วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เกิดอะไรขึ้นในวิกฤต 2540

เกิดอะไรขึ้นในวิกฤต 2540? SET ลงจาก 1,789 เหลือ 204

เกิดอะไรขึ้นในวิกฤต 2540? SET ลงจาก 1,789 เหลือ 204

1,789 จุดคือจุดสูงสุดของตลาดหุ้นไทยที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคมปี 2537
หลังจากนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ทำให้ตลาดหุ้นตกลงไปตํ่าสุดที่ 204 จุดในเดือนสิงหาคมปี 2541
ตลาดหุ้นตกจากจุดสูงสุดถึง 88.5% ภายในระยะเวลา 5 ปี
เงินลงทุน 10 ล้านบาทจะเหลือที่ประมาณ 1,150,000 บาท หากจะกลับไปเท่าทุนเหมือนเดิมที่ 10 ล้านต้องทำผลตอบแทนให้ได้ถึง 870%  หรือประมาณเกือบ 9 เด้ง
คำถามคือแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในปี 2540? ในฐานะนักลงทุนเราจะป้องกันได้ไหม? แล้วเราควรจะทำอย่างไรเมื่อเจอวิกฤต? มาดูภาพรวมของประเทศไทยในอดีตกันก่อน
ปี 2530 – 2539 อัตราการเติบโตเฉลี่ย 10 ปีของ GDP ประเทศไทยสูงถึง 9.4% อัตราการเติบโตของการส่งออกอยู่ที่ 14.5% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.7% อัตราส่วนเงินลงทุนต่อ GDP เพิ่มจาก 27% ในปี 2530 เป็น 41% ในปี 2539 การลงทุนที่สูงขึ้นและการเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศซะเป็นส่วนใหญ่
รัฐบาลเองด้วยนโยบายที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub ของ Asia ได้ทำการปฏิรูปภาคการเงินของไทย
ในปี 2533 รับพันธะสัญญาข้อที่ 8 ของไอเอ็มเอฟ  เพื่อเปิดเสรีทางการเงินของไทยสู่สากล
ในปี 2536 รัฐบาลอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (Bangkok International Banking Facilities : BIBF) ให้ธนาคารไทยกู้เงินต่างประเทศมาปล่อยกู้ในประเทศได้ และนี่คือจุดเริ่มต้นของวิกฤตปี 2540
ผลของการเปิดเสรีครั้งนี้ ทำให้เงินสามารถไหลเข้าออกประเทศได้อย่างสะดวกโดยไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเลยเพราะตอนนั้นประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ๆ 25 บาทต่อดอลลาร์ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วประมาณ 8.6% ต่อปี ธนาคารเห็นช่องทางในการทำกำไรอย่างรวดเร็วด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศมา ปล่อยกู้ภายในประเทศ

การปล่อยกู้ในประเทศจะทำให้ธนาคารได้กำไรมหาศาลทันทีเนื่องจากดอกเบี้ยที่ได้มาจากต่างประเทศถูกกว่าดอกเบี้ยในประเทศมาก ดังนั้นสถาบันการเงินจึงทำทุกวิถีทางเพื่อปล่อยกู้ให้ได้มากๆ
เศรษฐกิจก็เลยเติบโตจาก Easy credit หรือเงินกู้ที่ได้มาง่ายๆ การวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินผู้กู้เป็นไปอย่างหละหลวม ธนาคารในประเทศเริ่มแข่งขันกันอย่างสูงในการปล่อยสินเชื่อจนทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ของอุตสาหกรรมลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 5-7% สภาพคล่องล้นมากๆๆ
เมื่อเงินกู้ได้มาง่ายแทนที่ผู้ประกอบการจะเอาไปลงทุนในกิจการ จะเอาไปลงในกิจการทำไม? กว่าจะได้กำไรกลับมามันช้า เอาไปเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์,ที่ดินหรือซื้อหุ้นดีกว่า รวยง่าย รวยเร็ว ไม่ต้องเหนื่อยดีกว่ากันเยอะ ยิ่งนำไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ ยิ่งดันราคาสูงขึ้นไปอีก
ผลเสียที่เกิดขึ้นคือกระทบศักยภาพการแข่งขันในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกของประเทศเพราะต้นทุนในการทำธุรกิจโดยรวมจะสูงขึ้นทันที ทำให้เกิดปัญหาใหญ่เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งเก็งกำไรในสินทรัพย์มากขึ้นยิ่งทำให้การทำธุรกิจได้ผลตอบแทนตํ่าลงเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากลงทุนขยายธุรกิจแม้เศรษฐกิจจะเติบโต จำนวนมากเอาเงินกู้ที่ได้ไปเก็งกำไรที่ดินหรือหุ้นแทนกลายเป็นวงจรหายนะที่ไม่มีวันจบ
ด้วยส่วนต่างดอกเบี้ยของต่างประเทศกับในประเทศสูงมาก ทำให้เริ่มมีธนาคารกู้ระยะสั้นมาปล่อยในประเทศ เพราะแม้จะกู้ระยะสั้นที่ดอกเบี้ยสูงขึ้นแต่ดอกเบี้ยในประเทศก็ยังสูงกว่า ก็ยังกำไรอยู่ดี (ในปี 2559 กว่าครึ่งของหนี้สินต่างประเทศของสถาบันการเงินเป็นหนี้สินระยะสั้น) โดยสมมุติฐานที่ทำกำไรได้ตรงนี้ไม่ได้เอาความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไปคิดเพราะยังไงก็ตรึงไว้ให้คงที่อยู่แล้ว
ในปี 2537 IMF กังวลกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ของไทยและแนะนำให้ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ไทยปฏิเสธเพราะตอนนั้นเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งมาก กลัวว่าเปลี่ยนระบบไปแล้วเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นส่งผลเสียต่อการส่งออก
จนถึงปี 2539 เศรษฐกิจก็ยังโตขึ้นไปได้เรื่อยๆแต่มีจุดสังเกตคือ GDP เติบโตน้อยลงจาก 8% เหลือ 5% การส่งออกเริ่มเติบโตติดลบเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี  ในปี 2536-2539 กระแสการไหลเข้าของเงินลงทุนประเภท FDI ซึ่งเป็นการลงทุนใน Productivity ของประเทศลดลงเหลือเพียงเฉลี่ย 0.8% ของ GDP แล้วเงินต่างประเทศที่ไหลเข้าไทยเยอะๆไปอยู่ไหน? กว่า 7.3% ของ GDP ไปอยู่กับสถาบันการเงินเอาไปปล่อยกู้ให้นักลงทุนในประเทศซึ่งเอาเงินไปเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์, ที่ดิน และหุ้น แต่สุดท้ายการเก็งกำไรก็จบลงช่วงต้นปี 2559

ในเดือน กรกฎาคมของปี 2539 SET เริ่มตกลงไปทำจุดตํ่าสุดใหม่ในรอบ 3 ปีทะลุ 1,223 จุด โดยณ.จุดนี้ SET ตกลงมาจากจุดสูงสุดที่ 1,789 จุดในปลายปี 2536 คิดเป็นการลดลงแล้วถึง 31%
เมื่อศักยภาพของประเทศลดลง การลงทุนเริ่มผิดพลาด นักลงทุนเริ่มจ่ายหนี้ไม่ได้ก็เริ่มมีหนี้เสีย NPL เริ่มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจาก 7.7% ในปี 2538, 13% ในปี 2539, 22.6% ในปี 2540 เหล่าสถาบันการเงินก็รู้ตัวแต่ไม่กลัวเพราะคิดว่ายังไงยังไงซะรัฐบาลจะไม่ยอมปล่อยให้ล้มกันหมดแน่นอน เดี๋ยวก็ต้องเข้ามาช่วย เจ้าหนี้ต่างประเทศเริ่มสังเกตเห็นสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะมีแนวโน้มหนักขึ้นเรื่อยๆ
จากนโยบายการเงินที่เปิดอย่างเสรีและอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ทำให้เกิดช่องว่างให้ต่างชาติสามารถเข้าโจมตีค่าเงินบาทได้ จึงเริ่มมีการโจมตีค่าเงินบาทอย่างหนักในช่วงปี 2539-2540 หลักการคือปกติจะมี Supply เงินไทยในตลาดโลกระดับหนึ่ง ถ้าธปท.อยากให้ค่าอ่อนลงก็ขายเงินไปออก อยากให้แข็งค่าก็ซื้อกลับมาของน้อยลงก็จะราคาสูงขึ้นแข็งค่าขึ้นเอง ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้วิธีซื้อขายเงินบาทในตลาดโลกเพื่อให้มูลค่าของเงินอยู่ในอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมซึ่งก็คือ 25  บาทต่อดอลลาร์ที่ตรึงไว้
หลักการโจมตีค่าเงินบาทก็ตัวอย่างเช่นต่างชาติมากู้เงินธนาคารไทยเสร็จ เอาเงินไทยไปแลกดอลลาร์กับธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท.ก็จะมีดอลลาร์ลดลงเรื่อยๆ เงินทุนสำรองร่อยหรอจนไม่เหลือดอลลาร์แล้ว แต่ยังมีคนต้องการเอาเงินไทยมาแลกอยู่ทีนี้ทำไง? ก็ต้องไปกู้ดอลลาร์มาให้เขาแลก ก็ยังมีคนมาแลกเรื่อยๆจนหมดแล้วหมดอีกกู้เพิ่มจนกู้ไม่ได้แล้ว ทีนี้นักธุรกิจจะทำการค้าต่างประเทศยังไง? ปิดบริษัทไม่ต้องทำ? ก็มีหวังเจ๊งกันทั้งประเทศหนักกว่าเดิม

สุดท้ายธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องยอมลอยตัวค่าเงินบาท จากปกติให้แลกได้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ คราวนี้บอกไม่ตรึงไว้ที่  25 แล้วเลิกๆกลายเป็น 50 แทน ต่างชาติที่เคยมากู้เงินธนาคารไทยไว้ก็กลับมาเอาดอลลาร์มาแลกเป็นเงินไทยที่ 50 เอาไปใช้หนี้ธนาคารไทยแค่ครึ่งเดียวที่เหลืออีกครึ่งเป็นกำไร แล้วเอากำไรที่ได้มาลบกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ธนาคารที่ไปกู้เงินมาตามระยะเวลาก็จะได้กำไร Net ครับ (หลักการคร่าวๆก็ประมาณนี้แต่รายละเอียดมันลึกกว่านี้ถ้าอยากอ่านก็ลองตามอ่านใน Link ด้านล่างได้ครับ)
ธนาคารแห่งประเทศไทยสู้กับนักเก็งกำไรจนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือ 2,800 ล้านจาก 38,700 ล้าน เงินทุนสำรองหร่อยหรอหมดเงิน ทำให้จำเป็นต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540

ธุรกิจในประเทศไทยที่เคยกู้เงินต่างชาติไว้เท่าไหร่ พอลอยตัวค่าเงินจาก 25 เป็นประมาณ 50 บาทหนี้ก็เพิ่ม 2 เท่าทันที คนที่กู้เงินไปซื้อที่ดินหรือเล่นหุ้นก็ขายที่ไม่ออก ติดดอยหุ้นกันถ้วนหน้า ก็ยิ่งเจ๊งหนักเข้าไปใหญ่ NPL ก็สูงขึ้นปรี๊ดๆไปสูงสุดที่ 47% ในปี 2542 สถาบันการเงินในไทยก็ยิ่งไม่ได้เงินคืนก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนไปจ่ายต่างชาติ เจ้าหนี้ต่างชาติหมดความเชื่อมั่นก็มีสิทธิเรียกเงินเพราะปล่อยกู้ไว้เป็นระยะสั้น รัฐบาลก็ช่วยไม่ได้แล้วเพราะถังแตกเหมือนกัน สุดท้ายจึงเกิดเหตุการณ์ปิด 58 ไฟแนนซ์ กระทบกับสถาบันการเงินไปทั่วโลกกลายเป็น “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ประเทศไทยขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศและกลายเป็นลูกหนี้ IMF ในที่สุด
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น SET ลงไปถึงจุดตํ่าสุดที่ 204 จุดในเดือนสิงหาคม ปี 2541 ซึ่งเป็นเดือนที่รัฐบาลได้ออกมาตรการแก้ไขหนี้และควบรวมกิจการต่างๆที่มีปัญหาเพราะเรื่อง หนี้สิน และการเพิ่มทุน

นอกจาก SET แล้วหุ้นอื่นๆก็ตกหนักมากๆเช่น
KBANK 136.24 -> 10.25
LH 41.57 -> 0.56
CPF 13.11 -> 1.33
SCC 154 -> 17.2

บทเรียนสำคัญในครั้งนี้คือต้องจำไว้เสมอว่า “งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา” แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกโดยไม่ค่อยมีคำเตือนหรือสัญญาณ “อันตราย” บอกก่อนด้วย ตอบคำถามแรกว่าวิกฤตป้องกันได้ไหม? คำตอบก็คือป้องกันได้แต่ไม่ได้ตลอดเวลา หากเราเป็นนักลงทุนในระยะเวลานานพอ

แล้วเราควรจะทำอย่างไร? สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือ “ทำใจ” เพราะถ้าเป็นนักลงทุนแล้ววิกฤตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำอย่างที่สองคือการเตรียมพร้อมตลอดเวลา ปรับสภาพพอร์ทการลงทุนให้พร้อมรับมือกับวิกฤตเสมอๆ เพราะเราจะไม่มีวันรู้ว่าวิกฤตจะมาตอนไหน บางทีณ.วันนี้เราอาจจะกำลังอยู่ในวิกฤตแล้วก็ได้เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้ตัวเท่านั้นเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม:

ติดตามเรื่องราวการลงทุนและธุรกิจดีๆได้ที่เพจ BUFFETTCODE

หากให้เลือกเจงกิสข่านกับก๊วยเจ๋ง คุณจะเลือกใคร?

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน

หากให้เลือกเจงกิสข่านกับก๊วยเจ๋ง คุณจะเลือกใคร?
  • หากชาวนาไทยเหมือนทหารมองโกล ทักษิณก็คงเป็นเจงกิสข่าน ที่ชาวมองโกลนับถือตลอดกาล ชายคงเป็นได้แค่ "ก๊วยเจ๋ง" คนที่ถูกขับไล่ออกมาจากมองโกล เพราะไม่ใช่ชาวมองโกล ชายเป็นเหมือนคนนอก คนทรยศ ที่ต้องทำเพื่อชาวฮั่น 
  • แน่นอน ชายย่อมถูกด่าว่าเป็นพวกสลิ่ม ก๊วยเจ๋งที่โง่เขลา ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อราชวงศ์ที่แสนจะทุเรศ เจ็บปวดไหม? 
  • เจ็บปวดมากเมื่อเราฉลาด เมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำไปเพื่อเขา พวกเขาไม่เคยรู้เลย สิ่งที่เราทำมันฝืนใจ เพราะต้องรับใช้คนสารเลวบางคนในราชวงศ์นั้น เจ็บปวดใจที่ต้องถูกตราหน้าเหมือนคนทรยศ เพราะเป็นพวกสลิ่ม แต่ชายอาจโชคดีที่ชายไม่ฉลาดพอที่จะรู้อะไรมาก 
  • บางครั้งความโง่ทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง เมื่อเราไม่คิดอะไร ทำไปแบบไม่ต้องคิด ใครจะเป็นยังไง ดีเลวอย่างไร ก็ช่างมัน ใครจะรักใคร ไม่รักเรา ก็ช่างเขา เจงกิสข่านนำพาสังคมมองโกลที่เคยสุขสงบ สันติสุข ที่พวกเราเคยมีความสุขอย่างเรียบง่ายอยู่ด้วยกันท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้าง ไปสู่สมรภูมิสงคราม ไม่ต่างอะไรกับทักษิณที่นำพาคนอีสานที่เคยอยู่อย่างสุขสงบไปสู่วังวนการเมือง จนทำให้สังคมมันเปลี่ยนไป แย่ลง คนอีสานที่แสนดี ใสซื่อบริสุทธิ์ ต้องกลายเป็นคนเสื้อแดงที่ดุร้าย

.... ไม่เป็นไรครับ หากคุณจะรักเจงกิสข่านมากกว่าก๊วยเจ๋ง ....
  • สิ่งที่ความรักต้องการคือ "อิสรภาพ" อยากรักเจงกิสข่านก็รักไป เป็นอิสระของคุณ ส่วนชายก็ทำงานอยู่ต่อไปอย่างคนที่ไม่มีใครรู้จักนี่ละ เพราะมันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่คนไทยต้องมารู้จักเรา คนไทยรู้จักทักษิณ ในหลวง แค่นั้นก็พอแล้ว ชาตินี้ สองคนก็พอแล้ว 
  • ชายไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขา คนอื่นๆ ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขา ในเมื่อพวกเขาเลือกแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการ หากคุณอยากเรียกร้องคนที่ตายแล้วและไม่มีวันกลับมาอีกอย่างลุงสมชาย หรือคนที่หนีคดีไปต่างประเทศ ไม่มีวันหวนคืนอย่างทักกี้ 
  • คุณยังรอ และอดทนเพื่อเขาเท่านั้น ไม่เป็นไร ชายนับถือการเลือกของพวกคุณ แม้คุณจะรู้ว่าเขาทำลายสังคมอีสานของพวกคุณจากที่สันติสุข ให้ลุกเป็นไฟ เหมือนเจงกิสข่านที่พาชาวมองโกลที่สุขสงบไปสู่สมรภูมิสงคราม รักไปเถิดครับ 
  • ชายก็เคยมีความรัก ชายเข้าใจ และชายจะไม่ไปเสนอหน้าเพื่อแย่งความรักจากใคร ชายจะทำหน้าที่ของชายต่อไปอย่างเงียบๆ และเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก คนไทยไม่ต้องมารู้จักชาย ไม่มีความจำเป็น เพราะไม่มีใครต้องการ จริงมั้ยครับ

... "ไม่อยากให้ใครลำบากใจ" ครับ ...

อดีตชาติคุณมาจากสำนักใด?

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่กลางแจ้ง
อดีตชาติคุณมาจากสำนักใด?
ดูได้จาก "อุดมการณ์ทางการเมือง" นะครับ แต่ละสำนัก แต่ละพรรคจะมีแนวทางหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันมาก ส่งผลให้ฝังลึกในจิตใต้สำนึก และสามารถแยกแยะออกได้ดังนี้

1 เส้าหลิน
  • เข้าข้างชาวฮั่น แต่ไม่หนุนให้ใครได้อำนาจ แต่จะช่วยรักษาความสงบโดยรวม โดยดูแลทั้งระดับบน (ฮ่องเต้) และระดับล่าง (ไพร่)

2 สราญรมย์
  • ต่อสู้กับสงคราม สร้างสันติสุข โดยอาศัยการแต่งงาน และสร้างสัมพันธไมตรี โดย หลีชิวสุย, ซีจุ๊ ต่างก็แต่งงานเข้าซีเซียะ

3 ช้วนจินก่า
  • ต่อสู้กับราชวงศ์เก่า หนุนราชวงศ์ใหม่ที่มาจากรากหญ้าแต่ไม่ยึดติดชาวฮั่น นิยมต่างชาติ เปิดรับต่างชาติ (มองโกล) มากกว่าฮั่น

4 กระยาจก
  • ต่อสู้กับต่างชาติ หนุนชาวฮั่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด และสนับสนุนให้ชาวฮั่นก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ ไม่กลัวสงคราม พร้อมทำสงคราม

5 ง้อไบ๊
  • ต่อสู้กับสงคราม สร้างสันติสุข โดย "ตัดไฟแต่ต้นลม" ไม่ให้เกิดการก่อการใหญ่ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ๆ และก่อสงครามภายใน

6 เม้งก่า
  • ต่อสู้กับต่างชาติเพื่อชาวฮั่น แต่เปิดรับศาสนธรรมจากต่างชาติ กล้าสู้สงคราม เพื่อก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ให้แก่ชนชาติเดียวกัน (ฮั่น)

7 บู๊ตึ้ง
  • วางตัวเป็นกลาง สร้างดุลยภาพ รักษาตัวรอดไว้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการก่อตั้งราชวงศ์ใดๆ แต่คอยช่วยทุกราชวงศ์ในเรื่องความมั่นคง

8 สุสานโบราณ
  • วางตัวเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆ หลบลี้ออกมาจากวังวนของการเมือง เป็นสำนักปฏิบัติธรรมอย่างเดียวแบบลับๆ

9 พรรคสุริยัน-จันทรา
  • เปิดรับต่างชาติ ร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ แต่ทำเพื่อชาวฮั่น ยอมค้าขายของเถื่อน และกล้าทำสงครามต่างๆ

10 พรรคฟ้าดิน
  • ต่อสู้เพื่อชาวฮั่น ขับไล่ชาวมองโกล ต่อต้านต่างชาติ (ชาตินิยม) แต่ไม่ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ แต่ยอมหนีไปอยู่ในเกาะอื่น (ไต้หวัน)

11 หัวซาน
  • ต่อสู้เพื่อชาวฮั่น รักษาวัฒนธรรมชาวฮั่น (พรรคอนุรักษนิยม) เช่น เทพบุตรดาบงูทอง ที่ลอบฆ่านักพรตซึ่งทำงานให้อ๋องตัวเอ๋อกุน
  • ท่านมีแนวคิดเชิงการเมืองการปกครองแบบสำนักใดละครับ?

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พระโอวาทพระโพธิสัตว์ในชุดขาว แห่งทะเลทักษิณ

ในภาพอาจจะมี 1 คน
"ธรรมะใหญ่ยิ่ง
แยบยลกลางจิตหนึ่ง
อาจเข้าถึงความสุขุม
ล้ำลึกมั่น

กถาวัตถุถ้อยคำให้ตรงกัน
ต้องใจมั่นยึดได้ด้วยตนเอง
บัดนี้พบอนุตตรญาณประทีป
ขอเร่งรีบเบิกญาณที่คอยหา
บำเพ็ญธรรมทั้งนอกในดั่งพุทธา
ปณิธานพาพรักพร้อมกลับเบื้องบน"


พระโอวาทพระโพธิสัตว์ในชุดขาว
แห่งทะเลทักษิณ

ขวานพระจักรพรรดิจีฟา

ในภาพอาจจะมี 1 คน

ขวานพระจักรพรรดิจีฟา ...
  • พระจักรพรรดิโลกนั้นมีหลายยุค ยุคดั้งเดิมจะไม่มีสมมุติทางโลกและการแต่งตั้งอะไรนะครับ แต่เป็นโดย "สวรรค์ยอมรับ" ภายหลังจึงก่อเกิด "ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์" ขึ้นในโลก จึงมีการสร้างสมมุติต่างๆ รองรับการจุติของเทพที่จะลงมาบำเพ็ญบารมีตามรอยพระจักรพรรดิโลก เรียกว่า "สมมุติเทพ" หรือ "กษัตริย์" 
  • สมมุติทางโลกต่างๆ ที่สร้างขึ้นได้แก่ พระราชวัง, มงกุฎ, เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น จักรพรรดิจึงมีสองยุคใหญ่คือ ยุคก่อนมีการสร้างสมมุติทางโลกรองรับ และยุคหลังมีการสร้างสมมุติทางโลกรองรับ 
  • กระทู้นี้ ชายจะเล่าย้อนไปในยุคก่อนมีการสร้างสมมุติทางโลกรองรับครับ ว่าจักรพรรดิท่านมีอะไร ในเมื่อไม่มีสมมุติทางโลกรองรับ? ชายจะขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

1 ยุคเทพผานกู่
  • ยุคนี้ โลกถูกแบ่งแยกฟ้าดินออกจากกัน สรรพสัตว์ในโลกเริ่มรู้จักคำว่า "ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ" คือ ตระหนักรู้ร่วมกันแล้วว่าเทพอยู่ข้างบน ส่วนพวกปีศาจอยู่เบื้องล่าง พระจักรพรรดิยุคนี้ก็คือ เทพผ่านกู่ นั่นเอง ทรงมีของวิเศษประจำกายคือ "ขวานเหลือง" ขวานเหลืองนี้ได้สืบทอดต่อมาถึงยุคของ "จีฟา" ซึ่งได้กลายจักรพรรดิด้วย

2 ยุคเทพน้ำไฟ
  • ยุคนี้ โลกถูกแบ่งแยกด้วย "หยินหยาง" สรรพสัตว์ในโลกถูกจัดออกเป็นกลุ่มเทพน้ำแข็งและเทพอัคนี เทพสองเผ่าทำสงครามกันเพื่อช่วงชิงความเป็นพระจักรพรรดิโลก เทพน้ำแข็งดูแลพลังหยิน เทพอัคนีดูแลพลังหยาง เมื่อพลังหยินหยาง, น้ำไฟ ปะทะกันจึงก่อให้เกิดสรรพสิ่งใหม่ในโลกตามมาอีกมากมายหลังสงครามจบลง

3 ยุค "สามจักรพรรดิ"
  • ยุคนี้ โลกถูกแบ่งแยกด้วย "สามจักรพรรดิ" ได้แก่ เทพฝูซี, เทพหนี่วา, เทพเสินหนง เทพทั้งสามองค์ได้รับการยอมรับจากสวรรค์ ว่าเป็นพระจักรพรรดิ แต่แบ่งกันปกครองโลกต่างกัน 
    • เทพฝูซีปกครองมนุษย์และสวรรค์ 
    • เทพหนี่วาปกครองโลกและปีศาจ 
    • เทพเสินหนงปกครองประเทศต่างๆ ซึ่งส่งผลให้โลกถูกแบ่งแยกเป็นประเทศๆ
  • จักรพรรดิโลกจะทรงสืบทอดทายาทของพระองค์ผ่าน "ของทิพย์" เช่น จักรพรรดิผานกู่ ทรงสืบทอด "ขวานเหลือง" ให้แก่จีฟา มิใช่การแต่งตั้งแบบปัจจุบันนะครับ ของทิพย์เหล่านี้มีอานุภาพระดับโลก คุณต้องเข้าใจคำว่า "อานุภาพ" ก่อน 
  • ของทิพย์แต่ละอย่างมีอานุภาพไม่เท่ากัน เช่น อานุภาพแค่หนึ่งประเทศ หรือบางอย่างมีอานุภาพแค่ในบริษัท, องค์กร หรือเฉพาะครอบครัวก็มี 
  • ของทิพย์ในยุคสร้างโลกจะมีอานุภาพระดับโลกทั้งหมด เพราะเป็นของที่ใช้สร้างโลกครับ ผู้ได้ครองของทิพย์พวกนี้จึงเสมือนได้ครองโลก 
  • แต่ของทิพย์ยุคหลังๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง จะต้องผ่านการบำเพ็ญก่อน จึงจะขยายอานุภาพให้มากขึ้นได้ เช่น จักรทิพย์ บางอันที่มีอานุภาพแค่ประเทศๆ หนึ่ง ต้องบำเพ็ญจนขยายอานุภาพไปทั้งโลก จึงจะเทียบเท่าของทิพย์ยุคดึกดำบรรพ์ครับ 
  • ดังนั้น บางคนในโลกจึงต้องบำเพ็ญบารมีมาก เพื่อให้ของทิพย์ตนขยายอานุภาพไปสู่ระดับโลกได้ คนที่มีพลังจิต เลื่อนระดับสูงแล้ว เขาจะไม่มัวมาสนใจแค่เงินทองครับ เงินทองเป็นของที่ไพร่ทาสสนใจ แต่ถ้าเป็นระดับสูงเขาจะสนใจของทิพย์วิเศษอันหาได้ยากในโลกครับ
  • ถ้ามัวมานั่งใช้พลังจิตเรียกเงินทองนี่เรียกว่าพวกไม่มีระดับครับ 555

  • เทพฝูซี หรือจักรพรรดิฝูซี มีกระบี่วิเศษอันหนึ่งสืบทอดต่อๆ กันมา ใครได้ครองก็คือ "จักรพรรดิ" โลกคนต่อไป เป็นทายาทของเทพฝูซีครับ กระบี่นั้นคือ "กระบี่อิงฟ้า" ผู้ที่ได้ครองต้องบำเพ็ญเป็นเซียนกระบี่พิิชิตมารครับ และมีหน้าที่ปกป้องโลกจากการรุกรานของ "มารต่างดาว" (มารฟ้า)
  • กระบี่อิงฟ้า เดิมเป็นของปฐมกษัตริย์ฮั่น คือ "หลิวปัง" หรือก็คือกระบี่ของจักรพรรดิฝูซี นั่นเอง สืบทอดต่อมาสู่ปฐมกษัตริย์ฮั่น และปรากฎอีกครั้งในตำนานของชาวฮั่น ถูกเรียบเรียงโดย อจ. กิมย้ง (เรื่องดาบมังกรหยก) 
  • ดาบมังกรหยกเป็นคู่ปรับกระบี่อิงฟ้า กำเนิดมาเพื่อปราบพลังของเทพฝูซีโดยเฉพาะ เนื่องจากเทพฝูซีเป็นต้นกำเนิดของเทพมังกร ส่วน "ดาบฆ่ามังกร" ก็ใช้เพื่อทำลายพลังมังกรโดยเฉพาะ จึงเป็นคู่ปรับกระบี่อิงฟ้าครับ
  • ในประเทศไทยมีตำนาน "พระจักรพรรดิ" ในตำนานนั้นกล่าวถึงของทิพย์คู่บารมีของพระจักรพรรดิอันหนึ่ง เรียกว่า "จักรแก้วมณีรัตนะ" ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร? มีลักษณะอย่างไร? 
  • แต่พระจักรพรรดิจะเป็นผู้บำเพ็ญ จนก่อเกิดสิ่งนี้ขึ้นมาครับ เมื่อพระองค์ละสังขารจากโลก จักรแก้วมณีรัตนะก็จะได้รับการสืบทอดต่อไปด้วยเช่นกัน หลายท่านคงรู้แล้วว่าพระจักรพรรดิมาเกิดในไทย ยุคนี้ และจะทรงมีจักรแก้วมณีรัตนะ แต่อย่าทำตัวรู้มากแล้วอวดฉลาดจนมาหลอกพระจักรพรรดิละครับ เดี๋ยวจะหัวขาดไม่รู้ตัว 555
  • ประเทศไทยตอนนี้ ไม่ได้ยืนหยัดได้ด้วยนายก ครม. หรือกษัตริย์หรอกนะครับ อย่างที่เห็นอยู่ว่าแต่ละท่านมีกำลังไม่มาก แต่ที่ผ่านวิกฤติมาได้นี่เพราะอะไร? 
  • อันนี้ ก็แปลกนะ เพราะหลายประเทศกำลังแย่กันอยู่เลย

พระแม่ธรณี

พระแม่ธรณี
  • คติความเชื่อเรื่อง การก้มกราบแผ่นดิน หรือ การบูชาแม่พระธรณี นั้น อยู่กับมนุษย์อุษาคเนย์มาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีแล้ว โดยเฉพาะในอินเดีย มีมาก่อนพุทธศาสนาเสียอีก ในสมัยนั้นจะนับถือผีเป็นหลัก ผีสำคัญยุคแรกๆ คือ “ผีน้ำและผีดิน” ต่อมาเรียกชื่อด้วยคำยกย่องว่า แม่พระคงคา กับ แม่พระธรณี ในขณะที่ชาวไทยสมัยโบราณบูชา แม่พระธรณี เพื่อให้แผ่นดินมีความสงบสุข และร่มเย็น เพราะเชื่อว่า แม่พระธรณี เป็นเทพผู้คุ้มครองแผ่นดิน
  • “พระแม่ธรณี” เป็นเทพมารดาแห่งโลก เพราะเป็นผู้ที่มีคุณต่อสรรพชีวิตบนโลก

ประวัติ พระแม่ธรณีบีบมวยผม
  • ชื่อ พระแม่ธรณี มีปรากฏในพุทธประวัติความว่า …เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงผจญกับเหล่าพวกพญามารทั้งหลาย พญามารได้ออกอุบายต่างๆ นานา เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเกิดกิเลสตัณหา แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ยินดียินร้าย และในครั้งนั้นเองพระแม่ธรณีทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบเหล่าพญามารโดยทรงบีบมวย ผมให้น้ำไหลออกมาท่วม พวกพญามารทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไป
  • ขณะเดียวกัน ก็มีชื่อ แม่พระธรณี ปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน คือผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ อันหมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณี หรือ พระแม่ธรณี
  • การสร้างรูปเคารพของ พระแม่ธรณีบีบมวยผม สำหรับประเทศไทยเท่าที่สามารถสอบทานได้ พบตำราเก่าแก่สมัยอยุธยา บันทึกเรื่องราวการจัดสร้างนางเทพเทวาที่เป็นรูปแบบแม่ธรณีขึ้นบูชาเพื่อการ อำนวยผลทางความมั่นคงและป้องกันสิ่งเลวร้าย ตำรานี้บอกเล่าต่อกันมาว่ายังเก็บรักษาอยู่ที่ วัดคฤหบดี กรุงเทพฯ
  • ทางภาคอีสาน ก็มีวิชาเฉพาะที่เกี่ยวกับ แม่พระธรณี หลายอย่าง เช่น ตะกรุดหัวใจพสุธา ในสายสมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก แม้ในพิธีเบิกโขลนออกจับช้าง ก็ยังมีมนต์ที่กล่าวอ้างถึง แม่พระธรณี
  • ทางภาคเหนือ ก็มีพิธีกรรมเกี่ยวกับ แม่พระธรณี อยู่หลากหลาย และที่นับถือเป็นประเพณี เช่น พิธีบนนางธรณี
  • แม่พระธรณี ในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่ จะทำเป็นรูปหญิงสาว รูปร่างอวบใหญ่ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือ มวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผม แสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผม ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง
  • การบูชาพระแม่ธรณี ก็จะมี บทสวดพระแม่ธรณี และ คาถาพระแม่ธรณี มากมายอาจจะแตกต่างกันบ้าง
  • การบูชาแม่พระธรณี มีหลายตำรา ยกมาสัก 1 ตำรา คือ ตั้งนะโม 3 จบ ว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วว่า “อิติปิโสภะคะวาสะวาอะระหัง สุคะโตสวาหะ” 3 จบ แล้วสวดต่อด้วย “ตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโภนโต ปะลายิงสุปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโต” อย่างน้อย 3 จบ แต่ถ้าจะให้ดีต้อง 21 จบ เพราะกำลังของ แม่พระธรณี คือ 21
  • คาถาบทสวดพระแม่ธรณี นี้ใช้ได้ตามอธิษฐาน ทำน้ำมนต์แก้คุณเสนียด หรือถ้ามีศัตรูให้เขียนชื่อนำแม่ธรณีทับไว้ แล้วอธิษฐานให้อภัยต่อกัน สวดให้ครบ 7 วัน ฝ่ายตรงข้ามจะแพ้ภัยตัวเองไป ที่สำคัญต้องไม่จองเวรต่อกันครับผม

ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด
คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่ 54

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
อิทัปตัปปัจจะตา...คำๆนี้ได้ยินบางสำนัก ชอบเอามาสอนให้คนศรัทธา
พูด 2 ชั่วโมง น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง คือ ทั้งคนฟัง กับ คนสอน ยัง..งง
ยัง.โง่.เหมือนเดิม เที่ยววิเคราะห์ คิดๆๆๆๆๆๆ แล้วก็คิด เพื่ออวดภูมิปัญญา
ยกตัวอย่าง
เจ้าของธุรกิจคนหนึ่ง ทำธุรกิจจนประสพความสำเร็จ ในธุรกิจเดียวกัน
จนคนในวงการกล่าวขวัญ ชื่นชม มีหน้ามีตาในสังคม
ยอดขายปีละร้อยล้านขึ้น ในธุรกิจเดิมที่ตนเองทำอยู่..ปกติ สบายๆ
ด้วยความดัง จึงมีคนในวงการบันเทิง ให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจบันเทิงด้วย
เปิดร้านอาหาร เอาดารา นักร้อง นักแสดง มาโชว์ ลงขันกันคนละ 10 ล้าน
มี 10 หุ้นส่วนเท่าๆกัน ตนเองธุรกิจปกติ นอกนั้นวงการบันเทิงทั้งหมด
ผ่านไปครึ่งปี ทุกคนฟู่ฟ่า มีหน้ามีตา แต่จริงๆ กำไรเหลือแบ่งกันแล้ว
ไม่เท่าไหร่ สู้ธุรกิจตัวเองไม่ได้ แต่เพื่อหน้าตาในสังคม ต้องโชว์อ๊อฟเข้าไว้
พอถึงคราวบ้านเมืองมีปัญหา ร้านอาหารทะยอยเจ้งกัน..แถวรามอินทรา
เพื่อหน้าตา จึงเอาเงินในธุรกิจปกติ ลงไปช่วยกู้สถานะการณ์..ยิ่งกู้..ยิ่งจม
จนสุดท้าย ธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ เช็คไม่เคยเด้ง..ก็เด้งระเนระนาด
เจ็บตัวกันเป็นลูกโซ่ ในธุรกิจเดิม..ทั้งๆที่คนอื่นในธุรกิจนั้น ยังปกติเหมือนเดิม
พอไปปรึกษาทุกข์กับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง..ท่านก็ขึ้น อิทัปตัปปัจจะตา ทันที
วันแรก 2 ชั่วโมง ทุกข์เหมือนเดิม และ งง กับคำสอนกลับบ้าน กลับอ๊อฟฟิต
เดือนผ่านไป ปีผ่านไป ปีกว่าผ่านไป ก็ยังหาคำตอบที่ท่านอาจารย์สอน
ยังไม่ใด้ ยังไม่เข้าใจ ธุรกิจเดิมก็ยังทำอยู่ เพียงแต่ ต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเดิม
สรุป....เอ็ง..ไปคิด ไปวิเคราะห์เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ทำเขืออะไร
ไปถามอาจารย์ทำไม เจ้าคิด..เงินมันจะงอกมั๊ย ถ้าปากเอ็งไม่พูด มือเองไม่ทำ
ประสพการณ์ชั่วโมงบิน ในธุรกิจเดิมของเอ็ง ก็ไม่แพ้ใคร
รู้ธรรมในธรรมคือ อริยสัจ4 คือ รู้แล้วจบ ปล่อยวาง
เห็นทุกข์แล้ว..ทุกข์
รู้ว่าเพราะอยากดังแล้ว..สมุทัย
เข้าใจทั้งหมดแล้ว ถ้าจะกลับมารวยเหมือนเดิม ต้องทำงานเดิม..นิโรท
ทำไมเอ็งไม่วางมันลง เดินกายด้วยมหาสติ อริยะปัญญา..มรรค
ทุกข์เพราะปล่อยจิต ให้เป็นอิสระเกิน หลงเพลิดเพลินในความสำเร็จ
จนเกิดอารมย์..โลภ อยากดัง อยากมีชื่อเสียง..สุขกับสรรพสิ่งนอกตัว
เจ้าท่องพุทโธ ในใจและยิ้มไปด้วย..เวลาทำงาน งานมันจะสะดุดมั๊ย ทำไม่ได้มั๊ย
เวลาเจ้าขับรถไปหาลูกค้าต่างจังหวัด ท่องพุทโธไป ขับรถไป รถมันจะคว่ำมั๊ย
เวลาเจ้าคุยกับลูกค้า เจ้ายิ้ม หัวเราะ พูดเพราะๆ ลูกค้าจะไล่เอ็งมั๊ย
ถ้าหัวเจ้าคิด-อยากโน่น-อยากนี่ โดยที่ตัวเองยังอยู่ตรงนี้ เงินมันจะงอกมั๊ย
ปากเอ็งพูดเรื่องงาน แขน-ขาเอ็งขยับ ตรงตำแหน่งงาน เงินมันถึงจะเกิด
เอ็งท่องพุทโธในใจ-ยิ้ม ในหัวสมองเอ็งไม่มี ความคิด งานนั้น เอ็งไม่รู้เรื่องเหรอ
ไปสอน ไปอธิบาย ไปขยายความ อิทัปตัปปัจจะตา ทำไม
ต้นเหตุเพราะเจ้าเดินกาย ด้วยความคิด ที่สมอง ที่จิตเอกใหม่
ทุกความคิดที่สมอง มันมาจากสัญญากรรมอดีตชาติ ในตัวเจ้า
พวกเจ้าระลึกชาติได้เหรอ ต่อให้ไปหาหมอดู หมอสแกนกรรมด้วย
ตราบใดที่เจ้ายังเดินกายด้วยสมอง ด้วยความคิด เจ้าจะรอดเหรอ
เพราะเมื่อสมองมีความคิด ต้องมีจินตนาการ คือการปรุงแต่ง
เมื่อปรุงแต่งได้เต็มที่ อารมย์ความยินดี ไม่ยินดี มันต้องเกิด
อารมย์..คือความอยาก คือตัณหา คือสมุทัย
เมื่อสมุทัยเกิด..ทุกข์ เจ้า................รออยู่ข้างหน้าแน่นอน
ไม่ต้องมาท่อง ร่ายยาว.....ปะฏิจจะสะมุปปะบาท อริยสัจ4 อิทัปตัปปัจจะตา
โพธิปักขิยธรรม37 มรรค8 สังโยชน์10 นิวรณ์5 ขันธ์5 อินทรีย์5 พละ5
อายาตนะ6 เยอะแยะ...ไร้สาระ ขยันแข่งกันอวดโง่ แต่คิดว่าอวดฉลาด
พวกเจ้าเข้าใจเหรอ พวกเจ้าท่องได้แล้ว จะแก้ทุกข์ใจ ที่กำลังเกิดได้เหรอ
แค่เจ้ายิ้มสู้....แค่เจ้าท่องพุทโธสู้...ความคิดดับ...ทุกข์ใจดับ ง่ายๆ
ท่องพุทโธทั้งวัน ยิ้ม-หัวเราะกับมันทั้งวัน เจ้าก็ไม่ทุกข์แล้ว
ด่าไอ้พวกบ้าตำรา บ้าภาษาบาลี

10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก

ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่ในร่ม

*** 10 ความจริงอันสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก......
  • บทคำสอนนี้เป็นของ Kanlayanatam ที่ท่านนำมาลงไว้ ซึ่งมีประโยชน์ในการเตือนสติ เราชาวปฏิบัติทั้งหลายให้ได้รู้หลักและความจริงที่เราอาจจะหลงลืม

ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของบทความนี้
***************************************
  • ความลึกซื้งของคำสอนในพุทธศาสนาที่นับวัน แม้แต่นักควอนตัมฟิสิกซ์จะค้นพบข้อพิสูจน์ทางวิทย์ที่ยืนยันความเป็นจริงได้อย่างน่าทึ่ง...

10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก!!!
*********** 
  • 1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกันของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เป็นใครมาจากไหน ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น เมื่อสติแข็งแรง ย่อมเห็นกระบวน การทำงานของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นต้นเหตุของสุข ทุกข์ สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลาง สิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน
  • 2. ความเป็นเรา เป็นเขา คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่ คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้ ไม่ใช่คำอุปมาอุปไมย แต่เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้เอง จากการฝึกจิต ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบเหมือนรถยนต์หนึ่งคัน เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่เครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง เมื่อจับแยกส่วนได้เช่นนี้ สภาพความเป็นรถยนต์ก็หมดไป เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต ออกจากกันได้ ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย เมื่อความเป็นตัวเราหมดไป ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ
  • 3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมาหลายล้านชาติ เป็นจำนวนที่นับไม่ได้ เคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ เป็นคนรูปงาม เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูงก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เพราแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร ทุกคนล้วนอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น
  • 4. จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ ได้แก่ นรก เปรต เดรฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คงน้อยกว่า 0.000000001เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เป็นไปได้มากเหลือเกินว่า คนทั้งหมดที่เรารู้จัก จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!
  • 5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าสำคัญ ทั้งความสามารถ เกียรติภูมิ ลูก เมีย ผัว หน้าที่การงาน สมบัติพัสถาน เงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน ความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่า เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เหล่านี้ คือเรื่องอันตรายที่เราสมควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน
  • 6. บุญบาปเป็นของมีจริง ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า คำพูด และการกระทำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่เราคิด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใดลงไป มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้ หากแต่มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา และเราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น จงระวังคำพูด และการกระทำของเราไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
  • 7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ผู้คน ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราและเขา จะได้พบกันอีก ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้องตามจองเวรกันต่อไปไม่สิ้นสุด ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย"จึงเป็นคำที่มีนัยยะสำคัญกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด
  • 8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การบริหารจัดการชีวิตของเรา ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้ แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้ แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพ ความเป็นมนุษย์ ดังนั้น ในทุกวัน เราควรถามตนเองว่า วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง
  • 9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใครสามารถนำ ช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้ อดีต ไม่มีจริง เพราะอดีต คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่ ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของท่านได้และนี่คือกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง
  • 10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกันไปตามภูมิปัญญา แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือการดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ตลอด การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ


  • ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย
  • เช่นนั้นแล้ว ถ้าชาตินี้เรายังตั้งเป้าหมายเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆชีวิตของเราคงไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่าที่นำมา เล่าซ้ำเปลี่ยนแต่เพียงชื่อแซ่ หน้าตา เสื้อผ้า หน้า ผม แต่ทุกอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนเก่าๆ
  • เช่นนี้แล้ว การเกิดของเราคงเป็นการเกิดที่ไร้ค่า
  • จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ ด้วยสัมปชัญญะของท่าน อัตภาพความเป็นมนุษย์ คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!
  • ขออนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ..ทุกองค์..ทุกรูป..ในฐานะที่ท่านอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น ในการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ 

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่ 52

ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน
  • (1)สร้างเกราะป้องกัน จิต-กาย...ด้วย..ศีล
  • (2)หลุดพ้นด้วยจิต..เจโตวิมุตติ (จิตเป็นสุข)
  • (3)หลุดพ้นด้วยปัญญา..ปัญญาวิมุตติ (กายมีความสุข)
  • (4)สะสมอริยะทรัพย์..ทาน-ช่วยเหลือ-เสียสละ..ทานบารมี(พลังงานทิพย์)

มนุษย์..คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกหลอก เพื่อชดใช้กรรม หรือ รู้ทันเพื่อ-สร้างบารมีเพิ่ม
  • มนุษย์..ถูกหลอกให้เดินกายด้วย ความอยาก-ความเห็นแก่ตัว-ยโสโอหัง เดินกายด้วย ความคิด-ในสมอง ที่ถูกหลอกจาก สัญญากรรมทุกความคิดเริ่มต้นที่..ต้องการเอาตัวรอด..อยากได้..สะสม..โอ้อวด..หาอำนาจแต่ระหว่างทาง ทุกข์ทรมาน..ไม่ได้ดั่งใจ..สุดท้าย นรก คือที่ไปสุข..ที่เข้าใจคือ สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา กับทุกสรรพสิ่งนอกร่างกายเพราะนานาสรรพสิ่ง ล้วนไม่เที่ยง ไม่จีรัง ไม่ยั่งยืน แม้แต่คน ที่รักมากที่สุดผลที่ได้คือ รักมาก หวงแหนมาก คือทุกข์มากที่สุด

มนุษย์เดินกายด้วย สิ่งที่มองไม่เห็น นั่นคือจิต นั่นคือพลังงาน นั่นคือความคิด แล้วไปหลง ในสิ่งที่มองเห็น จับต้อง สัมผัสได้..คือสรรพสิ่งทั้งหลาย สุขบ้าง-ทุกข์บ้าง กับสรรพสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป..ลาภ ยศ สุข สรรเสริญฺ โดยหารู้ไม่ว่า สุขที่แท้จริง คือสุข...จากจิตเมตตา

  • จิต...ปรารถนาเห็นคนอื่น มีความสุข พลอยปลื้มใจ พลอยมีความสุขไปกับเขาเป็นความสุข-สลับอุเบกขา-แล้วก็สุข ไม่มีทุกข์ ใดปนระหว่างทางเลยสุขที่ จิตอยู่คู่กาย ไม่ใช่สุขจาก จิตอยู่นอกกาย กับนานาสรรพสิ่ง

จิต..ปกติจะอยู่นอกกาย ด้วยผลงาน สัญญากรรม นั่นคือ ความคิด ในสมอง
สติปัฏฐาน4 ที่เรียนมา-ที่ฝึกมาคือ กาย-นำ-จิต//จิต-ตาม-กาย ไม่เคยทัน
  • (1)รู้กายในกาย..ดูลมหายใจ ดูเท้าที่ก้าวย่าง...สุดท้ายลืม จิตไปจับอะไรก็ไม่รู้
  • (2)รู้เวทนาในเวทนา..รู้ทันอารมย์..แต่สุดท้ายเป็นทุกข์กับอารมย์ ที่รู้ทัน
  • (3)รู้จิตในจิต..รู้ทันจิต ออกนอก ออกไปคิด..กว่าจะรู้ตัว มันไปตั้งนานแล้ว
  • (4)รู้ธรรมในธรรม.ยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บ้าน-รถ โดนยึดหมดแล้ว

ไม่เจ็บตัว-ไม่สำนึก-ไม่รู้สึกตัว-ไม่เข้าใจตัวเอง พบศีลธรรม-เมื่อหมดตัว
หลักสี่ประการนำสู่ความหลุดพ้น สู่สุขนิรันดร์กาล
  • (1)ศีล..เป็นเกราะป้องกัน....ไม่ทำร้ายใคร-ไม่มุ่งร้ายใคร-ไม่เอาเปรียบใครทั้งทางกาย-ทางวาจา-ทางใจ และไม่ทำร้ายตนเอง

  • (2)เจโตวิมุตติ..หลุดพ้นด้วยจิต ไม่เดินกายด้วย ความคิด ที่สมองแต่เดินกายด้วย จิตหลัก-กลางหน้าอก ด้วยอริยะปัญญา ไร้สภาวะอารมย์ด้วยการท่องพุทโธ รัวๆ ลอยๆ ในใจ ต่อเนื่องทั้งวัน-ทั้งคืน คือ จิต-นำ-กาย

  • (3)ปัญญาวิมุตติ..หลุดพ้นด้วยปัญญา หมายถึง รู้-มีวิชา-มีปัญญามีความสามารถ ในหน้าที่-การงาน-ที่ต้องทำ งานอะไรก็ได้ เพื่อหาเงินนำมาแลกเปลี่ยน อาหาร-บ้าน-รถ-ค่าใช้จ่ายต่างๆได้มา ก็มีความสุขไปกับมัน เมื่อสูญเสียมันไป ก็เฉยๆไม่ทุกข์ ไม่ร้อน สบายๆ ไม่ยึดติด ทุกสรรพสิ่งนอกร่างกาย

  • (4)อริยะทรัพย์..คือทรัพย์ภาคทิพย์ ที่มีลักษณะเป็นพลังงาน ไฟฟ้า-แม่เหล็กที่ใช้งานได้จริง ในภาคทิพย์ เพื่อให้ร่างภาคทิพย์ คงสภาพไม่สลาย ไม่หายไปเหมือนเงินตราในภาคมนุษย์ ใช้แลกเปลี่ยนกันได้ คล้ายพลังงานแบตเตอรี่ค้าขายของดี เพราะมีเทวดา ดลจิตให้ลูกค้า เข้าร้านตัวเองได้เยอะๆ เพราะเจ้าทำบุญ(สร้างพลังงาน)แผ่ให้เทวดาอยู่อย่างสม่ำเสมอ เทวดาต้องการพลังงาน
  • ทาน-ช่วยเหลือ-เสียสละ คือการกระทำ การเดินกาย ด้วยจิตที่มาจาก เมตตามันคือ กระแสพลังงาน กับ ภาพพลังงาน จะเกิดขึ้นในตำแหน่ง ที่มีการกระทำและกระแสพลังงานทานบารมีนี้ จะติดตามสะสมรอบตัวเจ้าไป ทุกภพทุกชาติยิ่งเจ้าช่วยเหลือมาก เสียสละมาก ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ด้วยจิตที่เมตตารอบ-กายใน-เจ้า จะมีแสงพลังงานหรือแสงออร่า ใหญ่ขึ้นๆๆๆ เรียกว่าบารมี สูงขึ้นๆๆ สว่างมากขึ้นๆๆ ชีวิตมนุษย์ก็ รวยขึ้นๆๆๆ (ระวังอย่าหลง)

.
บนสวรรค์ไม่มีการแยกศาสนา ไม่มีหลายศาสดาเพราะการจะสำเร็จอริยะ มาจากหลักการเดียวกันจิต..เป็น พลังงาน ร่าง..เป็น สสาร ทุกอย่างเป็น วิทยาศาสตร์ผู้ที่มีบารมี สูงที่สุดคือ ผู้ที่มี แสงสว่าง-แรงที่สุด-ใหญ่ที่สุด-สวยที่สุดคือ ทุกชาติที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นคน-เป็นสัตว์ ที่เสียสละ..มากที่สุด ตายไม่ปกติ..มากที่สุด
55555555555555 กาลเวลานี้ จะเป็นใครกันนะ 55555555555555

วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เสียเวลาอ่านศึกษาสักนิด แล้วพิจารณาความน่าจะเป็นไปได้


ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง และ น้ำ
เสียเวลาอ่านศึกษาสักนิด แล้วพิจารณาความน่าจะเป็นไปได้
*****ไม่เชื่อไม่ว่ากันนะ******
  • เอา เข้า แล้ว มั๊ยล่ะ ....NASA เคยพยากรณ์ ว่า ปี 2560 กระแสน้ำอุ่น El NiNo(เอล นีโญ่) ไหลย้อน สู่ เอเชีย จะทำให้ไทย มีฝนตกชุก เป็นพิเศษ ขณะนี้ แค่ ต้นปี 2560 คำพยากรณ์ ของ NASA ก็เป็นจริงแล้ว น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้
  • แต่ NASA ยัง คาดการณ์ อีกว่า กลางเดือน กันยายน 2560 น้ำจะท่วมใหญ่ กรุงเทพ เมืองชายฝั่งของไทย ความสูง ของระดับท่วม สูงขนาด ท่วมตึก 4 ชั้น ไฟจะดับไปทั่วทั้ง กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เป็นเวลาถึง 7 เดือน กว่า น้ำ จะลด....
  • ปัจจัย เกิดจาก ปี 2560 จะเกืดมหา "พายุ Super Tornado ถล่ม ประเทศ ไทย น้ำเหนือ ไหล่ น้ำทะเลหนุนสูง กรุงเทพ จึงกลายเป็น เมือง" บาดาล" ไปในกลางเดือน กันยายน 2560 
  • เราควร เตรียมตัว อพยพ และวางแผน หาทีตั้งใหม่ ได้แล้ว คุณมี เวลา แค่ 8 เดือน 20 วัน

พระบิดา พระมารดา ทางจิตวิญญาณ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม

พระบิดา พระมารดา ทางจิตวิญญาณ
  • คนเราเกิดมามีพ่อแม่โดยสังขาร แต่เมื่อเราโตขึ้น จิตวิญญาณที่ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา ไม่อาจยึดได้ของเรา อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังที่ชายเคยบอกในกระทู้ก่อนๆ แล้ว ซึ่งชายได้เคยบอกถึงจิตวิญญาณในร่างของชาย ที่มาบำเพ็ญจนสำเร็จหลายๆ ดวงนั้น ในกระทู้นี้ ชายจะมาเม้าท์ต่อว่าแล้วจิตวิญญาณเหล่านี้เขามีพ่อแม่หรือเปล่า? แน่นอน บางจิตวิญญาณกำเนิดจากฝ่ายพระมารดา แต่บางจิตวิญญาณก็กำเนิดจากฝ่ายพระบิดา ไม่เหมือนกัน อาทิเช่น จิตวิญญาณทายาทหนี่วาของชายกำเนิดจากพระมารดาแห่งโลก (เทพีไกอาเคยเสด็จมา เพื่อนชายที่มีตาทิพย์อยู่ด้วย ชายจึงถามท่านว่าชายเป็นเชื้อสายท่านหรือไม่ ท่านตอบว่าใช่ แล้วถามว่าเพื่อนชายละ ใช่ด้วยหรือไม่? ท่านตอบว่าไม่ใช่ครับ ตอนแรกชายก็คิดว่ามนุษย์ทุกคนมีเชื้อสายพระมารดาแห่งโลกเสียอีก) ในกระทู้นี้ชายจึงขอแนะนำ พระมารดา และพระบิดาของชาย ดังนี้

1 พระมารดาแห่งโลก 
  • พระมารดาแห่งโลก ทรงมีหน้าที่ดูแลโลก ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากอะไรมากเกินไป เช่น หากเกิดสงครามในโลกท่านจะหาวิธีช่วยให้โลกไม่ได้รับผลกระทบมากไปครับ ชายคือ "ทายาทหนี่วา" ดังนั้น จึงทำหน้าที่นี้ด้วย จาก DNA เลย คือ เป็นเองจากกำเนิดเลย โดยไม่ต้องเข้าเรียนที่ไหน ไม่มีใครสอน แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น คิดอย่างนั้น เพราะเราเป็นเผ่าพันธุ์เทพเดียวกันครับ

2 พระบิดาเทพปักษา
  • พระบิดาเทพปักษา ทรงมีหน้าที่ปกครองประเทศ และทรงดูแล "ประชาธิปไตย" ทรงเป็นต้นแบบแห่ง ปชต. ซึ่งมนุษย์ทุกคนไม่มีใครรู้ได้ด้วยการไปอ่าน ไปฟัง หรือไปนั่งเรียนในห้องที่ไหน แต่จะต้องผ่านการเรียนรู้จากพระบิดาองค์นี้เท่านั้นครับ และพระบิดาองค์นี้ก็ทรงมาดำรงอยู่ในประเทศไทยแล้ว เพื่อโปรดชาวไทยครับ ดังนั้น ชายจึงมีแนวคิดเหมือนท่านด้วย พ่อเป็นยังไง ลูกเป็นยังงั้น

3 พระบิดาเทพน้ำแข็ง
  • พระบิดาเทพน้ำแข็ง ทรงมีหน้าที่ทำสงครามกับเทพอัคนี เพราะว่าโลกถึงวาระที่จะต้องมีสงครามแล้ว (มนุษย์ไม่อาจเข้าใจ คิดไม่ได้) ทรงทำสงครามเย็น สงครามจิตวิทยา ไม่ใช่สงครามฟืนไฟ เพราะทรงเป็นเผ่าน้ำแข็ง ไม่ใช่เผ่าไฟครับ ซึ่งท่านได้ทำกิจอยู่ในตอนนี้ ชายรู้ดีเพราะชายคือบุตรของท่าน ท่านคิดอะไร ชายก็รู้หมดครับ 555 พ่อกับลูกก็เหมือนกัน เพราะ DNA เดียวกันครับ


  • อ่านดูแล้วเหมือนจะสับสนเป็นลูกใครหว่า? นะครับ ฮ่าๆๆ จริงๆ แล้วไม่ได้สับสนอะไร เพราะชายสามารถมีตัวตนหลากมิติมาตั้งนานแล้ว ดังนั้น ชายจึงเข้าใจความคิดของผู้นำระดับประเทศหรือระดับโลกหลายๆ คน และสามารถถ่ายทอดหรืออธิบายให้มนุษย์เข้าใจได้ยังไงละครับ เช่น การที่ทรัมป์ ทำเหมือนบ้าระห่ำอยากทำสงครามนั้น ชายก็เข้าใจครับว่าเขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร? และเพราะอะไร? มีความจำเป็นแค่ไหน? และจะเกิดประโยชน์อะไรกับอเมริกาและโลกบ้าง? อันนี้ ไม่ยาก มันอยู่ใน DNA ไงครับ อิอิ
  • เอาละ โลกจะเป็นอย่างไรต่อไป ชายจะอธิบายให้ฟังเรื่อยๆ ครับ

ธรรมะจากภาคทิพย์ตอนที่ 51

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน, สถานที่กลางแจ้ง และ ข้อความ
เพียงแค่เจ้า ทำตาม ที่เราสอน
  • (1)ยิ้ม..หัวเราะ...ให้ได้ตลอดทั้งวัน
  • (2)ท่องพุทโธ รัวๆ ลอยๆ ให้ได้ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งคืน

พบอุปสรรค ทำมาหากินไม่ขึ้น...จงมาหาเราที่
วัดป่าพุเตยวนาราม บ้านพุเตย อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์
หรือโทรศัพท์มาปรึกษา แค่ยิงมา เราจะโทร..กลับหาเจ้าเอง
095-019-2275 ดีแทค 
แล้วปาฏิหารย์จะเกิดแก่เจ้า
ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น 
มาหาเรา ไม่ต้องเอาอะไรมา มาแต่ตัวพอ
ใครที่คิดอกุศลกับ**กายแทน**เรา จงระวัง วจีกรรม มโนกรรม ทันที
อานิสงค์แห่งทานบุญ เกิดแก่ผู้ที่มีจิตศรัทธา กายแทนเรา..ในฉับพลัน
(1)กิจติพงษ์ ผ่องโสภา
กสิกรไทย ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต 610-2-397795
(2)เติมเงินโทรศัพท์ 095-019-2275 ดีแทค

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พลังแสงทิพย์อริยธรรมจากพระนิพพาน

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
พลังแสงทิพย์อริยธรรมจากพระนิพพาน ประทานลงมาช่วยโลกมนุษย์แล้ว
  • เนื่องจากองค์สมเด็จพระผู้เป็นเจ้าวิสุทธิพุทธรังษีบรมบิดา ( พระอนุตตรธรรมมารดา , องค์สมเด็จพระปฐมพุทธะ , พระเจ้า ทุกศาสนาได้กำหนดถวายพระนามต่างๆ นานา )
  • ผู้เป็นใหญ่สูงสุดเบื้องบนพระนิพพาน ผู้เป็นเจ้าแห่งมวลจักรวาลทั้ง 3 โลก
  • มีพระเมตตาทรงโปรดส่งแสงทิพย์อริยทรัพย์ และ พลังฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ ลงมาให้แก่ชาวโลกและทั่วมหาอนันตจักรวาล ทั้งนรก โลก เทวโลก พรหมโลก เพื่อที่จะยกระดับจิตคนที่ดีมีบุญ ให้ได้อริยมรรคอริยผล ทั่วทั้งหมดไม่มีการยกเว้น
  • ไม่ว่าจะเป็นชนชาติศาสนาใด ขอให้มีจิตเมตตาปราณี มีศีล 5 ครบ เคารพองค์พระศาสดาของท่าน ตั้งจิตตั้งใจอธิษฐาน ขอแสงอริยทรัพย์ส่องเข้าไปในดวงจิตของท่าน ท่านจะได้รับอริยฐานะทันที เป็นการปิดกั้นป้องกันประตูอบายภูมิ ทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
  • เพราะเมื่อความตายมาถึง ลืมนึกถึงคุณงามความดี มัวแต่ตกใจกลัวตาย พระเบื้องบนท่านจะมาปรากฏกายทิพย์ให้ท่านเห็นด้วยตาเนื้อ คนใกล้ตายจะดีใจ จิตเป็นกุศลก็ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ ไปเป็นสุขชั้นพรหมเป็นอย่างกลาง จิตสะอาดเบิกบาน ไม่ติดใจในสมบัติของโลก สวรรค์ พรหม ก็ไปพระนิพพานได้แน่นอน
  • โดย คุณแม่เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ