วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

เถี่ยนจ๋ายต่งจื้อ

เถี่ยนจ๋ายต่งจื้อ

จิ๋นจ๋ายต่งจือ 善財童子/ ห่งไห่เอ๋อ,อั้งไฮ้ยี่ 紅孩兒
พระพุทธรูปชาย คือ "ซั่งไฉถงจือ" (สุธนกุมาร) เป็นบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งในบุญนคร ได้ชื่อ สุธน เพราะตอนที่เกิดนั้นมีทรัพย์สินเงินทองของมีค่าและโชคลาภลอยมาเองมากมาย เขามีนิสัยเบื่อโลก เห็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหมือนกองขยะมูลฝอย ปฏิญาณว่า จะต้องบำเพ็ญให้สำเร็จเป็นโพธิสัตว์ให้ได้ ในขณะที่มัญชุศรีโพธิสัตว์ (ผู้ช่วยมือขวาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ) แสดงธรรมอยู่ในป่าชานเมืองบุญนคร สุธนกุมารได้ไปกราบกรานขอเรียนธรรมะการบำเพ็ญตน เพื่อสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ ภายใต้การชี้แนะของมัญชุศรีโพธิสัตว์ สุธนกุมารได้เดินทางไปคารวะศึกษาจากอาจารย์ 53 ท่าน (กัลยาณมิตร 53 ) ในพุทธสูตร หรือ นิทานชาดก มีเรื่อง "คารวะศึกษา 53 ของพระสุธนกุมารและสุดท้ายได้ไปกราบคารวะกวนอิมโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ที่โปตะละกะคีรี ไดรับการสั่งสอนชี้แนะจากกวนอิมโพธิสัตว์ จนสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ และเพื่อช่วยเหลือกวนอิมโพธิสัตว์โปรดสัตว์ ได้แสดงธรรมกายในรูปกุมารกาย เป็นผู้ช่วยมือซ้ายของกวนอิมโพธิสัตว์ จึง ได้ชื่อว่า "สุธนกุมาร"
ข้อมูล : หอสมุดแห่งชาติ
108 เทพแห่งสรวงสวรรค์ ฉบับ กวนอิมโพธิสัตว์

"...ฝ่ายอั้งไฮ้ยี่ (ในสำเนียงฮกเกี้ยน หรือ ห่งไห่เอ๋อ ในสำเนียงแต้จิ๋ว) ก็หารู้ว่าเป็นกลอุบายไม่ ถือทวนไล่ตามออกมาอีก 
เห้งเจียก็ทอดกระบองล่าหนีมา จึงเอามือที่พระโพธิสัตว์เขียนอักขระสยายปลายออก 
ปีศาจอั้งไฮ้ยี่ก็ให้เคลิบเคลิ้มตั้งใจไล่เห้งเจียออกมา บัดเดี๋ยวก็แลเห็นพระโพธิสัตว์ เห้งเจียจึงหันหน้าพูดแก่อั้งไฮ้ยี่ว่า ข้ากลัวเจ้าแล้ว เจ้าไล่มาถึงน่ำไฮ้กวนอิมแล้ว เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ ปีศาจไม่เชื่อก็ขยับไล่ ต่อมาเห้งเจียเห็นจวนตัวก็เข้าซ่อนตัวอยู่ข้างตัวพระโพธิสัตว์ ปีศาจเข้ามาใกล้เหลือบแลเห็นพระโพธิสัตว์จึงพูดว่า นี่เห็นจะเป็นเห้งเจียนิมนต์มากระมัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้พูดจาว่าอะไร ปีศาจยกทวนแล้วตวาดด้วยเสียงอันดัง พระโพธิสัตว์ก็มิได้ตอบว่ากระไร ปีศาจยกทวนแทงพระโพธิสัตว์ทีหนึ่ง พระโพธิสัตว์ก็บันดาลเป็นเป็นแสงทองเหาะหนีขึ้นอยู่บนเวหา เห้งเจีย ฮุยไง้ ก็เหาะตามขึ้นไปอยู่กลางเวหา ปีศาจหัวเราะว่า อ้ายลิงมันคิดผิดไม่รู้จักเรา มันต่อสู้แก่เราหลายครั้ง ก็เอาชัยชนะเราไมได้ มันยังไปหาพระโพธิสัตว์เป๋าน่องที่ไหนมา ถูกทวนเราทีนึงก็สูญหายไปไม่เห็นเงา ทิ้งแท่นกลีบบัวอยู่นี่ ไว้เราขึ้นนั่งจึงจะดี ปีศาจก็ขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางแท่น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เอายอดสนชี้ลงร้องว่า ถอยคำหนึ่ง ดอกบัวนั้นก็หายไป ปีศาจก็นั่งอยู่กับมีด พระโพธิสัตว์ก็ให้ฮุยไง้เอาไม้ท้าวปราบปีศาจลงไป เคาะไปเคาะมา ที่มีดนั้น ประมาณสักร้อยที มีดก็แทงตามแข้งขาปีศาจโลหิตไหลนองไป
ฝ่ายปีศาจติดอยู่จะไปทางใดก็ไมได้ ต้องทนความเจ็บปวดสุดที่จะพรรณา ก็เอาทวนโยนทิ้ง สองมือจับมีดถอน พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นก็เอากิ่งสนชี้ลงไป ร่ายพระคาถา มีดนั้นก็ยิ่งมัดแน่นเข้า   จะดิ้นรนไปอย่างไรก็ไม่ไหว    ปีศาจรู้สึกตัวกลัวตาย ร้องให้ พูดว่า ขอพระเมตตาปราณีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีแก้วตาไม่รู้จักท่านผู้มีอภินิหารบารมี แม้ท่านได้โปรดปล่อยข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่อาจทำร้ายต่อไป จะขอปฏิบัติตามทางชอบธรรม พระโพธิสัตว์ถามว่า เจ้าจะยอมถือศีลตามอาตมาหรือไม่ ปีศาจว่าแม้ท่านยกชีวิตไว้ ข้าพเจ้าขอถือทางชอบธรรมตามท่านไป พระโพธิสัตว์ว่า ถ้ากระนั้นอาตมาจะโกนผมให้และรับศีล พระโพธิสัตว์ จึงเอามีดโกนออกจากมือเสื้อเดินเข้ามาใกล้ จับผมทำเป็นสามแหยมนอกนั้นโกนเสีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พูดว่าอ้ายปีศาจดูแปลกประหลาด พิเคราะห์ดูมิใช่ชายมิใช่หญิง ไม่รู้ว่าจะเหมือนรูปอะไรที่ไหน พระโพธิสัตว์ชำระเสร็จแล้วจึงพูดว่า บัดนี้เจ้าได้รับศีลแล้ว เห้งเจียก็ไม่กล้าจะพูดดูถูกได้ อาตมาจะให้ชื่อ คือให้เรียกว่า เสียนใช้ท่งจื้อ  จะดีหรือไม่ ปีศาจผงกศีรษะยอม........................................................
....ฝ่ายปีศาจอั้งไฮ้ยี่จิตใจบาปยังไม่หมด และเห็นที่แข้งขามีบาดแผลยับเยิน และบนศีรษะมีผมอยู่สามหย่อม จึงคิดว่าเธอนี้มีฤทธิอานุภาพสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็ทำแต่บังคับเราเท่านั้น คิดดังนั้นแล้ว จึงวิ่งไปเก็บเอาทวนตรงมาแทงพระโพธิสัตว์ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ชักกระบองออกจะตี พระโพธิสัตว์ร้องห้ามว่า อย่าทำอาตมาจะบังคับเอง พระโพธิสัตว์จึงล้วงมงคลออกจากมือเสื้อวงหนึ่ง บอกแก่เห้งเจียว่า อันมงคลนี้ เดิมพระพุทธเจ้าให้มาสามวง วงหนึ่งเรียกว่า รัตนมงคล ก็ใส่ให้เห้งเจียแล้ว อีกวงหนึ่งเรียกว่า คุ้มห้ามมงคล ใส่ให้เจ้าเฝ้าเขานั้นแล้ว วงนี้เรียกสุวรรณมงคล จะต้องใส่ให้คนนี้โดยเหตุมันเชี่ยวชาญมาก พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้วก็เอามงคลโยนขึ้นไป ร้องว่าแปลงเป็นห้าวง แล้วจับมาหมายตรงอั้งไฮ้ยี่ ขว้างไปร้องว่า ใส่ มงคลห้าวงนั้นก็สวมใส่ หัวหนึ่งวง  ใส่มือสองวง ใส่เท้าสองวง  แล้วพระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถามงคลทั้งห้านั้น ก็รัดเอาปีศาจเจ็บปวดเหลือจะทนได้ ก็หมุนล้มลงกับพื้น
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ร่ายคาถาสองรอบสามรอบ ก็หยุดปีศาจก็หายเจ็บปวด จึงลุกขึ้นและดูในตัวที่คอและมือและเท้าทั้งสองข้าง ใส่ห่วงทองคำรึงรัดเจ็บปวดเหลือที่จะทน จะถอดออกก็อย่าพึงนึกเลยว่าจะถอดได้ คือห่วงนั้นพอกระทบเนื้อก็มีรากขึ้น ยิ่งถอดดึงก็ยิ่งเจ็บ
เห้งเจียเห็นแล้วก็หัวเราะพูดว่า พระโพธิสัตว์วิตกว่าจะเลี้ยงเจ้าไม่ใหญ่ จึงให้เจ้าใส่วงแหวน อั้งไฮ้ยี่ได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจวุ่นวาย ฉวยทวนไล่แทงเห้งเจีย เห้งเจียก็หลบอยู่ข้างพระโพธิสัตว์ ร้องเรียกให้พระโพธิสัตว์ร่าย  พระคาถา พระโพธิสัตว์จึงเอายอดสนจุ่มน้ำมนต์พรมไปทีนึง ร้องให้ประนมมือทวนนั้นก็หล่นไป สองมือก็ประนมเข้าหว่างอก ก็เลยเปิดไม่ออก
ฝ่ายท่งจื้อเปิดมือไม่ออก จะจับทวนก็ไม่ได้ จึงรู้สึกว่าอำนาจพระบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเชี่ยวชาญใหญ่กล้าไม่รู้แห่งที่จะแก้ได้ด้วยประการใด จึงได้ก้มศีรษะลงเคารพต่อพระโพธิสัตว์       พระโพธิสัตว์จึงได้ร่ายพระคาถาเอาขวดมณีน้ำมนต์เทกลับคืนไปยังทะเลใหญ่ ไม่เหลือสักหยดหนึ่ง แล้วพระโพธิสัตว์จึงบอกแก่เห้งเจียว่า ปีศาจนี้มันก็ยอมแล้วแต่จิตของมันยังไม่เรียบได้ อาตมาภาพจะต้องทรมานมัน ให้เดินก้าวหนึ่งไหว้ทีหนึ่ง กว่าจะถึงเขาพ่อซัวจึงจะถอนอาคมให้มัน ........... ฝ่ายปีศาจก็กระทำความเคารพต่อพระโพธิสัตว์สามสิบห้าที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น