วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

เรื่อง สูจิโลมสูตร ที่ ๕

ในภาพอาจจะมี 1 คน

*** ขอ นอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเศรียรเกล้า.......
เรื่อง สูจิโลมสูตร ที่ ๕ 
ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้ว อย่างนี้...( พระอานนท่ )
สม้ยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออกจากสมาบัติ อัน
ประกอบด้วย พระมหากรุณา ในเวลาไกล้รุ่งวันนั้น ทรง
ตรวจดูสัตว่โลก ด้วยพุทธจักษุ ได้เห็น อุปนิสัย แห่ง
โสดาปัตติผล แม้ ของยักษ่ ทั้ง ๒ คือ สูจิโลมยักษ่ และ
ขรยักษ่
ในเวลาอรุณขึ้น ทรงถือบาตร และ จีวร ได้เสด็จไปยัง
ประเทศ อันเป็นที่อยู่นั้น แม้ เป็นภูมิภาคชึ่งสกปรก อัน
เป็นที่ไหลออก แห่งของไม่สอาด มีประการต่างฯ
แล้วประทับนั่งบนเตียง ที่มีแคร่นั้น อันเป็นที่อยู่ของสูจิ
โลมยักษ่ ไกล้ท่าคยา
สมัยนั้นแล ขรยักษ่ และ สูจิโลมยักษ่ ได้ก้าวเข้าไปในที่
ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ...
##ถามว่า เพราะเหตุไร ยักษ์ทั้ง ๒ นั้นจึงก้าวเข้าไป
ในบรรดา ยักษ์ทั้งสองนั้น
ยักษ์ชื่อ ขรยักษ่ ในอดีตกาล เป็นชายคนหนึ่ง ได้ถือเอา น้ำมันของ สงฆ์ ไปทาสรีระ ของตน โดยไม่ขอ อนุญาติ เพราะกรรมนั้น เขาจึงใหม้ ในนรก
กาลต่อมา ได้มาเกิดในกำเนิดยักษ่ ที่ฝั่งแห่งสระโบก
ขรณี แห่ง คยา เขามีอวัยวะ แปลกประหลาด ผิวหนังเขา มีสัมผัส หยาบ เช่นกับกระเบื้องด้วยวิบาก
อันเหลือ แห่งผลกรรมนั้น นั่นเอง
*** ส่วน สูจิ โลมยักษ่ นั้น
ในสมัย แห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสป
เป็นอุบาสก ไปฟังธรรม เดือนละ ๘ ครั้ง
วันหนึ่ง เมื่อเขาประกาศ การฟังธรรม เขาเล่นอยู่ ที่นา
ของตน คิดว่า ถ้าว่า เราจะไป อาบน้ำไชร้ ก็จะชักช้า
ดังนี้ ทั้งฯที่ มีร่างกาย สกปรก นั้นเอง เข้าไปในโรง อุ
โบสถ แล้วก็นอนหลับ ไปบนเครื่องลาด อันมีค่ามาก
ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ อาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวคัมภีร่
สังยุตนิกาย กล่าวว่า เขาผู้นี้ เป็นภิกษุนั้นเอง หาใช่อุ
บาสกไม่ ด้วยกรรมนั้น และ กรรมอื่นฯอีก เขาจึงหมกไหม้ ในนรก และมาเกิด เป็นยักษ์ มีรูปร่าง
น่าเกลียด มีขน เหมือนเข็ม ก็ยักษ่นั้น ทำให้คนที่ตกใจ
กลัวอยู่ ดุจ ทิ่มแทง ด้วยเข็ม ฉนั้น เขาจึงชื่อว่า สูจิโลม
ยักษ์ ยักษ์ทั้ง ๒ ออกจากภพ ของตน เพื่อไปหากิน
แล้ว กลับมา โดยทางที่ตนไป นั้นเอง มาถึงยังทิสาภาค
ได้ก้าวเข้าไปยังที่ไม่ไกล จาก พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะดูหมิ่น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าว ด้วยความรุน
แรง ว่า บุรุษนี้ หาใช่ สมณะไม่ เขาเป็น สมณะปลอม
เมื่อจะทดลอง อีก จึงกล่าวว่า เราทราบ อยู่เพียงไรเป็น
ต้น แล้ว น้อมกายของตน เข้าไปหา พระผู้มีพระภาค
ให้หวาดกลัวจะได้หนีไป เห็น พระผู้มี พระภาคเจ้าไม่ทรงหวาดหวั่น สดุ้งกลัว...จึงกล่าวว่า สมณะ
เราจะถามปัญหากะท่าน ดังนี้..
##ถามว่า เพราะเหตุได สูจิโลมยักษ่ จึงถามปัญหา
ยักษ์คิดว่า สมณะนี้ เป็นมนุษย์ ย่อมไม่กลัวเรา ด้วยสัม
ผัส อันเป็นของ อมนุษย่ อันหยาบ อย่างนี้ เอาเถาะ
เราจะถามปัญหา สมณะนั้น ปัญหา อันเป็น พุทธวิสัย
สมณะนี้ คงจะตอบไม่ได้แน่แท้ และ ต่อจากนั้น เราจะ
เบียดเบียน สมณะ นี้ได้.. คิด อย่างนี้แล้ว จึงได้ถามปัญ
หา
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับ ปัญหานั้นแล้ว
( ปัญหา ใน อาฬวกสูตร )
ในบรรดา ปัญหา เหล่านั้น ราคะ และ โทสะ มีอะไร
เป็นนิทาน คือ มีอะไร เป็นเหตุ
กามคุณ ทั้ง ๕ ๑
ความสดุ้ง แห่งจึต ที่ถึงความนับว่า
ขนพอง สยองเกล้า เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความสดุ้งกลัว
๑ เกิดจาก อะไร
( เนื่องจาก การสนธนา จะยาวระเอียดมาก จึงขออนุญาติ
ตัด ย่อ ฯ ให้เข้าใจ ให้ศึกษาจากพระไตรปิฏก พระสุตตันปิฏก ขุทกนิกาย สุตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ ครับ จะระเอียดดีกว่า )
กิเลส ทั้งปวง มีราคะ เป็นต้น มีวิตก เป็นปริโยสาร
เกิดด้วยความ เยื่อใย ด้วย อำนาจ แห่งตันหา เกิดมี
ขึ้นในตน โดย อุปทาน ขันธ่ ๕ เถาย่านไทร เกิดแต่ต้น
ไทร ฉนั้น ย่านไทร ทั้งหลาย ชื่อว่า เกิดแล้ว แต่ลำต้น
ของต้นไทร เมื่อยางเหนียว อันเกิด แต่รส อันเกิดแต่น้ำ
ยังมีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ย่อม เจริญขึ้นได้
กิเลส ทั้งหลาย มี ราคะ เป็นต้น เหล่านี้ ก็ ฉันนั้น
มี ความ ยินดี พอใจ มีความเสน่หา คือ ตันหา ในภายใน ยังมีอยู่ ก็ เกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดขึ้น ก็ เจริญ ในทวาร ใน อารมณ์ และ วัตถุ ทั้งหลาย อัน ต่างประ
เภท มี จักษุ เป็นต้น เหล่านั้นฯ ในอัตภาพนั้น นั่นเอง
ราคะ ชึ่งเกิด ในตน ด้วยอำนาจ แห่งกามคุณ ๕ หรือ
ด้วย โทสะ เกิดด้วยอำนาจแห่ง อาฆาต วัตถุ ๑๐ เป็นต้น ..มีเป็นอันมาก ย่อม ติดข้อง เกี่ยวพัน ไว้
ดำรงค่ อยู่ ติดอยู่ กับวัตถุกาม ทั้งหลาย เหล่านั้น
คือ ตันหา เปรียบเสมือน ยางเหนียว ในพืช ย่อมที่จะ
เจริญงอกงาม เกิดขึ้นได้ ต่อฯไป
สัตว์เหล่าได ย่อมรู้หมู่แห่งกิเลส เหล่านี้ได้ เกิดจากเหตุ อะไร ย่อม เกิดขึ้นในอัตภาพ ชึ่งยื่อใยแล้ว
ด้วยยางเหนียว คือ ตันหา แล้ว ชำระยางเหนียว คือ
ตันหานั้นเสีย ด้วย ไฟ คือ ภาวนา ญาณปัญญา มี อาทีวานุปัสนา เป็นต้น ย่อม บรรเทา ย่อมละคลาย
ดูก่อน ยักษ์ ท่าน จงฟังสุภาษิต นั้น ของเราทั้งหลาย
พระศาสดา ทรงแสดง การกำหนด รู้ ทุกข์ ด้วยการทราบ ชัด ชึ่ง อัตภาพ และ ชึ่งการละ สมุทัย
ย่อมละ บรรเทา หมู่แห่งกิเลส นั้นเสียได้ สัตว์เหล่านั้น
ย่อมข้ามพ้น โอฆะ อันข้ามได้ โดยยาก แม้ในที่สุด
แห่งความฝัน โดยระยะกาล อันยาวนาน นี้
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงโดย มรรคภาวนา การทำ
นิโรธ ให้แจ้ง...
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงอริยสัจ ๔ นั้น เอง
ยักษ่ ที่เป็นสหายกัน แม้ทั้ง ๒ เหล่านั้น ฟังถ้อยคำ ที่
ทรงแสดง สัจจะ ๔ ก้าวข้าม ไปอยู่ โดยลำดับ ด้วย
ปัญญาที่ตนอบรมมาดีแล้ว ย่อม ไคร่ครวญ อรรถแห่ง
ธรรม ที่ตนทรงจำไว้ได้แล้ว ดังนี้ ก็ ดำรงต่ อยู่ในโสดา
ปัตติผล ในที่สุด แห่ง คาถานั้น นั่นเอง เป็น ผู้มีความ
เลื่อมใส และ เป็นผู้มีผิวพรรณ เพียงดังทอง ประดับด้วย อลังการ อันเป็นทิพย์ น่าเลื่อมใส ..

จบ การพรรณนาสูจิโลมสูตร แห่ง อรรถกถาขุทกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา....
ไว้แสดง ในโอกาศต่อไป....

ขอ ขอบคุณ ท่านเจ้าของภาพ ที่ได้นำมาแสดงในครั้งนี้
ขอให้ท่าน ยินดี ร่วม อนุโมทนาสาธุ สาธุ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น