วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

447.“พุทธะ ๔”

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

447.“พุทธะ ๔” 

  • “จิตคือพุทธะ” เป็นพุทธะในตัวอยู่แล้ว มีความบริสุทธิ์ประภัสสรในตัวอยู่แล้ว แต่ก็มีความแตกต่างกันตามธาตุธรรมของจิต สะสมบุญบารมีมาต่างกัน 
  • ดังนั้น “พุทธะ” จึง แตกต่างกัน เป็น ๔ ประเภท ตาม “มโนธาตุ” ที่แตกต่างกัน ได้แก่ 
    • “สัมมาสัมพุทธะ”, 
    • “ปัจเจกพุทธะ” 
    • “อรหันตพุทธะ” 
    • และ “มหาพุทธะ” 

๑) สัมมาสัมพุทธะ คือ การตรัสรู้ธรรมแบบพุทธภูมิ (พระพุทธเจ้า)

  • คือ การบรรลุธรรมด้วยการตรัสรู้ด้วยตนเอง และใช้บุญบารมีของตนเพื่อสร้างศาสนา โปรดสัตว์ และได้สั่งสอนธรรมแก่คนทั่วไป คือ การได้เป็น “พระพุทธเจ้า จะไม่มีชาติต่อไปอีก ไม่เกิดอีก เมื่อบรรลุธรรมครั้งแรก จะเข้าสู่ภาวะ “กิเลสนิพพาน” คือ กิเลสที่บดบังสภาวธรรมความจริงนั้น สูญไปหมดสิ้นก่อน จึงมีดวงตาเห็นธรรม เห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามประสงค์ เรียกว่า “ตรัสรู้ธรรม” ซึ่งจะล่วงรู้ได้ทุกสรรพสิ่ง เรียกว่า “สัพพัญญูญาณ” จากนั้นจะการบรรลุ “พุทธภูมิ” คือ เห็นแจ้งว่าตนมีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์ จากนั้น จึงทำกิจต่างๆ ในการสร้างศาสนา, เผยแพร่ศาสนา ระยะนี้เอง จะบรรลุธรรมขั้นสูงที่เรียกว่า “พุทธธรรม” หรือ “บรรลุยูไล” คือ ธรรมะที่ใช้ในการเคลื่อนพระธรรมจักร ธรรมะระดับพระพุทธเจ้า ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าและ พระอรหันต์สาวกไม่มี

๒) ปัจเจกพุทธะ คือ การตรัสรู้ธรรมปัจเจกภูมิ (พระปัจเจกพุทธเจ้า)

  • คือ การบรรลุธรรมด้วยการตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ไม่มีบุญบารมีพอที่จะสร้างพระศาสนาหรือเผยแพร่ธรรมได้ จำต้องปลีกวิเวก คือ การได้เป็น “พระปัจเจกพุทธเจ้า” เป็น “ปัจเจกบุคคล อาจเคยปรารถนาพุทธภูมิ จึงบำเพ็ญบารมีตามพุทธภูมิ แต่ไม่ครบทุกส่วน และมักเกิดในชาติที่โลกว่างเว้นพระพุทธเจ้า และเวลาดับขันธ์ มักเข้าป่าอาศัยในถ้ำจนตาย “หุบเขากลืนฤษี” คือ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าบรรลุแล้วก็จะแสวงหาสถานที่สงบวิเวก 

๓) อรหันตพุทธะ คือ การบรรลุธรรมแบบสาวกภูมิ (พระอรหันตสาวก)

  • สเวก แปลว่า ผู้รับฟัง ต้องการบรรลุธรรมด้วยการได้รับการสั่งสอนจากผู้อื่นแล้วนำมาปฏิบัติให้รู้แจ้งด้วยตนเอง และไม่มีบุญบารมีที่จะสร้างศาสนาได้ คือ การได้เป็น “สาวกของพระพุทธเจ้า” นั่นเอง 

๔) มหาพุทธะ คือ การบรรลุแบบมหาโพธิสัตว์ (พระมหาโพธิสัตว์)

  • คือ การบรรลุธรรมแบบพิเศษ ด้วยการได้รับการสั่งสอนจากผู้อื่น หรืออาศัยพระธรรมที่ผู้อื่นตรัสรู้ไว้ก่อนแล้ว แล้วนำมาปฏิบัติจนรู้แจ้งด้วยตนเอง ทั้งยังสามารถเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนสืบทอดต่อไปได้ เพราะมีบุญบารมีสะสมมามากพอ แต่จะไม่สร้างพระศาสนาใหม่ นอกจากนี้ การบรรลุธรรมแบบพิเศษนี้ ยังสามารถกลับมาเกิดช่วยสรรพสัตว์ได้อีกเรื่อยไปไม่สิ้นสุด 
  • “พระมหาโพธิสัตว์” ที่มีบารมีมากเท่านั้น เมื่อซักฟอกธาตุธรรมจนรู้ตนเองเป็น “พุทธภูมิ” แล้ว พระมหาโพธิสัตว์ จะผสมธาตุธรรมในส่วนสาวกภูมิเข้าไป เพื่อไม่ให้ธาตุธรรมของตนบริสุทธิ์จนไม่อาจเกิดใหม่ได้อีก เช่น พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ที่เมื่อบรรลุแล้วจะทรงเพ่งจิตศรัทธาพระอมิตาภะพุทธเจ้า (ผสมธาตุสาวก) เมื่อจากโลกไป ก็จะไปเกิดยังสุขาวดี และสามารถลงมาช่วยมนุษย์ได้อีกเรื่อยๆ 
  • อนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์นี้ แรกเริ่มเดิมทีก็บำเพ็ญเพียรแบบพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ภายหลังสละได้แม้พุทธภูมิ ขอเพียงโปรดสรรพสัตว์ได้ก็พอ จึงบรรลุธรรมและเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ เรียก“อรหันต์เกิดใหม่” (อยู่ที่การตีความหมาย..มิควรถกเถียงกัน) ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของคนมีความแตกต่างกัน 
  • พระอรหันต์จึงไม่อาจเข้าใจถึงความเป็นไปของพระโพธิสัตว์ได้ แม้จิตจะมีความบริสุทธิ์ก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น