง
  • มาถึงตรงนี้จะเป็นการจินตนาการแบบไม่ปกติธรรมดาแล้วนะครับ เพื่อให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ให้จินตนาการต่อไปว่า ชิ้นพายชิ้นนี้ ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆตามแนวรัศมี จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ว่าด้านที่กว้างที่สุดของชิ้นเล็กๆพวกนี้ ให้อยู่ติดกับจุดศูนย์กลางของชิ้นพาย 
  • ซึ่งหมายถึง จิตที่ไร้ขีดจำกัดของพระผู้สร้าง ส่วนด้านนอกของชิ้นพายเล็กๆพวกนี้ จะค่อยๆเรียวเล็กลงไปเรื่อยๆ ตามระยะห่างจากจุดศูนย์กลางที่เพิ่มมากขึ้น 
  • ชิ้นพายเล็กๆพวกนี้ หมายถึงจิตวิญญาณแต่ละดวงที่ถอดแบบออกมาจากพระผู้สร้างนั่นเอง และทุกๆชิ้นก็จะประกอบไปด้วยส่วนประกอบทุกอย่างที่เหมือนกัน และในสัดส่วนเดียวกันกับพายทั้งชิ้นด้วย และก็ไม่มีชิ้นไหนเลย ที่จะแบ่งแยกออกจากกันได้ มันเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดทั่วทั้งอาณาจักรของพระองค์