วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปัญญาและความฉลาด

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ความฉลาดกับปัญญา
ในความรู้สึกของคนทั่วไป
น่าจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน
แต่ข้อเท็จจริงคือความฉลาด
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญญาเท่านั้น
ความฉลาดจะเน้นเรื่อง ‘สมองแล่น’
คือ คิดเร็ว แก้ปัญหาไว
พูดน้ำไหลจากหนึ่งถึงสิบราบรื่นไม่สะดุด
เชื่อมโยงของเก่าต่างๆเข้าด้วยกันเป็นของใหม่
เป็นนวัตกรรม เป็นอะไรที่สร้างบ้านสร้างเมืองได้
ส่วนปัญญาจะเหมารวมไปถึง
‘ความแจ่มแจ้งทางวิญญาณ’ ด้วย
กล่าวคือ นอกจากจะรอบรู้ ฉลาดเรียน ฉลาดคิดแล้ว
ยัง ‘ตัดสินดี’ รู้ว่าเป้าอันเป็นสุขอยู่ตรงไหน
ทำอะไรแล้วไม่เป็นโทษ
ไม่สร้างความเดือดร้อนกับตนเองและผู้อื่นในภายหลัง
กับทั้งทราบชัดด้วยจิตที่สุกสว่างเต็มดวงว่า
จะหลุดพ้นจากขั้วแห่งทุกข์ได้อย่างไร
ปัญญาแบบพุทธนั้น
ท่านเอากันถึงขั้นพ้นแบบเด็ดขาด
ไม่กลับมาต่อติดกับขั้วทุกข์ขั้วร้อนอีกเลย
คนที่มาถึงแค่ความฉลาดทางสมอง
บางทีพูดได้มาก พูดได้เหมือนรู้ว่า
คนมีปัญญาเขารู้อะไร คิดอะไร
แต่ในที่สุดคนฉลาดอาจพาชีวิตมาถึงทางตัน
เพียงเพราะเอาความฉลาดไปรับใช้กิเลสเสียหมด
คิดไวสร้างสารพัดข้ออ้างเก่ง
คิดเก่งสร้างสารพัดพันธนาการร้อยรัดตัว
หาเรื่องเถียงกันในบ้าน
สร้างเรื่องขึ้นนอกบ้าน
ปักใจยึดอัตตาและโทสะเป็นสรณะ
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
จิตมีธรรมชาติไหลลงสู่ที่ต่ำเหมือนน้ำ
ส่วนผู้มาถึงปัญญาเยี่ยงจิตวิญญาณแบบพุทธ
บางทีพูดไม่เก่ง เหมือนไม่รู้อะไรมาก
ไหวพริบในการแก้ปัญหาไม่ว่องไวแบบอัจฉริยะ
แต่ในที่สุดผู้มีปัญญาจะต้องพาชีวิตมาถึงทางออก
เพียงเพราะทุ่มเทสติปัญญาไปเอาชนะกิเลสได้เกลี้ยงเกลา
ห้ามใจไวเมื่อต้องเผชิญสารพัดสิ่งยั่วยุ
เล็งถูกทิศเมื่อต้องยกระดับจิตระดับใจให้สูงขึ้น
เกิดปัญหาแล้วแก้ปัญหาทั้งนอกบ้านในบ้าน
ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วซ้ำเติมปัญหาให้หนักขึ้น
ปลงใจยึดหลักธรรมอันสว่างเป็นสรณะ
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ได้ใจความสรุปว่า
ผู้ดำเนินตามวิถีแห่งพุทธย่อมทวนกระแสทุกข์
ความฉลาด ไม่ใช่ไม่ดี
ตรงข้าม เป็นบันไดขั้นแรกสู่ปัญญาได้
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่รู้จักความเป็นพุทธช้า
บางทีกินเวลานานค่อนชีวิต
กว่าจะยกระดับจากฉลาดเป็นปัญญาได้จริง
อาจจะต้องโดนความฉลาดของตัวเองเล่นงาน
กัดกินหัวใจ หรือลงโทษให้เห็นทุกข์หนัก
จนอ่อนแรงพอเสียก่อน
ถึงจะเร่ิมห้ามใจไม่ให้ไหลสู่หลุมดำ
แล้วต่อยอดเป็นการใช้ใจหาแสงสว่างได้ถูก!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น