วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

567..อัศจรรย์อภิญญา..หลวงปู่สรวง..ผู้อยู่เหนือกาล

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม

567..อัศจรรย์อภิญญา..หลวงปู่สรวง..ผู้อยู่เหนือกาล
บทที่หก. วิชาตายคืน..วิชาคงร่าง..วิชาเปลี่ยนวิญญาณ
วิชาตายคืนนี้เป็นวิชาลี้ลับพิสดารตามแนวทางของมันตระยาน ซึ่งลัทธินี้เคยรุ่งเรืองในสมัยขอมโบราณยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ เล่นฤทธิ์เดชเวทมนต์อย่างพิสดาร
วิชาตายคืนนี้เมื่อสิ้นแล้ว หากได้รับการเผาร่างภายใน ๒๘ วัน ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิชาก็จะสามารถประกอบธาตุ ๔ ขึ้นใหม่ได้ ในช่วง ๒๘ วันนั้น โดยให้ศิษย์ใกล้ชิดทำบายศรี ๑ คู่ หน่อกล้วย ๑ หน่อ ผ้าขาว ๑ พับ ไปบวงสรวง ณ สถานที่ศํกดิ์สิทธิ์ ก็จะบังเกิดร่างใหม่ของผู้สำเร็จวิชาตายคืนขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างใหม่ที่เกิดขึ้นจะหน้าตาเหมือนคนเดิมทุกประการ แต่จะดูอ่อนเยาว์กว่าเหมือนว่ากลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง
** อนึ่ง ในความเห็นส่วนตัว การตาย ตายแค่สังขาร แต่จิตไม่ได้ตายด้วย ด้วยพลังของจิตจะไปดึงธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แตกออกมา เป็นธาตุละเอียด มาผสมกับวิญญาณ +สัญญาเดิม ก่อตัวเป็นสังขารใหม่ ที่มีรูปร่างเหมือนเดิม แต่อ่อนวัยกว่าเดิม เหมือน ก๊อบปี้สังขารเดิมตอนมีกำลัง
ลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงท่านหนึ่งบอกว่าต้องเผาหรือต้องตายครบ ๘ ครั้ง จึงตายจริงครั้งหนึ่งจะมีอายุได้ประมาณ 300 ปีวิชาเหล่านี้จะไม่เรียกว่าตายจริง...แต่จะเป็นเสมือนการลอกคราบของงู ซึ่งทิ้งสังขารเก่าไว้เหมือนซาก ...แต่กลับมีร่างใหม่กายใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
แต่หากไม่ประสงค์จะประกอบร่างใหม่จะดำรงในสังขารเก่า ด้วยอิทธิบาทภาวนาไปชั่วกัปล์ก็ได้ หรือจะถอดจิตไปหาร่างที่เหมาะสมกับตนก็ได้อีก
เรื่องนี้เป็นศาสตร์ชั้นสูงของวิญญาณศาสตร์ ในดินแดนขอม และ..หลวงปู่สรวง (ลูกตาเบ๊าะ), หลวงปู่รชรัตน์ ,หลวงปู่พระองค์พลึง ,หลวงปู่จันตึบ ทั้ง ๔ ล้วนสำเร็จวิชาตายคืนทั้งนั้น
สองท่านแรก คือ หลวงปู่สรวงและหลวงปู่รชรัตน์ ใช้วิธีละสังขารแล้วทิ้งร่าง คือ สังขารเก่าก็ไม่เผา ถูกเก็บไว้อย่างดีตามสถานที่ต่างๆ ท่านไปหาร่างใหม่ของท่านเอง…ส่วนพระองค์พลึง ใช้การกลับชาติมาเกิด….ส่วน หลวงปู่จันตึบ นิยมใช้วิชาตายคืน ตายแล้วเผาร่างเดิมเสียจากนั้นประกอบร่างใหม่ด้วยวิชาตายคืนได้
ส่วนผู้จะร่ำเรียนวิชาสายนี้มีข้อห้ามในการับประทานอาหารคือ
ห้ามรับประทาน ชะอม กะถิน สะตอ ปลาตะเพียน ขอเหล่านี้ถือว่าคาวจัดกลิ่นเหม็นฉุนไม่เหมาะ แก่ธาตุขันธ์ของผู้ประกอบพระเวทย์
ทั้ง ๔ ท่าน เรียนวิชา บนเขาพนมกุเลน ใช้วิชาธาตุ ๔ คือ นะมะพะทะ แต่ยกเอาตัว มะ ตัวเดียวออกมาภาวนาแบบเร่งธาตุ ผู้ภาวนาให้ตั้งจิต แล้วภาวนาออกเสียงให้ได้ยินชัดๆเพื่อน้อมจิตไปสู่กระแสวิตกวิจารณ์อย่างเฉียบพลัน โดยท่อง มะมะมะมะมะ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อไม่ลดละจากกิจภาวนาคำว่า มะ ดังนี้แล้ว จะเป็นการเร่งธาตุในตัวและดิ่งจิตลงสู่สภาวะปีติ ในขณะหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น จิตจะเปลี่ยนคลื่นความถี่จากจิตสามัญที่เราๆท่านๆนั่งคุยนั่งอ่านกันอยู่นี้ลงสู่คลื่นจิตที่ละเอียดอ่อนลงไปในระดับแรก จิตในระดับนี้จะสามารถรับคลื่นของวิญญาณที่เป็นองค์เทพประจำตัวหรือเจ้ากรรมนายเวรที่คอยตามตัวเราอยู่ได้ รวมทั้งสามารถแสดงอาการจากจิตใต้สำนึกลึกๆออกมาได้อย่างน่าแปลกประหลาด
... หลวงปู่สรวง มีบุตรบุญธรรม คือ หลวงปู่อาจ อาทิโต("หลวงปู่น้อย" ) ท่านมีอายุ 64 ปี ท่านอยู่สำนักสงฆ์ภูปะปังพลาญไทร ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ท่านบวชได้อยู่ 3 วันหลวงปู่สรวงก็ได้ไปหาท่านและผูกข้อมือให้ท่าน และได้รับท่านเป็นบุตรบุญธรรม และนับแต่นั้นมาหลวงปู่อาจก็ได้เดินออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่สรวงมาโดยตลอด
. (มีต่อ บทที่ เจ็ด) …

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น