วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

562.. อัศจรรย์อภิญญา..หลวงปู่สรวง..ผู้อยู่เหนือกาล

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง

562.. อัศจรรย์อภิญญา..หลวงปู่สรวง..ผู้อยู่เหนือกาล
บทหนึ่ง ปฏิปทา..หลวงปู่สรวง..เทวดาเล่นดิน

  • แม้ข้าพเจ้า จะเคยลงเรื่องราวหลวงปู่สรวง ออยเตียรสรูญ ฉายา “เทวดาเดินดิน ,เทวดาเล่นดิน” มาบ้างแล้ว แต่เป็นบางส่วน ..เพราะจิตได้สัมผัส...ย่อมผูกพัน..ย่อมนับถือ.ย่อมยกย่อง.. ย่อมเชิดชู..ในความดีงาม มีบางท่าน บอกว่า “อภินิหารไม่ใช่ทางหลุดพ้น” ....ใช่..ทุกคนทราบ..และทราบต่อไปว่า...”ความหลุดพ้น ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้มีอภิญญา เช่นเดียวกัน..
  • .บางท่านปารถนานิพพานชาตินี้..มีเสบียง(บารมี๑๐) พร้อมหรือยัง..ได้ออกเดินทางหรือยัง บางท่านปารถนานิพพานในยุคพระศรีย์ หรือ ยุคในยุค อนาคพุทธวงค์..และบางท่านนอกจาก..จะยังไม่ปารถนานิพพานชาตินี้แล้ว..ยังปารถนาเป็นผู้นำสรรพสัตว์เข้าพระนิพพานในยุคของตนด้วย...ทุกเส้นทาง.ล้วนดีงาม..ล้วนน่ายกย่อง..บางครั้ง ๑+๑ อาจไม่ใช่ = ๒ และ ๒+๒ อาจไม่เท่า ๔ ก็ได้...หรือ ๒+๒ = ๑ ดุจกองทราย ๒ กอง มารวมกับ ๒ กอง ใช่ว่า..จะเป็น ๔ กอง เหมือนที่รู้มา อาจกลายเป็น ๑ กอง เท่านั้น...
  • หลายท่าน มีปัญญา จากการอ่าน ,คิด,จำ ได้ดีมาก ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นยังเป็นปัญญาจากสัญญา ยังไม่แจ้งในธรรม ยังไม่ตกกระแสธรรม ยังมิได้ฆ่ากิเลส และยังมิใช่”ปัญญาจากการภาวนา” จึงมักได้ยินคำพูดว่า
  • ” ผมไม่ติดอะไร ผมไม่ติดฤทธิ์ ไม่ยึดอะไร มันไม่มีอะไร มันแค่สมมุติ ผมผ่านหมดแล้ว..ผมวางหมดแล้ว” คำพูดนี้ ที่จะพูดได้จริง คือ ..พระอรหันต์เท่านั้น..นอกนั้นพูด..ล้วนแล้วไม่จริงเพราะคนที่พูด ยังติดในคำว่า”ไม่ติดอะไรเลย” ..นั่นแหละตัวติดเลย.. (อัตตา) เป็นอัตตาผสมความอหังการ์ +มานะสูง..และแกะออกยากด้วย..เพราะคนพูด..จะคิดว่า..ตัวเองรู้ดี ฉลาด..จะไม่ฟังใคร..มีความกระด้างในความรู้

..บางครั้งได้ยินคำพุดว่า
“ ผมยึดแต่คำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้น คำสอนผู้อื่นผมไม่เชื่อใครทั้งนั้น”
  • คำพูดแบบนี้ ยิ่งเสี่ยงในการปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นไปอีก เพราะพระอริยะเจ้าอริยะสงฆ์ ล้วนเดินตามคำสอนพระพุทธเจ้า จนจิตบรรลุธรรม จิตบริสุทธิ์เหมือนกับพระพุทธองค์..เป็นเนื้อนาบุญ ในการถ่ายทอดธรรมที่พระพุทธองค์ เขาจะนับถือแต่พ่อที่บริสุทธิ์ มิเชื่อในบุตรอริยะแห่งพระพุทธองค์ แสดงว่า..เขาไม่ได้ซึ้งในจิตพระพุทธเจ้าจริงๆ .. ยังมีการแบ่งแยก และ ปรามาสพระรัตนตรัยด้วย...พระรัตนตรัยมี ๓ มิใช่มี ๑ และ ท้ายสุด ๓ และ ๑ รวมเป็นหนึ่งเหมือนกันหมด...
  • . เรื่องราวที่อัศจรรย์ เหนือเหตุผล ..ไม่ใช่ว่า..จะไม่มี.. ถ้าสิ่งอัศจรรย์นั้น ทำให้ “จิตเราตื่น” ศรัทธา นอบน้อม ทำให้จิตชุ่มชื้นมิแห้งแล้ง ทำให้จิตเราจำได้ง่ายขึ้น..นั่นคือ “อนุสสติ” เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน” เป็นสิ่งดีงาม และเป็นฐานของการเดินปัญญาต่อไป..

+..ปฐมบท..+
  • ....ในสายตา ของชาวบ้าน มองหลวงปู่เป็นผู้มีคุณวิเศษ และเรียกขานท่านว่า “ลูกตาเบ๊าะ” (เป็นภาษาเขมร หมายถึงพระดาบสที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำตามป่าเขา) มีอายุหลายร้อยปี ชาวบ้านรุ่นปู่อายุ ๘๐-๙๐ ปี ก็บอกว่า เห็นหลวงปู่สรวงตั้งแต่ตัวเองเป็นเด็กๆแล้ว หน้าตาหลวงปู่ไม่เปลี่ยนเลย
  • ...จริงแล้วท่านเป็นเชื้อเจ้าพระเจ้าชัยวรมันพระองค์หนึ่ง(กษัตริย์ในยุคขอมเรืองอำนาจ) บางคนเชื่อว่าท่านคือขรัวขี้เถ้าหนึ่งในคณะโลกอุดรที่ร่ำลือกัน ถ้านับอายุจริงหลวงปู่สรวงตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่๑ เป็นต้นมา จนถึงวันละสังขารที่เมืองไทย ในปีพ.ศ. ๒๕๔๒อายุหลวงปู่ต้อง ๒,๐๐๐ กว่าปี ขึ้นไป
  • ..-มีวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้หยิบพระหลวงปู่ซวง(ปู่สรวง) รุ่น “จำพรรษาทั่วจักรวาล” มาดู ตอนนั้นอยู่กับผู้มีอภิญญาจิตขั้นสูง ..เห็นลำแสงใหญ่ดุลลำไฟฉาย พุ่งออกจากองค์พระ..ไม่มีสิ้นสุด ....เห็นภาพหลวงปู่สรวง เป็นภาพหลวงปู่ห่มจีวรสีเหลืองผสมกับผ้าสีขาว..ท่านนั่งเฉย..ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า” หลวงปุ่ใช่อยู่ในกลุ่มเทพโลกอุดรหรือไม่ ครับ”? หลวงปู่ตอบว่า.”ก็ทำนองนั้น”
  • หลวงปู่มีวัตรปฏิบัติไม่เหมือนใคร ท่านอยู่กับดินตลอด ท่านอาบน้ำ ก็ตักเอาทรายเอาดินขึ้นอาบ ป่วยก็กินดิน แต่ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นคือ ทรายที่ท่านใช้อาบนั้น นานวันไปกลับขึ้นเกล็ดแก้วเป็นประกายระยิบระยับ ดุจพระธาตุ (พลังจิตซักฟอกธาตุแปรสภาพเป็นพระธาตุ)
  • ถ้านำมาทำเป็นพระเครื่องก็จะมีพระธาตุเสด็จมาเกาะหรือเนื้อมวลสารขององค์พระจะงอกออกมาให้เห็นของต่างๆที่ผ่านมือผ่านสัมผัสจากหลวงปู่สรวงจะแปรสภาพเป็นพระธาตุหรือได้รับพลังงานอันเร้นลับทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพทางรักษาโรคหรือให้ความคุ้มครองได้อย่างน่าอัศจรรย์
  • …บางวันหลวงปู่ ไปนั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตั้งครึ่งวัน จนลูกศิษย์ต้องดำน้ำลงไปดู ภาพที่เห็น” หลวงปู่นั่งบนขอนไม้ใต้แม่น้ำ แต่ตรงรอบกายหลวงปู่เป็นวงกลมมีแต่อากาศ(ทำกสิณน้ำเป็นกสิณอากาศ)
  • ...แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าชอบเป็นพิเศษ..คือ..หลวงปู่ไม่เคยทำวัตรเช้า วัตรเย็น แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง..ที่ท่านนอนในเปลที่ผูกกับต้นไม้ไว้บนเขา..นอนท่องมนต์ออกมา เหมือนร้องเพลง เป็นภาษาที่ไม่มีในโลกนี้... เป็นเสียงโหยหวน..วังเวง..ในความเงียบสงัดแล้ว กลุ่มต้นไม้ในภูเขาก็ไหวโอนเอน..ไปตามเสียงสวดดุจนักระบำ มีแสงเป็นดวงกลมๆ ลอยอยู่ตามต้นไม้หลายต้น..รอบๆตัวท่าน..พอหลวงปู่สรวงหยุดสวด..ต้นไม้ทุกต้นหยุดไหวเอน แล้วดวงไฟก็ลอยหายไปขึ้นสู่เบื้องบน...

(ติดตามต่อ บทสอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น