วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

620. กลับสู่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

620. กลับสู่ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม
  • หน้าที่ของมนุษย์ จะต้องหาหนทางไปสู่การรู้แจ้งให้จงได้ สู่การหลุดพ้นคืนถิ่นกำเนิด จึงต้องมีกายสะอาด ( กายศักดิ์สิทธิ์ ) จิตสำนึกบริสุทธิ์ ( จิตศักดิ์สิทธิ์ ) วิญญาณถึงจะมีพลังจนสามารถเปิดบานประตูระหว่างมิติ ( ประตูวิญญาณ ) ที่เร้นอยู่กับต่อมบริเวณหน้าผากสู่อิสรภาพได้ เพราะประตูบานนี้คือช่องทางเข้าออกของพลังงานที่มีความไวสูงมาก
  • วิญญาณนั้นก็จะมีพลัง สามารถละออกจากกายหยาบ เคลื่อนตัวออกมาภายนอกสู่โครงข่าย สนามแม่เหล็กโลก จนสามารถเข้ารวมกับจิตจักรวาลที่เป็นแก่นแท้ของตนคืนสู่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ของจิตวิญญาณได้ คือ สามารถ " หลุดพ้น " ได้ หรือสามารถทำให้จิตเป็นอิสระจากกายได้

ทำอย่างไร?
  • ๑.. นึกนำจิตของตนไปไว้ที่หัวใจ . จูงจิตของตนเองจากหัวใจไปสู่ต่อมไพนีล บริเวณกลางหน้าผาก แล้วทำให้ต่อมไร้ท่อนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ด้วยพลังงานด้านบวกของจิตนั้น " ประตูวิญญาณ " หรือบานประตูแห่งมิติจะถูกเปิดออก
  • ๒. ให้นึกนำจิตต่อไปยัง กลางหน้าผาก แล้วให้จิตจูงวิญญาณออกมา สู่ประตูแห่งมิติที่ต่อมไพนีลตรงกลางหน้าผาก ซึ่งถูกเปิดอ้าไว้แล้ว วิญญาณของผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากกายได้ในทันที
  • ๓.เมื่อวิญญาณได้รับการปลดปล่อย มีทางเลือก ๒ ทาง
    • ทาง๑... จะเข้าสู่การหลอมรวมกับ จิตพระเจ้า ที่ไร้กาย ในอาณาจักรพระเจ้าจิตสำนึกดีงาม
    • ทาง๒ ต้องการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป กลายเป็น " คุรุ " เพื่อช่วยชี้ทางแก่เพื่อมนุษย์อื่น ๆ สู่การหลุดพ้นต่อไป
  • ปัจจุบันนี้ มีกลุ่มรูปธรรม ที่มีจิตวิญญาณชั้นสูง เดินทางมาจากกลุ่มดาวต่าง พวกเขา สามารถสลายกายหยาบของตนสู่มิติพลังงาน และรวมมวลพลังงาน สู่กายหยาบได้ พวกเขากำลังส่งกระแสความคิด มาสู่มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ทำกรรมดีๆ มีพลังบวก เพื่อให้จักรวาล มีความสมดุลน่าอยู่ บางทีมาทางจานบิน มาทางคลื่นความคิดผ่านจิตมนุษย์
  • ***...อนึ่ง..ในความเห็นส่วนตัว ถ้าเราจะให้ความหมายของ”จิตจักรวาล” คือ “พระเจ้า” คือ “พระจิต” คือ “จิตสำนึกร่วมแห่งความดีงาม” ก็ไม่ผิดอะไร ทุกคำพุดล้วนเป็นคำสมมุติ ขอเพียงเป็นสมมุติที่ดีงาม ทำให้ทุกคน มีจิตสำนึกดีงาม มีเมตตา มีความรัก นั่นคือ “พรหมวิหาร๔” จะเป็นไรไป เมื่อมีเมตตา ความรัก ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั่นคือ “ศีล” ทั้งพรหมวิหาร และ ศีลล้วนเป็นธรรมเกื้อกูลโลกและจักรวาล ล้วนเป็น”กุศลธรรม” ย่อมมีวิบากเป็นกุศล
  • .....ดังนั้นถ้า”พระเจ้า” คือ “จิตสำนึกดีงาม” เราทุกคนล้วน”มีพระเจ้าอยู่ในตัว” ที่ท่านคอยกระซิบให้เราทำดี ไม่เบียดเบียนผู้ใด สำคัญที่เราได้ฟังเสียงกระซิบของพระเจ้าหรือไม่ หรือ ฟังแต่เสียงบอกของมารและซาตาน..เมื่อเราทำตามกระแสจิตสำนึกดีงาม หัวใจเราคือพระเจ้า..ใยต้องกลัวพระเจ้า..ใยต้องแบ่งแยกศาสนา..เมื่อพระเจ้าคือความดีงาม และเราทุกคนก็คือพระเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่เรา..ไม่ตื่นรู้ เท่านั้นเอง.

  • .@@...พระเจ้าล้วนมีความเมตตา ความรัก มีภารกิจในการเกื้อกุลสรรพสิ่ง ให้เกิดความสมดุล คล้ายดังกิจ”โพธิสัตว์” เพียงแต่ไม่มีร่างกายหยาบเท่านั้น เป็นเพียงคลื่นจิตที่กระจายเต็มจักรวาล
  • &&….สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว นอกจากพระองค์จะมีมหาเมตตา มหากรุณา ยังมีมหาบริสุทธิ์ เลยและหลุดพ้นจากความเมตตาความรักสากลไปอีก เพราะพระพุทธองค์ไม่มีตัวตน ไม่มีกิจ ไม่มีกรรม ที่จะชำระกับใครอีกแล้ว พระพุทธองค์เป็น”โลกะวิทู” เป็นผู้ประเสริฐ หลุดพ้นจากทุกสิ่ง หลุดพ้นจากจิตจักรวาล แต่ดำรงอยู่อย่างไร้ที่อยู่
  • **..เมื่อเราวางจิตได้เช่นนี้ จะเป็นพระเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ล้วนดีงาม ของเพียงอย่าเดินตามกระแสแห่งมารและซาตาน กระแสแห่งความชั่วร้าย เราทุกคนล้วนมีความหวัง ได้กลับคืนสู่บ้านเกิด จะเป็นบ้านของ”พระเจ้านิจนิรันดร์” หรือ บ้านพระนิพพานที่ไร้กาลเวลา ตลอดอนันตกาล ก็อยู่ที่บารมีและเจตนาแห่งจิตเราเองแล้ว สาธุ

  • มีผู้อ่านบางท่านติเตียนข้าพเจ้า ว่าจะพาคนไปหลงทางจากพุทธศาสนา..ถ้าท่านผู้นั้นได้อ่านงานเขียนของข้าพเจ้ามาย่อมรุ้ว่า ข้าพเจ้าเป็นเช่นไร ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักศึกษา มิใช่ผุ้รู้หลวงปู่ครูอาจารย์ เพียงเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพื่อยังประโยชน์ทางศีลธรรมยังกุศลในจิต..
  • ข้าพเจ้าพูดคำว่า"พระเจ้า" มันผิดมากเลยหรือ เมื่อพระเจ้า ในความหมายข้าพเจ้า คือความดีงาม ความรัก ความเมตตา เป็นจิตสากลที่มีในจิตทุกคน จะใช้คำว่า พระเจ้า พระจิต จิตหนึ่งฏิฐิจิต จิตเดิม ล้วนเป็นคำสมมุตุิ ขอแต่เป็นสิ่งที่ไม่ทำร้ายใคร ไม่เบียดเบียนใคร ใยต้องกลัว... ..
  • ดอกไม้มีหลายสีสัน หลายพันะ์ขึ้นอยู่แต่ละพื้นทีไม่เหมือนกัน ความแตกต่างคือความงดงามของสีสันดอกไม้ ขอเพียงดอกไม้นั้นเราไม่ได้เอาไปทำร้ายใคร ย่อมมีคุณค่าในตัวเอง..
  • ถ้าเราเข้าถึงความเป็นพุทธะจริง.เราจะไม่แบ่งแยกศาสนา ไม่แบ่งแยกความศรัทธา..เพราะเราเข้าใจในความแตกต่างและทุกสิ่งที่จริงแล้วคือหนึ่งเดียวหาแบ่งแยกไม่....
  • ข้าพเจ้าเปิดจิตเรียนรู้หลายครูอาจารย์..โดยเฉพาะคำสอนครูอาจารย์ที่ท่านยกมาอ้างบ่อยๆคือ คำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล คำสอนของฮวงดป เหว่ยหลาง ที่ข้าพเจ้านับถือเคารพยิ่ง..
  • ท่านผู้อ่านท่านนั้นยังอ่านข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่จบเลย ก็ด่วนตัดสินแล้ว..
  • ไม่เป็นไรหรอก..ข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้อ่านมีปัญญา มีวิจารณญานเพียงพอว่า..เจตนาของข้าพเจ้าคืออะไร..สาธุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น