วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

อดีตภพชาติเก่าของข้าพเจ้า

ในภาพอาจจะมี 1 คน

!!! อดีตภพชาติเก่าของข้าพเจ้า...
  • ...เนื่องจากใด้มีบุคคลหนึ่งจาบจ้วง ปรามาถ ใส่ความข้าพเจ้า จึงจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนในอดีตชาติ ให้เพื่อนๆ และกัลยาณมิตรทั้งหลายใด้ทราบ ดั่งนี้...
  • !!! เมื่ออดีตกาลนานมาแล้วหลายหมื่น ข้าพเจ้าใด้ลงมาจุตติยยังมิติโลกมนุษย์ ใด้เกิดเป็นนาคราช มีนามว่า วินันโท เป็นราชบุตรเขยของพ่อปู่ศรีสุทโธและแม่ย่าศรีปทุมมา มีหน้าที่รักษาพระสารีริกธาตุส่วนขาของพระพุทธเจ้า ส่วนราชธิดาของพ่อปู่ศรีสุทโธและแม่ย่าศรีปทุมมาเทวีแห่งคำชโนด ขณะนี้ใด้ไปจุตติยังทิพย์วิมานบนเทวโลกแล้ว ...
  • !!! เมื่อข้าพเจ้าสิ้นอายุไขในภพของนาคราชแล้ว ใด้มาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นามสังขารปัจจุบันคือ ปู่กายไร้ทิพย์ จิตไร้รูป เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าใด้มาเกิดในสมัยพระสมณโคตมะนั้น ใด้ปฏิบัติพรหมจรรย์จนใด้ตรัสรู้เป็นพระพุทธปัจเจกพุทธเจ้า มีนามว่า วินันโท...
  • !!! เมื่อสิ้นอายุขัย ในการเป็นพุทธปัจเจกแล้ว ก็กลับขึ้นสู่ดินแดนแห่งพุทธปัจเจก แต่เนื่องด้วยเหตุภพชาติเดิมของข้าพเจ้า ใด้ปราถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ขอตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเวลา 120 อสงไขย เป็นอย่างน้อย จึงต้องลงมาจุตติในภพมนุษย์เพื่อสร้างสะสมบุญบารมีทั้ง 30 ทัสให้ใด้สมดั่งปนิธาน และใด้เวียนว่านตายเกิดในสามโลก ทั้งนรก สวรรค์ โลกมนุษย์ แล้วใด้มาจุตติเกิดเป็นเจ้าชายในยุค อาณาจักรกรุงละโว้ ในสมัยพระแม่เจ้าจามเทวี มีนามว่า เจ้าชายรามราช และเมื่อถึงวัยอันสมควรจึงใด้สละราชสมบัติออกบวช และใด้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ครองนครในอดีต มีชื่อว่า เมืองเวียงลอ เมื่อสมัย1000กว่าปี พร้อมกันในยุคเกิดเมืองเชียงแสน มีนามว่าพระเจ้าหงส์หินโพธิสัตว์ ในปัจจุบันนี้กินอานาบริเวณ อ.ป่าแดด อ.จุน อ.เทิง อ.เชียงคำ ฯลฯ...
  • ส่วนหงส์หินที่เห็นในรูปนั้นคือ ยานพาหนะที่พระอินทร์พระราชทานให้ และคนที่นั่งข้างหลังนั่นคือพระมารดาของพระเจ้าหงส์หิน แต่เดิมพระเจ้าหงส์หินเป็นราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร แห่งเมืองพาราณสี ที่ชมพูทวีปแต่ด้วยบุพกรรมจึงใด้มามีมเหสีที่เมืองเวียงลอทั้งหมดสามพระนาง ชาติที่เกิดเป็นพระเจ้าหงส์หินนี้ นับชาติใหม่ที่ลงมาจุตติเป็นภพชาติที่6000 กว่าร้อยชาติ และเมื่อสิ้นอายุขัยจากภพนี้แล้ว ก็ใด้เวียนว่ายเกิดดับมาเกิดเป็นข้าพเจ้าในปัจจุบัน ...
  • ...ข้าพเจ้ามีจิตสะอาด สว่างบริสุทธิ์ มิจำเป็นต้องคอยพึ่งพาอาศัยดูดพลังงาน ของเทพหรือมนุษย์ผู้ใด เมื่อบุคคลใด ที่ฝึกจิตใจตนเองให้หลุดพ้นจาก โทษะ โลบโกรธหลงใด้เบาบางหรือมีจิตที่ละเอียดมากขึ้น พลังงานแห่งแสงทั้งหลายจะหลั่งใหลมาสู่ร่างกาย ธาตุขันธ์ จิตวิณญาญเองอัตโนมัต ส่วนคนที่คิดว่าการดูดพลังผู้อื่นนั้น เป็นความคิดที่เบาปัญญา เป็นความคิดนึกที่มีแต่ในหมู่มารเท่านั้น ผู้ที่มีดวงจิตบริสุทธิ์เค้าไม่คิดกันหรอก มันไร้สาระเป็นความนึกคิดของเด็กๆ...
  • !!! ถ้าหากข้อความเหล่านี้ กระทบกระเทือนจิตใจผู้ใด ข้าพเจ้าขอขมากรรมด้วย และโปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย .
  • ...บุคคลใดสร้างกรรมใดใว้...
  • ...ดาบนั้น คืนสนอง เอวัง.ฯ

ในภาพอาจจะมี 2 คน

ในภาพอาจจะมี ต้นไม้ และ สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี 2 คน, สถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ต้นไม้ และ สถานที่กลางแจ้ง



วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

716... พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ในภาพอาจจะมี 1 คน

716... พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
....เมื่อเราขอรับสรณะ จากพระพุทธเจ้า เราแสวงหาที่พักพิงจากคุณสมบัติของพระองค์...ซึ่งเรายังพัฒนาไปได้ไม่เต็มที่....คุณสมบัติที่ว่านั้นคืออะไร?
… คือมีความสงบศานติ มั่นคงดั่งภูเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปลอบประโลม เปิดกว้างดังอวกาศ ไม่มีความปรารถนา ไม่มีตัวตน ไม่มีความโกรธ ไม่มีการตัดสิน ไม่มีสิ่งซ่อนเร้น เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง นี่คือสิ่งที่เราได้จากชั่วขณะของสมาธิ ชั่วขณะที่เรามีประสบการณ์ในการปฏิบัติภาวนานั้นช่างปลอบประโลมชีวิตเราเป็นอย่างมาก
**.... พุทธะเป็นที่รวมของสิ่งเหล่านั้น! ทั้งปวงของพุทธะคือสิ่งนั้น! เมื่อเรารู้สึกถึงมัน และไว้วางใจในสิ่งนั้นจริงๆ และเรา จะเชื่อมั่นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต นั่นแหละขั้นแรกของการรับสรณะ
..฿....การคิดถึงอนิจจังทำให้เธอตื่นขึ้นมา….การคิดถึงความตายทำให้เธออ่อนน้อมถ่อมตน
...คิดถึงความตาย คือ การคิดถึงช่วงเวลา ณ ขณะนี้
++.....เมื่อเราปฏิบัติธรรม แล้วล้มเหลว แต่อย่าเสียแรงปณิธาน แค่ทำต่อไป ผู้ปฏิบัติสมาธิต้องไม่ด่าว่าตนเองสำหรับความผิดพลาด นั่นแหละความหนักแน่นมั่นคงของผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา
...........ถ้าเราอยากจะเปิดประตูสู่ความรู้ เราจะต้องแน่วแน่ในการมองเข้าไปในจิตใจของตัวเอง
เพราะนั่นคือที่เดียวที่จะเริ่มต้นค้นหาสัจจะ
.. สังสารวัฏ คือ จิตที่ส่งออกข้างนอก หลงอยู่ในสิ่งที่คิดขึ้นเอง
....นิพพาน คือ จิตที่ส่องเข้าข้างใน และตระหนักถึงธรรมชาติของ (จิต) ตน
***.....แก่นแท้ของพุทธธรรมคือการฝึกควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้ ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง และฝึกฝน เปลี่ยนแปลงจิตใจของตัวเองได้ และ ผู้ปฏิบัติธรรมควรมีความจริงใจและซื่อสัตย์ มอบกาย มอบใจ ด้วยศรัทธาตถาคตเต็มเปี่ยม..เมื่อศรัทธา ย่อมปฏิบัติตามคำสอน ด้วยจิตใจแน่วแน่... จึงจะน้อมนำธรรมะของพระพุทธองค์มาปฏิบัติอย่างแท้จริง..และเดินตามรอยพระพุทธองค์ จนถึงที่หมายแห่งการพ้นทุกข์.

718... คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ทะลุจักรวาล

ในภาพอาจจะมี 1 คน

718... คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ทะลุจักรวาล
...คาถา ที่ทำให้ จักระ(ที่อยู่ของจิตวิญญาณหนาแน่น) ในร่างกายมีความเร็ววงรอบสูง กลายเป็นสนามแม่เหล็ก มีพลังงาน
ทำให้การเข้าสมาธิได้อย่างล้ำลึก เชื่อมความรู้ในจักรวาลได้เร็ว คือ ๘ คาถา ดังนี้
๑“จงคิดถึงข้าเถอะ”
เมื่อเราคิดถึงคนที่อยู่ในใจเรา ที่เราศรัทธา จักระ 6(ตรงหน้าผาก) จะหมุนด้วยความเร็วสูง เชื่อมต่อกับคนที่อยู่ในใจของเรา ที่เราเคารพบูชา
+.*.. ทำไม ?.หลวงปู่ดู่...ถึงกล่าวว่า
” เอ็งคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเอ็ง เอ็งไม่คิดถึงข้า ข้ายังคิดถึงเอ็ง” ..การนึกถึงหลวงปู่..ผู้มีบารมีโพธิสัตว์เต็ม
ผู้ที่มีพลังการเคลื่อนไหวสูงสุดในจักรวาลนี้ ขณะนี้ ทำไมเมื่อนึกถึงหลวงปู่บ่อยๆ..จึงสัมผัสความเป็นทิพย์ได้ง่าย
เพราะการนึกถึงท่าน จึงก่อเกิดพลังงานหมุนวน ในกายในจิตเรา ตรงตาที่สาม.ที่หน้าผาก.
๒.จงรักข้าเถอะ
ยิ่งมีความรักมากเท่าไหร่ จักระ 4(หัวใจ) จะขยายแบบไม่รู้จบ สามารถดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาอย่างมหาศาล
+.*.. ทำไม ?.หลวงปู่ดู่...ถึงกล่าวว่า “ เอ็งอยากได้อะไร ให้ขอข้า ข้ามีทุกอย่างให้เอ็ง”
การจะขออะไรจากใคร เราจักต้องมีความรัก ความศรัทธา ความผูกพัน เหมือนเราขอเงินจากพ่อแม่..
หลวงปู่ท่านมีบารมีเต็มทุกอย่างแล้ว ล้นแล้ว ด้วยกำลังมหาโพธิสัตว์ ที่มีมหาเมตตา การร้องขอกับผู้ที่มีบารมีมากกว่า
แสดงถึงความเคารพ แต่ถ้าไปขอจากคนที่น้อยกว่า เป็นการโลภมาก..รักมาก ยิ่งกล้าขอมาก

๓..จงรักข้าจนสุดขั้วหัวใจเถอะ
ต้องมีความปรารถนา ความรู้สึกที่รุนแรง จะเกิดการดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาลที่กลุ่มเส้นเลือดดำ จักระ 1(ก้นกบ) พลังคุณฑาลินี จะลอยขึ้นมาสู่จักระ หน้าอก และ หน้าผาก เปลี่ยนแปลงคลื่นความถี่ของสมอง และสำเร็จทางจิตเป็นคุณธรรมอันวิเศษ
+..*. ทำไม ?.หลวงปู่ดู่...ถึงกล่าวว่า..”เอ็งจะทำอะไร เห็นอะไร ให้นึกถึงข้า เมื่อแกนึกถึงข้า เหมือนนึกถึงแฟนเมื่อไร
แสดงว่า เอ็งใกล้ดีแล้ว” เพราะผู้ที่จะนึกเห็นหน้า เห็นดวงตา เห็นการยืน เดิน นั่ง ของหลวงปู่ ชัดเหมือนเห็นหน้า
แฟนได้ ย่อมต้องมีความรัก เทิอดทูน หลวงปู่สุดหัวใจ แล้วกระแสความดีงามย่อมหลั่งไหลมาในกายและจิต
๔.จงมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้าเถอะ
การรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มาจากผลของ จักระ1 จักระ4 และจักระ6 ดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล โดยปริมาณประจุไฟฟ้า จะขยายออก เชื่อมต่อกับจักรวาล เป็นหนึ่งเดียว กับจักรวาลได้ และนิ่งโดยสมบูรณ์ที่แกนกลาง..
*+..ทำไม? หลวงปู่ดู่ จึงให้ฝากดวงชะตาไว้กับท่าน..!
...เพราะเมื่อจิตเรามอบให้ท่าน ผู้มีบารมีเต็มท้องฟ้า .ทำให้จิตเรา ดวงชะตาเราหลอมรวมกับบารมีของท่าน..
กรรมเวรต่างๆจะเจือจาง. ได้รับการคุ้มครอง และกระแสบารมีจะเติบโตไว
๕.ด้วยนะ โม พุท ธา ยะ
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และท่านเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พลังงานพระอรหันต์ อยู่ในรูปกัมมัตรภาพรังสี เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ ถึงแปรธาตุได้
*ทำไม? ต้อง นะโม พุทธายะ..
...ในภัทรกัปที่เราอยุ่นี้ เป็นยุคของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ที่ดูแล นำทาง สู่สัจธรรม เป็นที่รวมของกระแส
พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ส่งผ่านมา เป็นกระแสแห่งความบริสุทธิ์ เป็นกระแสแห่งพลานุภาพ
กระแสแห่งการตื่นรู้..ที่ยังกระจายเต็มอยู่ทั่งท้องฟ้าและจักรวาล
๖.เมื่อใดที่ข้าเคลื่อนไหว ข้าคือจักรวาล
การเคลื่อนไหว สามารถดูดซับประจุไฟฟ้า เกิดการรวมเส้นสายเข้าจนหนาแน่น จนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
+..ทำไม? หลวงปู่ดู่ จึงให้ดุรูปภาพท่าน คุยกับรูปท่าน จนภาพมันเคลื่อนไหว มันพูดได้..!
….เพราะ การจดจ่อ ใส่ใจ การนึก ส่งกระแส มันจะก่อเกิดกระแสเชื่อมโยงพลังงาน และพลังงานที่สูงกว่า..จะไหลลงมาที่น้อยกว่าคือเรา..
จึงทำให้เราได้รับกระแสของมหาโพธิสัตว์ จึงเกิดการเคลื่อนไหวของภาพ และเสียง ด้วยพลังงานเชื่อมถึงกัน
๗.ข้าเป็นทั้งกลางวัน และกลางคืน
เมื่อเราอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก จะเป็นกระแสพลังงานเป็นอัตโนมัติ มีการขับเคลื่อนตลอดเวลา เราจะสามารถรับรู้ รู้สึกถึงสิ่งที่มากระทบ
ได้ตลอดเวลา เราจะเห็น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้ในทุกๆสถานการณ์
*+..ทำไม? หลวงปู่ดู่ จึงกล่าวว่า” ข้าอยู่ทุกสถานที่ ทุกเวลา “
..เพราะบารมีมหาโพธิสัตว์ ยังไหลเวียนตลอดเวลา มิเคยหลับใหล ไม่มีกลางวันกลางคืน แผ่ไปทั่วจักรวาล มิมีแบ่งแยก
ชนชั้น คน สัตว์ ชาวทิพย์ อยู่ที่จิตเราปฺดรับกระแสของท่านได้แค่ไหน...
๘...ข้าคือ ข้าคือ...
การรวมทุกสิ่ง จนสามารถเชื่อมต่อและเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ด้วยสวดท่องบ่น เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบ ท่องบ่นไปเรี่อยๆ
จนมาถึงคำว่าข้าคือ ข้าคือ ข้าคือ ข้าคือ ไปเรื่อยๆ ให้ลากเสียง...คือ...ให้ยาว แล้ว การดำดิ่งเข้าสมาธิจะเกิดขึ้น เพราะความเร็ววงรอบที่เกิดขึ้น
*ทำไม? หลวงปู่ดู่ จึงกล่าวว่า” เมื่อเอ็งมีบารมีมากๆ เอ็งจะเป็นอะไรก็ได้”
..เพราะ..ทุกอย่างจะได้มา ต้องมีบารมีไปแลก ไม่ว่า ต้องการเป็น พระพุทธะ ปัจเจกพุทธะ หรือ อรหันต์พุทธะ
ท่านผู้อ่าน..ต้องการอะไร?....ข้าคือพุทธะ...หรือ..ข้าคือ..อริยะ..เลือกเถิด!..
**..คาถาเต็ม++
จงคิดถึงข้าเถอะ -จงรักข้าเถอะ -จงรักข้าจนสุดขั้วหัวใจเถอะ -จงมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้าเถอะ -ด้วยนะ โม พุท ธา ยะ
เมื่อใดที่ข้าเคลื่อนไหว ข้าคือจักรวาล –ข้าเป็นทั้งกลางวันและกลางคือ- ข้า คือ ข้า...... คือ..... ข้า...... คือ ข้า..... คือ ข้า..... คือ ข้า......คือ
+*+…การท่องคาถานี้จะได้ผล ต้องมีมโนภาพ มีความรู้สึกตามตัวคาถาจริงๆ จะเข้าสู่”อุปจารสมาธิ”
เมื่อจิตเริ่มนิ่ง สงบแล้ว...จึงทำสมาธิ .ต่อไปเลย.
$...อนึ่ง ข้อเขียนบางอย่างในบทความนี้..ใจข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรก็เขียนไป.ในเรื่องราวหลวงปู่ดู่..
มันออกมาเอง มิรู้ว่าผิดหรือถูกประการใด..เพียงแต่จริงใจในการนำเสนอ และขอน้อมถวายกุศล
แห่งธรรมทานนี้ แด่องค์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ องค์นะโมพุทธายะ ด้วยกาย วาจา ใจ ตลอดอนันตกาล

715.เรา "ไม่มีศัตรู" ? :

ในภาพอาจจะมี 1 คน
715.เรา "ไม่มีศัตรู" ? : 
คุรุแห่งหุบเขาเด็นขอค ทิเบต
..เมื่อใดที่เราสามารถเอาชนะความเกลียดชังในจิตใจของตนเองได้ เมื่อนั้นเราก็จะค้นพบว่าในโลกภายนอกนี้ไม่มีสิ่งใดแม้เพียงสิ่งเดียวที่เป็นศัตรูอยู่เลย"
….. ความเกลียดชัง หรือความมุ่งร้าย ที่ใครๆมีต่อเรา แต่เราก็ควรรักเขาให้มากยิ่งขึ้น แม่ นั้นเต็มไปด้วยความรักต่อลูก โดยไม่สำคัญว่าลูกจะทำอะไรใน ขณะที่แม่ให้นม ลูกอาจกัดหัวนมของแม่และทำให้เจ็บยิ่งนัก แต่แม่ไม่เคยโกรธหรือรักลูกน้อยลงเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม่ยังคงดูแลลูกต่อไปอย่างดีที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้..นั่นตัวอย่างโพธิจิต ที่เห็นชัด
฿..เพราะพวกเขายังมีความหลงผิด พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และความกรุณาของเรา มากยิ่งกว่าใครอื่น ไม่สำคัญว่าเขาจะประพฤติตัวชั่วร้ายเพียงใด พวกเขาคือเหยื่อแห่งอารมณ์ต่าง ๆ ของใจเขาเอง เราผู้ใหญ่ จะไม่ขัดเคืองใจ แต่จะพยายามด้วยความรัก อันยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือเด็กให้ปรับปรุงตัวดีขึ้น"
" บางคนที่ทำร้ายเรา จงอุ้มชูบุคคลนั้นไว้ด้วยความเคารพและจงใช้โอกาสอันดีนี้อย่างเต็มที่ในการชะล้างข้อผิดพลาดต่างๆของเรา รู้สึกรักและกรุณา นั่นคือสัญญาณว่าจิตใจของเรา ได้แปรเปลี่ยนอย่างเต็ม
#...."เมื่อใดที่เราสามารถเอาชนะความเกลียดชังในจิตใจของตนเองได้ เมื่อนั้นเราก็จะค้นพบว่าในโลกภายนอกนี้ไม่มีสิ่งใดแม้เพียงสิ่งเดียวที่เป็นศัตรูอยู่เลย แต่ถ้าเราพยายามที่จะเอาชนะศัตรูภายนอก ยิ่งชนะศตรูมันก็จะมีเพิ่มมากขึ้นมาแทนที่เสมอ จริงแล้ว”ตัวความเกลียดชัง” ความโกรธ เองนั่นแหละ มาครอบงำ มันคือ**..”ศัตรูที่แท้จริง” และไม่อาจยอมให้มันดำรงอยู่ได้"มันนำพาเอาความทุกข์มาสู่ทั้งตัวเราเองและผู้อื่น..
**...ความโกรธ ความเกลียดชัง มันอยู่ตรงไหนในตัวรา ?...,มันในสมองของเธอในหัวใจ ในกระดูก หรือในส่วนอื่นๆของร่างกายเราได้ไหม ?"..ไม่เลย!..มันไม่ได้มีอยู่จริง..ถ้าเราระลึกรู้(สติ)ได้ว่า “..ธรรมชาติของความโกรธนั้นว่างเปล่า”.. มันก็จะสูญสิ้นพลังแห่งการทำลายของมันจนหมดสิ้น แล้วความว่างและธรรมชาติอันกระจ่างของจิต จะเปิดเผยออกมา หวนคืนสู่ภาวะธรรมชาติแห่งความอิสระหลุดพ้น
**…"วิธีที่เราจะควบคุมมันได้คือการเพ่งสมาธิในขันติ และ ความรัก เมื่อใดที่ความรักและความกรุณาหยั่งรากลงในชีวิตของเรา ...เมื่อนั้น . ... จะไม่อาจมีศัตรูภายนอกใด ๆอีกเลย "

717.. ปล่อยวาง..กุญแจรู้แจ้ง

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
717.. ปล่อยวาง..กุญแจรู้แจ้ง
  • การปฏิบัติธรรมใช่เพียงการนั่งสมาธิ หากแต่รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การรับประทานอาหาร แม้กระทั่งการพักผ่อนนอนหลับ
    • “พระจันทร์และดวงดาวอาจตกจากฟากฟ้า
    • ภูเขาและเมืองอาจถล่มลงมาได้
    • ท้องฟ้าสามารถเปลี่ยนแปลงสีสัน
    • แต่วาจาของเรานั้นจะต้องไม่หลอกลวง”
  • ......มองตรงไปที่จิต เมื่อไม่พบอะไร ก็ให้ ”ปล่อยวาง" เราแค่ เฝ้าสังเกตการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป 
  • มองเห็นกระแสของความคิดนั้น โดยไม่จับยึดไว้ แล้วความคิดนั้นก็จะสลายตัวไปเองอย่างไร้ร่องรอย 
  • ณ ขณะนั้น...จงปล่อยวางและผ่อนคลาย ต่อจากนั้น ทำซ้ำอีก เฝ้าดู เมื่อยังไม่เห็น จงผ่อนคลาย และเฝ้าดู ..ถ้าเธอยังไม่เห็นอีก .ก็พักผ่อนคลาย
  • *....การจะรู้แจ้งได้ แค่ไม่ยึดอยู่ตลอดเวลา ไม่ยึด และไม่ยึด กุญแจสำคัญคือ”การปล่อยวาง” และ ” “หยุด” 
  • ให้เฝ้าดูกระแสตามธรรมชาติของความคิด และปล่อยวางความคิดนั้น เป็นคำสอนที่ล้ำค่าและง่าย
  • **....เมื่อฝึก”ปล่อยวาง” เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์อันไร้สาระ ไม่ต้องทรมานตัวเองอย่างแสนสาหัสและไม่ต้องทรมานคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน 
  • จะเริ่มลดการทำบาปกรรม ลดตัวตน(อัตตา) ของลง และนั่นหมายความว่า เรากำลังเดินอยู่มรรควิถีของผู้รู้แจ้งอย่างแท้จริง
#...ทำอย่างไรน่ะหรือ?
  • ...เพียงเฝ้าดู เมื่อเธอไม่พบอะไร ก็ปล่อยวาง .. แค่เฝ้าดู เมื่อไม่เห็นอีก ก็ปล่อยวาง ..
  • ...เมื่อเรากำลังทำสมาธิอยู่ และความคิดเข้ามา ไม่จำเป็นต้องปล่อยวาง 
  • ....จริงๆ แล้วไม่มีอะไรจะต้องปล่อยวาง
  • ....แค่ปล่อยให้มันเป็นไป และกลับมาสู่ปัจจุบันขณะอย่างนุ่มนวล..แค่นั้น..เพียงพอแล้ว
  • ....แล้วความจริงแท้จะปรากฏต่อหน้าต่อตา..

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

714. ความเรียบง่าย และ สัมผัสกับที่ว่าง

ในภาพอาจจะมี 1 คน

714. ความเรียบง่าย และ สัมผัสกับที่ว่าง
  • การสัมผัสกับที่ว่างเปิดโล่งได้นั้น เราก็จะต้อง สัมผัสกับรูปทรงของโลก และรูปทรงของรูปต่าง ๆ เราจะต้องกลับมาสู่ ปัญหาในชีวิตประจำวันของเรา ใน ความ เรียบง่ายและเที่ยงตรงในกิจวัตร ประจำวัน หากรับรู้ ที่ว่างเปิดโล่งได้ มองมันลงไปให้ลึกซึ้งชัดเจน พิจารณาดู ซีมซาบตัวคุณเองเข้าไป จนกระทั่งความเหลวไหล ไร้สาระ ของรูปทรงของมันกระทบใจเรา แล้วเราจะเห็นความว่างของมันได้
  • .+..ในการทำสมาธิภาวนา ความคิดทั้งหลายล้วนเหมือนกัน ความคิด ดีงาม ความคิดสวยสด ความคิดเชิงศาสนา ความคิดสงบ ทั้งหมดก็ยังเป็น เพียงความคิด แม้แต่ ความคิดอันสูงส่ง ก็ยังเป็นเพียงความคิด และไม่ควรปลูกฝัง
  • ***...เราต้องเริ่มปล่อยให้ความเป็นธรรมชาติบาง อย่างซึมซาบสู่ตัวเรา ธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ที่นั้นเสมอ แต่มันถูกบดบังด้วยความคิด กลีบเมฆของความคิด มันจะฉายแสงออกมา เข้าไป หาและรับรู้ทางเปิดฉับแรกนั้นเถิด และด้วยการเปิดนี้เองที่ความรู้พื้นฐาน จะปรากฏ
  • &..แรงกระตุ้นที่บันดาลใจ จะมาจากบางสิ่งที่อยู่เหนือความคิด คำนึง ไปพ้นจากความคิดบัญญัติว่า " ดี " หรือ " เลว " " น่าปรารถนา " หรือ " ไม่น่าปรารถนา " เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่ในธรรมชาติ เป็นความรู้สึกที่ว่าง เป็นธรรมชาติอย่างเที่ยงตรง.
  • &.. หลายต่อหลายคนห่มจีวร แต่งชุดขาว สละ โลกียวิสัย แล้วดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัด ละทิ้งความประพฤติสามัญของ มนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังมีจิตใจอันสับสน ปกติ วัตถุจะส่งผลกระทบใจและใจ จะตอบโต้วัตถุ ตอบโต้ไปมา หากเราเอาจีวรมาสวม บังคับตัวเองให้นั่งสมาธิ อย่างมุ่งมั่น ถ้าจิตใจ ยังหมุนคว้างอยู่อย่างเดิม ความสับสนยังพลุ่งพล่าน ความโมโหตัวเองที่จิตไม่สงบ ยิ่งทำให้ ความสงบยิ่งห่างไกล..


  • +*+*...แต่ครั้นเราทำตัวธรรมดา นอบน้อม เรียบง่าย การนั่งสมาธิเหมือนการไปอาบน้ำ ไปกินข้าว ทำตัวปกติ เข้าไปที่สงัด ไม่คาดหวังเลอเลิศอะไร เพียงลงมือทำสมาธิ เบาๆ และปล่อย ให้ความสงบรำงับ ไหลบ่าออกมา นั่นจะมีอานิสงส์ใหญ่ เป็นการเปิดต่อตัวเองอย่างสิ้นเชิงก็คือ การเปิดต่อโลกทั้งโลก

713. การบำเพ็ญสมาธิภาวนา”แท้จริง”

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ สถานที่กลางแจ้ง

713. การบำเพ็ญสมาธิภาวนา”แท้จริง”
โดย คุรุ วัชรยานธิเบต
  • ข้าพเจ้าขอนำคำสอน “คุรุวัชรจารย์ทิเบต มาย่นย่อ ร้อยเรียง เป็นธรรมทาน ให้กับผู้แสวงหาความหลุดพ้นทุกดวงจิต...
  • และขอโมทนากับบารมีธรรมของผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามบทความอันฉวัดเฉวียนของข้าพเจ้า แสดงถึงตบะญาณบารมีของทุกท่าน อันมีกำลังเช่นกัน ขอเชิญทัศนา..
  • ฿...การบำเพ็ญสมาธิ...มิใช่การพยายาม เข้าสู่ภาวะจิตตกสู่ภวังค์ หรือ “ถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง” 
  • สมาธิภาวนาทั่วไป ที่เรียกว่า " การเพ่ง" คือ..กำหนดรวมจิตไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เป็นพิเศษ เพื่อให้บังคับควบคุมจิตใจได้มากขึ้น 
  • ผู้ปฏิบัติจะเลือกวัตถุมาจ้อง ครุ่นคิดสร้างนิมิตแล้ว ทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดลงไปในวัตถุนั้น เรียกว่า " จิตกรีฑา " ( กสิน ) มันยังมีการ ผู้เพ่งและสิ่งถูกเพ่ง เป็นของคู่..เป็นการเสริมกำลังให้..อัตตา..

  • **...การเพ่งนั้นเนื่องอยู่กับจุดใด จุดหนึ่งและวัตถุภายในใจ เราจึงมักดำดิ่งสู่ศูนย์กลางของ " หัวใจ " 
  • ไม่ว่าเพ่งดอกไม้ หิน หรือไฟ ภายในใจนั้น เรากำลังดำดิ่งสู่หัวใจให้ลึกลงไป มั่นคง และแน่นิ่ง ในระยะยาว
  • การทำให้เรากักขัง ตัวเองในแง่ที่ทำให้เคร่งขรึม และทื่อทึบ มันหนักเกินไปและทำให้เรา ติดรูปแบบได้ง่าย 
  • เราหวังผลในอนาคต เป็นการเอาผ้าผูกตาตนเอง ทำให้ ไม่ไวต่อปัจจุบันขณะ ทำให้เราพลาดจากความเที่ยงตรงและการเปิด ทั้งภูมิปัญญาในปัจจุบัน ** ขณะนี้ เดี๋ยวนี้...
  • ***… ส่วนการบำเพ็ญสมาธิภาวนาที่แท้จริง คือ หนทางก้าวออกจาก อัตตา เป็นรากฐานที่สถานการณ์ในปัจจุบันขณะ คือสภาพจิตใจในปัจจุบัน กำหนดรู้ภาวะปัจจุบันของตัวเราและ สภาพรอบ ๆ ตัวได้อย่างหมดจด
  • &….ขอเราเพียงแต่ ปล่อยวาง ความรู้สึกที่ว่างและปลอดโปร่งจะมาเอง อันเป็นการปรากฏของธรรมชาติแห่งพุทธะหรือภูมิปัญญาขั้นพื้นฐาน
  • ซึ่ง แล้วเราเริ่มจะเข้าใจ " ความจริงว่าด้วยหนทางดับทุกข์ " อันเป็นอริยสัจข้อที่สี่ เราจะ กำหนดรู้การยืนแล้ว กำหนดรู้ว่าเท้าขวา กำลังยกขึ้น กำลังย่าง กำลังสัมผัส กำลังก้าวลงไป ครั้นแล้วก็มาที่เท้าซ้าย ยก ย่าง สัมผัส ก้าว คือ ความเรียบง่ายและคมชัดในการดำรงอยู่ กับชั่วขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
  • +*+....ทำนองเดียวกับการกำหนดรู้ ลมหายใจ ( อานาปานสติ) คุณกำหนดรู้ลมหายใจเข้าที่ผ่านปลายจมูก ลมหายใจออก และลมที่แหวก บรรยากาศออกไป มันเป็นความเที่ยงตรงที่คม ชัด เราจะตระหนักได้ว่าทุก สิ่งทุกอย่าง ล้วนงดงามและมีความหมาย
  • @....การเดินจงกรม การรู้ลมหายใจ การมีสติ เรียกว่า สมถะภาวนา คือ”หินยานมรรค” หรือ " ยานลำน้อย" อันเป็นมรรคที่แคบอยู่ แต่จำเป็น หมายถึง " ความสงบ " เพราะความสงบ เราจะแลเห็นปัจจุบันขณะ เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ มันจะเติบโต เป็น ความสงบสันติ

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

072.พยามารและ.ลูกสาว..มีตัวตนจริง.072

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
072.พยามารและ.ลูกสาว..มีตัวตนจริง.072
  • ..ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตุถะ..จะตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ..แล้วมีพระยามารพร้อมช้าง..เสนามาร..ลูกสาวพยามารทั้ง๓ คน.เข้ามายั่วยวนประเล้าประโลม..ขัดขวาง.นั้น
  • ..พระอาจารย์รุ่นหลัง..แต่งประมาณ.๕๐.กว่าปีได้ตัดอภินิหารออกหมด..เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลธรรมดา...เพราะท่านไม่มีทิพจักษุที่ละเอียดพอ..จะมองเห็นกายทิพย์ของมารและได้บรรยายว่า..ลูกสาวพยามารทั้ง.๓ คนเกิดจากจิตของเจ้าชายสิทธัตถะเอง..
  • *.เมื่อนางตัณหามาประเล้าประโลม..ก็บอกว่า่ยังอยากกลับไปครองเมือง..
  • * เมื่อนางราคา..มาประเล้าประโลม..ก็บอกว่าจิตของพระองค์คิดถึง นางพิมพา..และ.ราหุล(ภรรยาและบุตร)
  • *. เมื่อนางอรตี..มาประเล้าประโลม..ก็บอกว่า.จิตพระองค์..อยากเป็นนั่นเป็นนี่
  • *เมื่อพระองค์ไล่นางทั้ง๓ออกไป..ก็บอกว่าพระองค์เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้ว
  • *.เมื่อพยามารยกทัพเข้ามา...ก็บอกว่า..จิตพระองค์เกิดนิวรณ์๕
  • ...ก็ไม่ผิดที่เขียนเช่นนั้น..แต่ที่จริง..ทั้งพยามารทั้งลูกสาว..บริวาร,ช้าง..ล้วนมีตัวตนจริง..แต่เป็นกายทิพย์..พระองค์คล่องในฌาน๘.จึงใช้สมันตจักษุ(ตาอรูปพรหม).ซึ่งละเอียดกว่า.ทิพจักขุ..จึงมองเห็น..พยามารขี่ช้างคิริเมฆสูง๑๕๐ โยชน์...แต่ยังเล็กกว่ากายอรูปพรหม.ที่พระองค์ใช้..(ตอนนั้นยังไม่ตรัสรู้)..
  • ขอน้อมกราบบารมีรวมหลวงปู่ครูอาจารย์ทุกรูปนาม..โดยมี.หลวงปู่สด วัดปากน้ำ..เป็นที่สุด..สาธุ สาธุ สาธุ

073..หล่อพระ..ไว้ในกายตน..073

ในภาพอาจจะมี 1 คน
073..หล่อพระ..ไว้ในกายตน..073
  • ข้าพเจ้าเวลาเจอบทความดีๆ..จะบันทึกไว้.บทความนี้..ไม่ทราบใครเขียนไว้..ข้าพเจ้าจึงนำมาร้อยเรียงให้กระชับ..เพิ่มเติมบางส่วน.เพื่อให้ผู้อ่าน..เข้าใจ.และ..ทำตามได้ง่ายขึ้น.
  • " เราได้ร่วมหล่อพระพุทธรูป..ตามวัดวาไว้มากมาย..หล่อจากอิฐ หิน ทราย..แล้วเดินจากมา.ทำไม.!. เราไม่หล่อพระ..จากเลือดเนื้อในกายเรา..และอยู่กับเราตลอดไปล่ะ.?

# การสร้างกายพระ..ในกายเรา..#
  • 1. นั่งท่าสมาธิ..แบมือ2ข้างบนหัวเข่า.(รับพลังจากพระ)..ให้ตั้งธาตุ๔..ดิน น้ำ ลมไฟ.(ใช้ความรู้สึกมีก้อนเท่ากำปั้นตั้งอยู่).เริ่มจากธาตุดินตรงท้อง...แล้วเลื่อนตรงหน้าอกธาตุไฟ...ไปที่ปลายจมูกธาตุลม..ไปที่สมองธาตุน้ำ.ถ้าคนมีสมาธิดี..จะรู้สึกมีพลังเข้าฝ่ามือ
  • 2.อัญเชิญสมเด็จองค์ปฐม..หรือ..องค์ที่ชอบ..ตั้งบนศรีษระ..(ขนาดเท่าตัวเรา).นึกให้เป็นสีทองคำ..หันหน้าไปทางเดียวกับเรา
  • 3. ขอพุทธบารมี..ให้พระพุทธรูปสีทอง.ละลายออก..เป็นน้ำสีทอง..ไหลลงมาชะโลมตัวเรา.ตั้งแต่ปลายผมลงมา..ไปทั่วแขนขาร่างกาย..แล้วซึมเข้าในหัวใจ..จนเต็ม..ให้หัวใจสูบฉีดน้ำสีทอง..ไปทั่วอวัยวะภายใน..จนกายเรา.เป็น." กายทองคำ"
  • 4. กลั้นลมหายใจ..จนทนไม่ไหว(เหมือนเรา.ได้ตายแล้ว)..ค่อยๆ.ผ่อนลมหายใจออกให้หมด.้เมื่อหยุดลมหายใจ..ธาตุลมไม่มี..ธาตุไฟจึงดับ..ธาติดินแปรปรวน..ร่างกายเริ่มเน่าเปื่อย..บวมเป็นหนอง..มีหนอนมาดูดกิน..น้ำในกายสลาย.หายไปในอากาศ..ซากศพธาตุดิน..ผุพังเป็นกระดูก....กระดูกแตกสลายจมลงในดิน.บางส่วนปลิวไปในอากาส..ทุกสิ่ง..เหลือแต่ความว่างเปล่า..
  • 5. เมื่อกายเนื้อสลายไปหมด..จะเหลือแต่..กายทองคำ..ให้อัญเชิญกายทองคำ..มาวางบนฝ่ามือขวาที่หงายอยู่(หน้าตาเหมือนเราโตเท่ากัน)....เมื่อกายเนื้อละลายไปหมด..จึงมีกายแก้ว.ขึ้นมาแทน..ขนาดหน้าตาเหมือนเรา...ให้นำมาวางบนฝ่ามือซ้าย.
  • 6. เลื่อนกายทั้ง๒ ..เข้าหากัน..กายสีทองอยู่ในกายแก้วอยู่ชั้นนอก..
  • 7. ให้นึกแผ่รัศมีออกจากกายแก้วกายทอง..เป็นวงกลมรอบทิศทาง..แผ่เมตตา..ไปทุกชั้นภูมิ..ไม่มีประมาณ....ค่อยๆออกจากสมาธิ..** เท่ากับว่า..เราได้หล่อพระไว้ในกายเราแล้วไม่มีใครแย่งเราไปได้..และกายนี้มีพลังในการแผ่บุญมาก..ทำให้สรรพสัตว์พ้นจากทุกข์เร็ว
  • *** .ความเห็นของข้าพเจ้า..คิดว่าการทำสมาธิแบบนี้..รวมกรรมฐานได้หลายกองในคราเดียวมี..พุทธานุสสติ, กายานุสสติ,อสุภกรรมฐาน.มรณานุสสติ,พรหมวิหาร๔..จึงนับว่า..มีประโยชน์ยิ่ง..ต่อผู้อ่านทุกท่าน..สาธุ

075.. เมื่อข้าพเจ้าถูกผีเข้า..แทรก..075.

ในภาพอาจจะมี 1 คน, อาหาร
075.. เมื่อข้าพเจ้าถูกผีเข้า..แทรก..075.
  • มีอยู่ช่วงหนึ่ง..ที่ข้าพเจ้ายังเที่ยว.กินเหล้า.ผิดศีลหลายข้อ..แต่ยังสวดมนต์ภาวนาอยู่.และถอดจิตท่องเที่ยวได้บ้าง..การถอดจิตไปในโลกวิญญาณ..จากตื่นเต้นทีแรกๆ..ต่อมาก็เฉยๆ..ชอบไปแผ่บุญตามที่เก็บกระดูก..และคิดว่า..ไม่ใช่สาเหตุ..ที่ผี..จะเข้าแทรก.หรอก
  • คิดว่า..น่าจะเป็นคนกลุ่มนี้มากกว่า...ในหมู่บ้านที่อยู่..ได้รู้ว่า..มีชายคนหนึ่งอายุ60 กว่าๆ..เคยบวชเป็นพระหลายปี...ดังเรื่องวิชาอาคม..ไปทางไสยศาสตร์..มีลูกศิษย์มาก..ต่อมาสึกมาเป็นฆราวาส..ยังมีลูกศิษย์ติดตาม..และในหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่..ก็มีลูกศิษย์ท่าน..เป็นถึงครูอาจารย์สอนระดับมหาลัยด้วย..ช่วงนั้นท่านมาพักที่นี่..มีลูกศิษย์ไหลเวียนมาหา..ปากต่อปาก..ท่านเก่ง..แก้กรรม..ทำนาย.แก้ดวง...
  • และมีญาติข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงไปหาเมื่อข้าพเจ้ารู้..รู้สึกไม่สบายใจ..จึงเดินไปที่บ้านอาจารย์คนนั้น..เห็นกับตา..เมื่อชายคนนี้ชี้มือไปที่ลูกศิษย์คนไหน..คนนั้นมีอาการทันที..บางคนรำออกมา,บางคนพูดภาษาเทพ..บางคนหัวเราะ,.บางคนส่งเสียงโหวกเหวก.
  • ..จึงรู้ว่า..ชายคนนี้เลี้ยงผี..ไปแทรกใส่ลูกศิษย์..อยากให้ลูกศิษย์ทำอะไร..ใช้จิตสั่งผี..บังคับจิตลูกศิษย์อีกที..ทุกคนกลัวเกรงเคารพมาก.
  • ข้าพเจ้ายังห้าวอยู่...จึงอธิษฐานบารมีพระรัตนตรัย..หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง..ส่งบุญไปให้ผี.ในบ้านนี้.ให้หลายรอบ..ส่งผีไปเกิดและยืนทำตรงนั้น.ด้วย...จึงเดินกลับบ้าน..ต่อมาสัก3 วัน..เอ! มีอาการแปลก..แลวูบวาบ.ใบหน้าเหมือนมีอะไร..วิ่งแป๊บๆ..ต่อมาเริ่มชัดขึ้น..จิตรู้ว่า..มีอะไรเริ่มแทรกเข้ามา..มันเริ่ม.อยากหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ..แต่ยังบังคับอยู่ได้..แต่กายเริ่มมีกลิ่นสาปๆ..พออีก2 วันมันหนักขึ้น..ตาเริ่มลอยๆ..นิ่งๆ..เบลอๆ..และเริ่มยิ้ม.เอง..โดยที่เราเองไม่ต้องการ..มันสู้กันอยู่..ระหว่างจิตเรา..กับจิตผีที่พยายามจะแทรกเข้าไปในกาย..ข้าพเจ้ารู้...แต่ไม่บอกใคร.ช่วงนั้น..เห็นลูกศิษย์เขา..เดินผ่านหน้าบ้านมองหาข้าพเจ้า..วันหนึ่งหลายรอบ..อาจารย์คงสั่งให้มาดูผลงาน
  • เมื่อนั่งสมาธิ...ยิ่งหนัก..มันจะแทรกเข้าเลย..กายเริ่มสั่น...ทุกครั้ง..จึงต้องลุกขึ้น..มันหนักขึ้นเรื่อยๆ..มันหัวเราะออกมาเอง..ยิ้มออกมาเอง..สติเริ่มขาดๆหายๆ..เบลอๆ.จึงเข้าใจคนบ้าเลย..ว่า..มันลอยๆ..ดังว่าวเชือกขาด..และเริ่มกลัวตัวเองจะบ้าแล้ว..แต่ยังไปทำงานปกติ...มันสู้อยูอย่างนั้น..มีสองจิตในกายเดียว..จิตผีที่ไม่ได้รับเชิญ..บางครั้งมันหัวเราะ..เฮอะๆๆ..มันหัวเราะเยอะ..ผ่านทางเสียงข้าพเจ้า..ลิ้นเริ่มรัวพูดภาษาแปลกๆออกมา..ยิ่งตอนนอน..รู้ชัดเลยว่ามันนอนกับเราด้วย...รู้ว่า.เรา..สู้มันไม่ได้..ถ้าไว้แบบนี้.เราบ้า..แน่..ต้องแก้ไข.
  • * .พระแขวนคอ..,.สายสิณ,น้ำมนต์ศาลหลักเมือง..ทั้งกิน..ทั้งอาบ..เอาไม่อยู่..ทำไงดี?
  • ....เอาวะ..ใช้หลักวิทยาศาสตร์..หลักพลังงาน....พลังงานไหนแรงกว่า...ย่อมบดบังพลังอ่อนกว่า..ดุจแสงสปอร์ตไลท์ย่อมบดบังแสงไฟฉาย....ผี..คือ.พลังงานแบบหนึ่ง..เราต้องหาพลังงานที่แรงกว่า...มากระแทกพลังงานผีออกไป....อะไรล่ะ..ถามตัวเอง..ก็พลังชีวิต..พลังการเคลื่อนไหว..พลังกล้ามเนื้อ..สิ..กายกับใจสัมพันธ์กัน..จึงออกไปวิ่ง..วิ่งๆ..มันยังมาแทรก.อีก..ภาษาเทพมันออกมาเอง..ลิ้นรัวๆ...
  • **. ข้าพเจ้าจึงวิ่งไป..ร้อเพลงฝรั่ง..สู้ภาษาเทพ.วิ่งไป..ร้องไป..ในสวนสาธารณะ..คนอื่น..ต้องมองข้าพเจ้าบ้าแน่....ใช่...ถ้าข้าพเจ้าแพ้..คือ.บ้า..ต้องไปหาจิตแพทย์รับยามากิน..จึงแพ้ไม่ได้....จากความกลัว..กลายเป็นโมโห..ด่าทั้งผีและคนที่ส่งผีมา..วิ่งยังเอาไม่อยู่....จึงไปเตะบอล...เล่นบาส..ตีแบท..เพราะกีฬาพวกนี้..ต้องเคลื่อนไหว..โต้ตอบ..ประสาทตื่นตัว..# สติตื่น....พลังงานมาก....ชักได้ผล..ผีมันเริ่มคลุมจิตเราไม่ได้..พลังงานผีรวมไม่ติด..อยู่ในช่วง.." ผีเข้าผีออก"
  • สู้กันมาแบบนี้...ช่วงกลางวันทำงาน..มันตามมาแทรก..ข้าพเจ้ายังต้อง..เหวี่ยงแขน..ยึดพื้นให้กายเคลื่อนไหว..เปิดเพลงฝรั่ง..แนวร็อค.หนักๆ..ให้คลื่นกระแทกพลังงานผีให้แตกกระจาย....สู้จนครบ..๗. วัน..หายขาด..เข็ดไปนาน
  • ** ..มองย้อนกลับไป...เราประมาท.กระดูกอ่อน..ไปลองของ..ตัวเองศีลไม่ครบ..ดวงตกพอดี...สติไม่แน่น...จึงโดนผีเข้า...แต่โชคดี..ที่แทรกได้ไม่ลึก...เราอาจจะมีบารมีบ้าง...สรุปสุดท้ายถ้าเรามีสติชัดเจน..ต่อเนื่อง..สิ่งเหล่านี้..คง....แทรกได้ยาก..สติ..คือ..พลังงานสูงสุด..สูงจนสามารถ..เป็นต้นทาง..ตัดภพชาติได้..

074.. บำเพ็ญกายพระนารายณ๋์..074

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

074.. บำเพ็ญกายพระนารายณ๋์..074
  • ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเรียนรู้..เปิดใจรับความรู้..จากผู้รู้..ที่ผู้รู้.แต่ละท่าน..จะมีบารมีเด่นแต่ละด้านไม่เหมือนกัน..เราเพียงรับฟัง..แล้วนำมาเชื่อมโยง..กับองค์ความรู้ของเรา.จะทำให้เรา..มีความก้าวหน้าทางจิตเร็วขึ้น
  • กายพระนารายณ์..คือกายทิพย์ประเภทหนึ่งที่บำเพ็ญบารมี..ด้าน." ปราบคนพาล..อภิบาลคนดี" ..และกายนี้..ไม่ได้มีองค์เดียว..เป็นชื่อของตำแหน่งในโลกทิพย์..ใครที่สร้างบารมีแนวนี้..จึงมีสิทธิ์มีกายพระนารายณ์ได้..
  • พระนารายณ์..คือ..กายพรหมประเภทหนึ่ง.ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับโลก...ด้านปกครอง..
  • เมื่อยำเพ็ญได้ดี..กายทิพย์จะเลื่อนระดับสูงขึ้น..เป็นการนำกายทิพย์เรา..ไปสร้างบารมีในโลกทิพย์...ที่อยู่ประจำขององค์นารายณ์อยู่ที่กลางแม่น้ำสะดือทะเล..และแหล่งน้ำอื่นอื่นด้วย
  • วันหนึ่ง..มีร่างทรงท่านหนึ่ง..ที่นั่นทุกคนจะรู้ว่า...ดูแม่นยังกับตาเห็น..มีคนมาลองของเยอะ...แม้แต่หมอดูเก่งๆ..แต่สู้องค์ในคนนี้ไม่ได้..
  • ข้าพเจ้า(ผู้เขียนคนนี้เอง)..ได้คุยกัน..เธอมีองค์ที่ทายแม่นอย่างเหลือเชื่อ..และท้าให้พิสูจน์ด้วย..เธอ..กลับให้ความเคารพข้าพเจ้า..หลังจากเห็นกายจักรพรรดิ์ในตัวข้าพเจ้า..เธอบอกว่า..ข้าพเจ้ามีบารมีมากกว่า..และขอไปดูห้องพระที่บ้าน...พอเข้าไป..เธอ..ปิติ.เธอ.ร้องว่า.มีพลังมากมาย..เห็นแสงเต็มห้อง..
  • แล้วเธอขอดูกายในข้าพเจ้าอีก..ทีนี้เธอบอก." ทำไม..เป็นกายพระนารายณ์ล่ะ..ชัดเจนมากมีอาวุธในมือด้วย" ข้าพเจ้าตอบว่า..ไม่รู้..ก่อนกลับ..ข้าพเจ้าจึงมอบพระสารีริกธาตุ..และพระหลวงปู่ทวดหน้าตัก.๕ นิ้วืำด้วยว่านให้เธอไป..
  • ที่ข้าพเจ้ามีกายในเช่นนั้น...เพราะช่วงนั้น..ข้าพเจ้าจะถอดจิตบ่อย..ไปสร้างบารมี..แผ่บุญให้ผี..เทวดา..พาผีสวดมนต์..รักษาศีล..และเดินจงกรม..สอนให้ผีตามป่าช้า..ภาวนาพุทโธ....เดือนๆหนึ่ง..ไม่ต่ำกว่า.๑๐ ครั้ง..จึงทำให้กายใน..(มีหลายกาย)..ได้เป็นกานพระนารายณ์

710.. ปราณร่างสายรุ้ง

ในภาพอาจจะมี เมฆ, ท้องฟ้า และ สถานที่กลางแจ้ง

710.. ปราณร่างสายรุ้ง
  • ในขณะที่นั่งเจริญสมาธิภาวนา ใช้จินตนาการนึกถึงพระพุทธเจ้าจำนวนนับอสงไขยกำลังแวดล้อมตัว กำลังเปล่งแสงรังสีอันสว่างเจิดจ้ามาที่เรา แสงรังสีนี้สว่างไสวและศักดิ์สิทธิ์มากจน ตัวเราบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จากนั้นจงนึกเห็นภาพเนื้อหนัง กล้ามเนื้อ และอวัยวะต่างๆ ของเราปลาสนาการไป ตัวผู้นั้นมีแต่ โครงกระดูก เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
  • *-*...โครงกระดูก อยู่ในท่านั่งสมาธิ ต่อไปจงนึกเห็นภาพว่า โครงกระดูก สีขาว รับมีแสงรังสีแห่งจักรวาฬของพระพุทธะทั้งหลายที่สาดส่อง อย่างต่อเนื่อง
  • ..*-*.... จงนึกเห็นภาพว่า โครงกระดูกของผู้นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็น สีแดง สดใส เปล่งแสงออกมาจากทุกส่วนของ โครงกระดูก แสงสีแดงนี้เปล่งแผ่ออกไปข้างนอกไปเรื่อยๆ จนทั่วทั้งจักรวาฬถูกเอิบอาบ ด้วยสีแดงเต็มไปหมด จากนั้นจงนึกเห็นภาพว่า โครงกระดูก ของผู้นั้นกลับคืนสู่สีธรรมชาติของกระดูก ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ในจักรวาฬยังคงเป็นสีแดงอยู่
  • ...*-*.....จากนั้นให้ผู้นั้นนึกภาพต่อไปว่า โครงกระดูก ของผู้ฝึกเริ่มกลายเป็น สีส้ม มันเปล่งแสงสีส้มแผ่ออกนอกไปเรื่อยๆ จนเต็มทั่งทั้งจักรวาฬ จากนั้นจงนึกเห็นภาพว่า โครงกระดูก ของผู้นั้นคืนสู่สีธรรมชาติของกระดูก แต่มันสว่างสดใสยิ่งกว่าในตอนแรก
  • .*-*....ทำเช่นนี้เป็นลำดับ โดย เปลี่ยนสีของโครงกระดูกไปตามสีของสายรุ้ง ในลำดับต่อไป จึงเป็น สีเหลือง จากนั้นจึงเป็น สีเขียว แล้วจึงนึกเห็นภาพเป็น สีน้ำเงิน แล้วจึงเป็น สีคราม และเป็น สีม่วง ตามลำดับ
  • #...โดยที่ก่อนจะนึกเห็นภาพเปลี่ยนสี ผู้ฝึกผู้นั้นจะต้องนึกเห็นภาพ โครงกระดูก ของตนคืนสู่สีธรรมชาติของกระดูกทุกครั้งก่อนเสมอ เพียงแต่ภาพ โครงกระดูกของผู้นั้นจะสว่างสดใสยิ่งขึ้น สะอาดยิ่งขึ้น และบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นตามลำดับ
  • .....หลังจากที่ผู้นั้นจินตภาพเห็น โครงกระดูก ของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีม่วง และเปล่งแสงสีม่วงออกมาเป็นการประสาทพรไปทั่วทั้งจักรวาฬแล้ว จงนึกเห็นภาพ โครงกระดูก ของตัวเองเริ่มเปล่งแสงสว่างไสวของแสงอาทิตย์ที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งออกมา
  • ***...จนกระทั่ง โครงกระดูกของตัวเองกลายเป็นแก้วใส และในฉับพลันนั้นเอง จงนึกเห็นให้ โครงกระดูกที่เป็นแก้วใส นั้น ได้กลายเป็น “ความว่าง”(สูญญตา)

712.. ดาไลลามะ( DALAI LAMA)

ในภาพอาจจะมี 1 คน



712.. ดาไลลามะ( DALAI LAMA)
...ดาไลลามะ องค์ปัจจุบัน.องค์ที่๑๔ เป็นตำแหน่งของประมุขคณะสงฆ์แห่งศาสนาพุทธนิกายมหายาน แบบทิเบต ป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณให้แก่ชนชาวทิเบต เป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพให้แก่ประเทศและประชาชนชาวทิเบต ขอนำคำสอนของท่าน เพื่อ.ให้เกิด ความสงบสุข ภายในจิตใจของทุกท่าน
*...จุดประสงค์ของการใช้ชีวิต
  • “ คือ การมีความสุข”

*.จุดประสงค์ของความเป็นมนุษย์
  • “ คือ การช่วยเหลือผู้อื่น และถ้าคุณช่วยผู้อื่นไม่ได้ อย่างน้อยก็อย่าทำร้ายพวกเขา”

*..การฝึกความอดทนทางจิตใจ
  • “ ศัตรูของคุณคือครูที่ดีที่สุด”

*..การยอมรับความเปลี่ยนแปลง
  • “จงอ้าแขนรับต่อการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าได้ทิ้งคุณค่าที่มีอยู่ในตัวของคุณ”

*..การมีความรักและความเมตตาต่อกัน
  • “ หาใช่สิ่งฟุ่มเฟือยไม่ หากปราศจากความรักและความเมตตาแล้ว มนุษย์ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้”

*...การมีเมตตาจิต
  • “หากคุณต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข จงมีเมตตา และหากคุณเองต้องการมีความสุข ก็จงมีเมตตาเช่นเดียวกัน”

*...การมีทัศนคติที่ดี 
  • “ จะก่อเกิดความสุขทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อตัวคุณเองและผู้อื่นด้วย”

**..ความสุขสร้างขึ้นจากตัวเรา
  • “ความสุขนั้นสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ มันล้วนเกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำของคุณเอง”

*..ทุกศาสนามีพื้นฐานคำสอนคล้ายกัน
  • “ คือ ความรัก ความมีเมตตา และการให้อภัย ซึ่งสิ่งสำคัญทั้งสามสิ่งนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราด้วย”

*..จงสร้างความสงบสุขภายในจิตใจ 
  • “เราไม่สามารถหาความสงบสุขได้จากโลกภายนอก ตราบใดที่เรายังไม่ได้สร้างความสงบสุขขึ้นภายในจิตใจของเราเสียก่อน” 
+++++++++++++++++
*.ความรับผิดชอบ:
  • “ความสุขไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง”

*.. ผลกระทบ:
  • “หากคุณคิดว่าคุณตัวเล็กเกินกว่าจะสร้างความแตกต่างได้ ลองนอนหลับโดยมียุงตอมอยู่ด้วยสิ

*.. ปัจจัยในการดำรงชีวิต:
  • “ความรักและความเห็นใจเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต ไม่ใช่เครื่องประดับ หากขาดสองสิ่งนี้ มนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่รอด”

*..มุมมอง:
  • “เมื่อเราต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมในชีวิต เรามีทางเลือกสองทาง คือ จะหมดหวังและทำให้ตัวเองตกต่ำ หรือว่าจะสร้างจิตใจให้แข็งแกร่งจากความทุกข์นั้น”

*...การหาความสุขในชีวิต:
  • “มีเพียงความพยายามเห็นใจและเข้าใจผู้อื่นเท่านั้น ที่จะทำให้เราเกิดความสงบสุขภายในที่ทุกคนล้วนแสวงหา”

*...จิตวิญญาณ:
  • “สิ่งสำคัญของการปฏิบัติทางจิตวิญญาณก็คือทัศนคติของเราต่อผู้อื่น” 
*…ความพึงพอใจ:
  • “ความสุขและความพอใจของมนุษย์สูงสุดมาจากในตัวเรา อย่าไปหวังว่าเงินหรือคอมพิวเตอร์จะให้เรามีความสุขได้มากกว่าใจเราเอง”

*.. ความหมาย:
  • “เพื่อนเก่าจากไป เพื่อนใหม่เข้ามา เหมือนกับวันคืนของเรา วันเก่าจากไป วันใหม่ก็เข้ามา สิ่งสำคัญอยู่ที่การทำให้มีความหมาย เพื่อนที่มีความหมาย หรือวันคืนที่มีความหมายกับชีวิต”


***...อนึ่ง..เป็นความรู้ที่ทราบมา.ไม่ได้บอกว่าจริงหรือไม่จริง ?...เพียงทราบจึงบอกต่อ เพียงบอกด้วยความจริงใจต่อผู้อ่าน. ให้ทราบว่า..พระดาไลลามะองค์ปัจจุบันนี้.ท่านเป็นโพธิสัตว์ประเภท “วิริยะธิกะโพธิสัตว์”..ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว..บำเพ็ญบารมีได้ ๗๘ อสงไขย..เหลือเพียงอีก ๒ อสงไขย.จะเต็มบริบูรณ์..สาธุ

709...ปราณชำระกระดูก

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป
709...ปราณชำระกระดูก
  • ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องเชื่อม พลังงาน ให้เข้าถึงพุทธธรรม ฝึกจิตให้มีคุณภาพ เพื่อรองรับกระแสแห่งธรรม
  • +-+..แนวทางมหาสติปัฏฐาน จะปลุกการตื่นทางจิตวิญญาณ เพื่อมารองรับคำสอนอันลึกล้ำ และชักนำ พลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ของพุทธะ และ มหาโพธิสัตว์ทั้งปวง ให้ลงมาเข้าร่วมบำเพ็ญเข้าร่วมปฏิบัติธรรม และเข้าร่วมเปลี่ยนแปลงตัวเรา ให้กลายเป็นพุทธะ และ โพธิสัตว์ ได้
  • #. วิชาลม 7 ฐาน หรือ สติปัฏฐาน 4 จะปลุกระดับจิตวิญญาณ ให้ตื่นรู้ตัวทั่วพร้อม เพื่อรู้แจ้งในสัจธรรมของธรรมชาติได้
    • **... จงนั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย ลำตัวตั้งตรง หลังตรง ไหล่ขนานกับพื้นไม่เอียง คอตรง สายตามองไปข้างหน้า ทอดตาลงต่ำ
    • *-.. รวบรวมอารมณ์ ความรู้สึกนึกของตนลงไปใน โครงกระดูก ภายในกาย พร้อมๆ กับหายใจเข้าช้าๆ จนเต็มปอด แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ผ่อนคลาย สบายๆ จนอารมณ์นิ่งสงบ กายกับจิต เป็นหนึ่งเดียว ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    • *+..จงหลับตาลงเบาๆ สูดลมหายใจเข้า พร้อมกับจินตนาการว่าปราณกำลังไหลเข้ามาสู่ตัว แนบแน่นอยู่กับ โครงกระดูก โดยไหลผ่านเข้ามาทาง กลางกระหม่อม ในช่วงแรกๆ จงบริกรรมคำว่า “โอม” ภายในใจพร้อมกันไปด้วย เมื่อหัดไปจนชำนาญเข้า คำบริกรรมนี้จะหายไปเอง
    • ..*-..ในช่วงที่ผู้นั้นกำลังกักลมหายใจอยู่นั้น ให้จินตนาการต่อไปว่า ปราณได้ไหลลงมาอยู่ บริเวณลำคอ พร้อมกับบริกรรมคำว่า “อา” ภายในใจพร้อมกันไปด้วย เมื่อหัดไปจนชำนาญเข้า คำบริกรรมนั้นจะหายไปเอง
    • ..*-...ตอนหายใจออก ให้จินตนาการต่อไปว่า ปราณได้ไหลออกจากตัวผู้นั้นผ่านทาง กลางอก พร้อมกันนั้น ให้บริกรรมคำว่า “ฮุม” ภายในใจพร้อมกันไปด้วย เมื่อหัดไปจนชำนาญเข้า คำบริกรรมนี้จะหายไปเอง
    • ***..คือ การฝึกปราณ-สติ-สมาธิ เพื่อชำระกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ให้บริสุทธิ์ จะทำให้ผู้นั้นสามารถกลายเป็น “ภาชนะที่สมบูรณ์” ในการรองรับพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะลงมาเข้าร่วมเปลี่ยนแปลงบุคคลผู้นั้นให้กลายเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุด
    • ***....วิธีการฝึกแบบนี้จะสามารถขับไล่กรรมไม่ดีของผู้นั้น ที่สั่งสมไว้ตลอดสามชาติ ค่อยๆ ถูกชำระให้บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ปราณจะชำระกระดูกให้ใสสะอาด เพื่อรองรับ “กายสายรุ้ง” กายซกเซน” ต่อไป

วันหนื่งชายอาจถูกฆ่าตายเหมือนหมอหยอง

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยืน

วันหนื่งชายอาจถูกฆ่าตายเหมือนหมอหยอง
  • เพราะชายมีศัตรู ศัตรูของชายคือ "พราหมณ์ชั่ว" ที่ทำงานให้ตระกูลๆ หนื่งอยู่ ตระกูลนี้จืงมีอำนาจ เป็นที่เคารพศรัทธาของคนไทย พราหมณ์ชั่วมันทำคุณไสยชั่วช้าอะไรบ้าง? ชายจะเล่าให้ฟัง ยกตัวอย่างเช่น

1 ตรืงวิญญาณคนตายยุคทมิฬ
  • นักศืกษายุคตุลา-พฤษภาทมิฬ ตายเกลื่อนมากมาย พราหมณ์พวกนี้ได้ตรืงวิญญาณเขาไว้กับ "หมุดคณะราษฎร์" และนี่เป็นเหตุให้การถอนหมุดคณะราษฎร์กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตกันมาแล้ว

2 ตรืงวิญญาณลูกพระเจ้าตาก
  • ลูกชายสองคนของพระเจ้าตากสิน ไม่มีความผิดอะไร ทำเพื่อชาติ กู้ชาติมาจากพม่า ทำให้ไทยได้เอกราช แต่ต้องถูกประหารทั้งคู่ วิญญาณถูกกักขังไว้ 200 ปี นี่คือ ความชั่วช้าของพวกมัน

3 ทำยาสั่งใส่คนไทยทั้งประเทศ
  • คนไทยโดนยาสั่งทีเป็นล้านๆ คน เขาสั่งให้รัก ให้เป็นทาสตลอดไป เพื่ออำนาจ เพื่อความมั่นคงของพวกเขา เขายอมทำคุณไสยที่ชั่วช้ากับคนไทยทีเดียวเป็นล้าน โดยที่ตาสีตาสานั้นไม่รู้ตัวเลย

4 ทำยาโง่ใส่คนไทยทั้งประเทศ
  • ยาโง่มันเป็นคุณไสยอย่างหนื่ง ที่ทำให้คนปกติกลายเป็นคนโง่ได้ คนทำก็หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นเราพยายามสอนคนให้รู้จัก ปชต. ที่แท้มันแก้ไม่ได้ด้วยความรู้หรือการสอนเลย เพราะมันคือคุณไสย

5 คุณไสยเลวร้ายอีกมากมาย
  • เกินกว่าที่จะกล่าวได้ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังรวมหัวกันกับหมอใน รพ. ดัง ใครป่วยส่งไป รพ. นั้น ได้ตายเหมือน "ปอ ทฤษฎี" หมด คนพวกนี้คิดว่าทำดีเพื่อชาติ แต่สิ่งที่ทำล้วนชั่วช้าสารเลวเกินคน

  • ดังนั้น อย่าได้แปลกใจ ถ้าเห็น "กะลาแลนด์" หรือเห็นคนไทยโง่ อย่าไปว่าเขา เขาเป็นแค่เหยื่อ ที่โดนคุณไสยอย่างหนัก ต่อเนื่อง และมากมาย ไม่รู้อะไรบ้าง แม่งทำแล้วทำอีก คุณลองไปคุยกับคนไทยในต่างแดน ก็จะรู้ว่าแตกต่างกันมาก 
  • นั่นไม่ใช่เพราะต่างประเทศดีกว่าประเทศเรา แต่เพราะประเทศเราตอนนี้ ใช้คุณไสยเล่นงานประชาชนหนักมาก จนต้องมีพวก "บงการเบื้องหลัง" มายุให้ประชาชนลุกขื้นสู้ยังไงละครับ (ที่ชายห้ามเพราะไม่อยากให้ตายเปล่า)
  • ชายไม่กลัวตายหรอก แต่ก่อนตายต้องเล่นงานมันก่อน 555
  • พราหมณ์ฮินดูจริงๆ ที่อยู่ตามโบสถ์พราหมณ์นั่น ไม่เกี่ยวอะไรด้วยนะครับ หลายคนไม่ยุ่งเรื่องการเมืองเลย เพราะลืกๆ แล้วรู้ว่ามีพวกที่ไปยุ่ง ไปหากินกับการเมือง เป็นพราหมณ์ชั่วอยู่ เขาจะแยกกันชัดเจนครับ
  • เสื้อผ้าหรือของที่เขาทำแจกหรือขายก็ดี คุณจะรู้ไหมว่าเขาทำคุณไสยใส่ไว้หรือเปล่า? เสื้อบางตัวเขาทำคุณไสยสะกด ใส่ไว้ แล้วเอาไปขายทีหนื่งเป็นแสนๆ ตัว คนใส่ทั้งหมดก็โดนคุณไสยหมดเลย เหอๆๆ
  • ที่เหี้ยยิ่งกว่านั้นคือ "แผนทำลายพุทธ" ที่มันวางแผนกันมาอย่างแนบเนียนและยาวนาน เช่น จ้างผู้หญิงให้ไปทำให้พระเสื่อมเสีย เป็นต้น 
  • เมื่อก่อนชายไม่เชื่อใครมาพูดว่าพราหมณ์ครอบงำพุทธ เพราะชายก็ปฏิบัติทั้งพราหมณ์และพุทธ พราหมณ์ดีๆ เขาก็มีมากมาย แต่เพราะมันมี "พราหมณ์ชั่ว" พวกนี้อยู่ด้วยไงครับ ชายเลยต้องยอมรับความจริง
  •  ใครที่มาทำเล่ห์เหลี่ยมเนียนๆ เพื่อหลอกให้ชายเปิดรูปจริง คือ คนชั่ว ครับ เพราะชายมีศัตรูทางการเมือง และอาจถูกฆ่าตายได้ 
  • ชายไม่ได้กลัว แต่ไม่ใช่งี่เง่าเอาตัวไปตายแบบนั้นครับ ดังนั้น อย่ามาทำเป็นคนดี พูดดี เพราะคุณกำลังหลอกให้คนอื่นไปตายโดยไม่สนว่าเขาอาจโดนอะไร
คุณไสย "ยาสั่ง”
  • หลายคนกำลังโดนโดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่ามันคืออะไร? มันคือ คุณไสยที่ส่งผลให้เราเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ถ้าไม่ทำ “ตามสั่ง” ของเขา 
  • เขาอาจสั่งให้ทำหรือไม่ให้ทำอะไรบางอย่าง เช่น สั่งให้เป็นทาสใต้ตีน นาย ก. ตลอดไป พอเราเห็น นาย ก. ปั้บ เราจะเกิดอาการบ้าคลั่ง เหมือนคนจะเป็นจะตายให้ได้ น้ำตาไหลฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง ขนาดนั้นเชียว พูดเว่อร์ยังงี้ ถามว่ามันจริงหรือ? 
  • โธ่ คุณ ประเทศเราปัจจุบันนี่แหละ มีให้เห็นเลย แต่เรามักคิดว่านั่นคือความรักความศรัทธาของเขา อย่าไปดูถูกความศรัทธาของใครเขา โอเค ถ้ามันเป็นความรักแท้ ความศรัทธาจริง เราไม่ว่ากัน แต่ที่ชายกำลังกล่าวคือ “ยาสั่ง” ต่างหากละครับ 
  • อนื่ง คุณไสยยาสั่งนี้ หลายคนเข้าใจผิดมาก คิดว่าคือ ยาที่สั่งให้เราตาย จริงๆ ไม่ใช่ครับ เขาสั่งให้เราคิด, ทำ หรือไม่ทำอะไรบางอย่าง ไม่ได้จะฆ่าเราให้ตาย แต่ถ้าเราไม่ยอมทำตามคำสั่งเขา เราจะมีอาการเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ เท่านั้นเอง 
  • ทีนี้ เราจะแยกได้อย่างไรว่ามันคือ ยาสั่ง หรือว่าเป็นความคิดจิตใจเรา ความรักความศรัทธาของเราจริงๆ?
  • มันดูได้ครับ อย่างนี้ ถ้าเราเกิดอาการเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ ถ้าไม่ได้ทำหรือถูกสั่งห้ามทำอะไรบางอย่าง อันนี้มีโอกาสโดนยาสั่ง 
  • ยาสั่งจะทำให้เราไม่เป็นปกติ ความคิดจิตใจของคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ จริงมั้ย แต่พอโดนยาสั่ง จะมี “ชุดความคิด ชุดพฤติกรรม” บางอย่างที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าบางอย่างเสมอ 
  • เหมือนสมการ x => y คือ มันจะมีตัวแปรต้นที่แน่นอน และตัวแปรตามที่แน่นอน เช่น ถ้าชายพูดอะไร จะต้องต่อต้านทุกอย่าง เป็นเงื่อนไขแบบนี้เลย 
  • ยาสั่งหนื่งตัว สั่งได้หนื่งอย่าง หลายอย่างไม่ได้ มันจะสับสน และไม่ได้ผลครับ ดังนั้น พฤติกรรมการแสดงออกจืงแน่นอน ทำนายได้ และทดสอบได้ว่าถ้าใช้ x แล้วต้องเป็น y แน่นอน 
  • เช่น ถ้าชายบอกให้ทำ มันต้องไม่ทำแน่นอน ถ้าชายบอกอย่าทำสิ มันต้องทำแน่นอน อย่างนี้ เป็นต้น คนปกติเรามีชีวิต ไม่ใช่ของตาย มันดิ้นได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันจะไม่ใช่อะไรที่แน่นอนตายตัวแบบนั้นครับ 
  • ความรักและความศรัทธาที่แท้จริง จะต้องไม่ทำให้เรากลายเป็นของตาย หรืออะไรที่แน่นอนตายตัว ดิ้นไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แบบนั้นเป็น “ยาสั่ง” ต่างหากครับ

  • คนไทยตอนนี้โดนยาสั่งเยอะมาก เมื่อถูกกระตุ้นก็จะแสดงอาการครับ!
  • ชายเคยโดนยาสั่ง ยาสั่ง สั่งให้เป็นทาสคนๆ หนื่ง ชายก็ยอมไปเป็น แต่เพราะตอนนั้น ชายดูแย่มาก เหมือนคนไม่ได้เรื่องที่จะไปเกาะอาศัยเขา เขาคงเห็นชายจะไปเกาะอาศัยเขา เขาก็ไม่สนใจชาย 
  • ต่อมา ชายสละจิตวิญญาณถวายพระพุทธเจ้า ชายก็หายเลย ยาสั่งนั้นเล่นงานตรงจิตวิญญาณดวงนั้น แต่ไม่ได้มีผลต่อร่างกาย ชายจืงหายจากอาการนั้นได้ครับ 
  • ปัจจุบัน จะรักจะเกลียดใครก็ได้ คนๆ หนื่งเราอาจรักเขาก็เกลียดเขาได้ มันไม่แน่นอน เพราะเรามีชีวิต เราไม่ใช่ของตาย เราดิ้นได้ยังไงละครับ
  • พวกสายเทพ มักปลอดภัย เพราะมีพลังเทพคุ้มครอง อย่างเห่าฟ้าก็มีเทพเอ้อหลางคุ้มครอง ก็จะไม่ค่อยโดนครับ 555




















711. พลังลมปราณ- กระดูกทองแดง-หลวงปู่ทวด

ในภาพอาจจะมี 1 คน
711. พลังลมปราณ- กระดูกทองแดง-หลวงปู่ทวด

  • ในคำสอนของวัชรยาน สายซ็อกเชน วิชาลม 7 ฐาน เป็นมหาสติปัฏฐานแขนงหนึ่ง ส่งความรู้สึกทั้งตัวให้อยู่ในโครงกระดูก ในการเข้าถึง “ความว่าง” ถ้า สติของผู้นั้นเริ่มชัด จะเห็นภาพ โครงกระดูก ของตนใสแจ๋วจากนั้น ให้ทุบ บด ย่อย ป่นกระดูกของตนเองทีละชิ้น ทีละชิ้นจนละเอียดกลาย เป็นผุยผง แล้วมีลมพัดฝุ่นกระดูกจางหายไป ไม่มีอะไรให้เห็น แล้วก็จะเข้าถึง “ความว่าง”
  • ส่วนพุทธหินยานของเรา คือ การพิจารณากายคตานุสติ อสุภ จนเห็นเป็นกระดูก เป็นซากศพ แล้วย่อยสลายหายไป กลับไปสู่ธาตุ๔ ที่มองไม่เห็น .. เหลือแต่ความว่าง

  • หลวงปู่ทวดท่านก็สำเร็จ วิชามหาสติปัฏฐานตามแนวลม 7 ฐานนี้ กระดูกของหลวงปู่ทวดกลายเป็นทองแดง ทำให้กระดูกของ กลายเป็นแก้วเมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ได้ 
  • วิธีการฝึกมหาสติโดยการพิจารณาโครงกระดูกตัวเองนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการฝึกที่สำคัญที่สุดใน วิชาลม 7 ฐาน
  • ***… เมื่อฝึกลมปราณชำระกระดูก ยาวนาน จนมีสติ มีสมาธิแจ่มชัด “ ให้หันกลับมาภาวนา “สมาธิพระโพธิสัตว์” เป็น การขบปริศนาธรรม (โกอาน) ใน “สมาธิพระโพธิสัตว์” เพื่อลับ ปัญญาแห่งโพธิสัตว์ ให้แหลมคมตามแนวทาง เซน ต่อไป
#..กระดูกพระศรีย์เป็นทองแดง
  • ในยุคอยุธยา พระศรีอาริย์ลงมาเกิด บวชเป็นพระอยู่วัดไลย์ อ.ท่าวุ้ง ลพบุรี เมื่อพระศรีย์มรณภาพ ในท่านั่ง บนกุฎิ ผู้คนก็พากันมากราบนมัสการ และ กระทำฌาปกิจ 
  • ปรากฏว่าอัฐิ(กระดูก)ของท่านกลายเป็นทองแดง ชาวบ้านช่วยกันเก็บอัฐิทองแดง หล่อรูปพระศรีอาริย์ไว้กราบไหว้บูชา แต่หลอมทอง ยังไง ทองก็ไม่ละลาย ท้าวสักกะเทวราช ท้าวเธอจึงแปลงกายลงมาเป็นตาปะขาว เข้าไปสู่ที่ประชุมสงฆ์แล้วกล่าวนิมนต์ขึ้นว่า


  • “ เจ้าข้า เวลานี้ก็จวนเพลแล้ว คงจะหล่อไม่พ้น ขอนิมนต์พระคุณเจ้าขึ้นไปฉันเพลก่อนเถิด กระผมจะช่วยสูบไฟหลอมทองให้”
  • แล้ว. ตาปะขาวก็เททองใส่ในรูปจำลอง จนทองแดงหลอมละลาย เป็นองค์พระศรีย์ (ปัจจุบันอยู่ที่วัดไลย์ ท่าวุ้ง ลพบุรี).แล้วตาปะขาว จึงเสด็จกลับดาวดึงส์
  • อนึ่ง..ตอนที่ข้าพเจ้านามมะโน ได้เก็บ”พระพุทธปฐมบรมธาตุ” (มาจากชาวเขา..ภูเขาแถวเชียงราย)..ได้นิมิตเห็นหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง..มาบอกให้ข้าพเจ้าไปถวายไว้ที่”วัดท่าวุง” 
  • ตอนแรกข้าพเจ้าเข้าใจว่า..”เป็น”วัดท่าซุง” แต่ปัจจุบันพอจะทราบว่า..คือ “วัดไลย์ ท่าวุ้ง ด้วย”..
  • เพราะข้าพเจ้าได้เกี่ยวข้องกับยุคพระศรีย์.ตามสัจจะที่เคยให้ไว้..ว่าจะช่วยงานหลวงปู่ทวดก่อน..ข้าพเจ้าจึงได้ถวาย”พุทธปฐม บรมธาตุ” ไว้ที่วัดท่าซุงแล้ว..ยังเหลือแค่..ที่..วัดไลย์ ท่าวุ้ง..ต้องรอในโอกาสหน้า..

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

708..อินทรีย์แก้ว-กายแก้ว

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ กลางคืน

708..อินทรีย์แก้ว-กายแก้ว
#...ฝ่ายมหายาน แบ่งภาคพระพุทธเจ้าเป็น๓ชั้น
  • (๑) พระอาทิพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ มีพระรัศมีรุ่งเรืองที่สุดหาเขตจำกัดมิได้ ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร.
  • (๒) พระฌานิพุทธเจ้า ได้แก่พระนิรมานกาย ที่ทรงเนรมิตบิดเบือนขึ้นด้วยอำนาจฌานสมาบัติ กายทิพย์ มีพระรัศมีรุ่งเรือง มิใช่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก.
  • (๓) พระมานุสีพุทธเจ้า ได้แก่พระพุทธเจ้าซึ่งมาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก มีพระกายในความเป็นมนุษย์อย่างสามัญมนุษย์ทั้งหลาย แต่เป็นพระกายดีวิเศษกว่าของมนุษย์สามัญ มีพระฉัพพรรณรังสีพระกายแผ่ซ่านออกข้างละวา.

#...ส่วนฝ่ายเถรวาท (คือฝ่ายเรา) แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาคเช่นเดียวกัน
  • (๑) พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งเอากำเนิดจากพระพุทธบิดา-พระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เหมือนกายของสามัญมนุษย์ เป็นแต่บริสุทธิ์สะอาดสวยงาม พระฉวีวรรณเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลากว่ากายของมนุษย์สามัญ เป็นวิบากขันธ์สำเร็จแต่พระบุญญาบารมี.
  • (๒) พระนามกาย คือ กายใน กายทิพย์ มีรูปร่างสัณฐานเหมือนกายชั้นนอก สามารถออกจากร่างหยาบไปในที่ไหนๆ ได้ตามต้องการ ส่วนพระนามกายของพระพุทธเจ้าท่านว่าดีวิเศษยิ่งกว่าของสามัญมนุษย์ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัป.
  • (๓) พระธรรมกาย ได้แก่พระกายธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวาและมนุษย์หมายถึงพระจิตที่พ้นจากอาสวะแล้ว เป็นพระจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุทัยไขแสงในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลายเป็นอยู่ชั่วนิรันดร เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง

  • ***... ความเป็นพระอรหันต์นี้ จัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า”อัญญินทรีย์ “ หรือเรียกว่า”วิสุทธิเทพ” บริสุทธิ์ยิ่งกว่าวิสุทธาพรหมในชั้นพรหม อินทรีย์แก้วของพระอรหันต์ประณีตสุขุมที่สุด อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละเรียกว่าอินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ
  • +*+.... ทั้งตาหยาบ และ ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น๖(เว้นแต่ถ้าท่านเนรมิตให้เห็น ) ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้วคือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้.
  • กายทิพย์ในไตรภพ ล้วนยังมีปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนยังมีวิญญาณปรุงแต่งจึงเกิด-ดับ ตามเหตุปัจจัย ส่วนพระอรหันต์มิใช่สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง กายแก้วจึงไม่สลายไป.ไม่ไหลเวียนในไตรภพอีก
  • +...ข้าพเจ้านามมะโน รัตนธรรมเจริญ ผู้น้อยด้อยปัญญา ขอกราบบูชาในบารมีธรรมแห่งไตรรัตน์ บารมีหลวงปู่ครูอาจารย์ทุกสายญาณ ทุกภพชาติ ด้วย กาย วาจา ใจ ตลอดอนันตกาล สาธุ
  • **..ทำไมข้าพเจ้าจึงลงบทความธรรมะ เกือบทุกวัน เพราะใจข้าพเจ้ากระตุ้นเตือนให้ทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าคงไม่บอกถึงภาพนิมิตหรอกว่า..ข้าพเจ้ามาทำมาสร้างบารมีในด้านใด..เพียงแค่ทำแล้วมันมีความสุข มิได้มีความเบื่อหน่าย.เพียงก่อนตาย ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทำในสิ่งที่ถนัด..ก็เพียงพอแล้ว..สาธุ

705.. ใช้อภิญญา .. ใช้กรรม (ภาคปัจฉิมบท)

ในภาพอาจจะมี 1 คน

705.. ใช้อภิญญา .. ใช้กรรม (ภาคปัจฉิมบท)
ตอน.. ..อาจารย์-ศิษย์-ละสังขาร
...ขอเล่าเรื่อง..หลวงปู่อุก..เป็นภาคสุดท้าย. ไสยเวทย์มีทั้งภาคมืด(ทำร้ายผู้อื่น)..และภาคสว่าง(รักษา แก้ไข) .หลังจากเตี่ยข้าพเจ้า โดนทั้งยาเสน่ห์ ยาสั่ง..หลายรูปแบบ...หลวงปู่อุกท่านก็รักษา ทีนี้ ..มันไม่หยุดแค่นั้น.. หมอไสยศาตร์ภาคดำ จากเขมรยังเสกของเข้ามาในท้องของเตี่ย เป็น”มีดโกน “ ..จึงทำให้มีอาการปวดท้องรุนแรง..อาเจียร และถ่ายเป็นเลือด…เมื่อโดนหลายขนาน..เตี่ยเหมือนคนใกล้ตาย..ศิษย์เอกหลวงปู่อุก..จะตายเพราะโดนของได้อย่างไร?.
*****....และครั้งนี้..มันทำให้ตบะ ความเมตตา..การตั้งรับของหลวงปู่อุกสิ้นสุดลง..เมื่อเห็นศิษย์(เตี่ยข้าพเจ้า)..โดนเสกมีดโกนเข้าท้อง...เสียงหลวงปู่คำราม ดุจเสียงคำรามของพยัคฆา ของเสือที่โกรธจัด...เตี่ยบอกว่า..ไม่เคยเห็นหลวงปู่โกรธแบบนี้เลย..เสียงหลวงปู่คำรามต่อหน้าศิษย์.และชาวบ้าน.ว่า..”อย่างอื่น กูทนได้ทุกอย่าง..แต่ที่กูทนไม่ได้..ถ้า**ลูกศิษย์กูมันถูกรังแก..และมันจะเอาไอ๊เจ๊ก.(เตี่ย).ถึงตาย..กูยอมไม่ได้”..ให้ทุกคนไปกระจายข่าวถึงพวกนั้น..ว่า”อีก ๓ วัน..กูจะส่งของทุกอย่างที่พวกมันทำมา..คืนไปให้หมด.กูจะไม่ทำลายเอง .ให้พวกมันหาทางทำลายของเอง...ให้.ตั้งรับดีๆ”
+-*... คำประกาศของหลวงปู่ สะท้านสะเทือนไปทั่วในแถบนั้น..ทุกคนต่างเฝ้ารอ.ว่าอีก..๓ วันจะมีอะไรเกิดขึ้น และในวันที่ ๔..ก็ได้ข่าวหมอไสยเวทย์มนต์ดำท่านหนึ่ง..ที่เก่งขึ้นชื่อ....ก่อนตายมีอาการคุ้มคลั่ง..ท้องยุบท้องพอง ได้อาเจียน กระอักมาเป็นเลือด..ออกทั้งทางปาก จมูก ทวาร..
#...สงบไปสักพัก..ยิ่งเก่ง..ยิ่งดึงดูดให้พวกร้อนวิชชา.พวกที่คิดว่าแน่..ต่างเข้ามาส่งของ..เข้ามา.ลอง...พร้อมกับชาวบ้านจากหลายที่ ก็มารักษากับหลวงปู่อุก..ยิ่งทำให้เจ้าของวิชชาต่างโกรธแค้นหลวงปู่มาก.ที่ทำลายวิชชา และความอับอายในความขลัง..ที่ถูกบดบัง..จึงต่างมาลอง มาส่งของ.มิรู้จบ..จนหลวงปู่..ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง?..
***...จนมาวันหนึ่ง..เตี่ยเล่าว่า..หลวงปู่อุก..บอกกับลูกศิษย์ว่า..อีก ๓ คืน กูจะทำพิธี..ทำลายของไสยเวทย์ มนต์ดำ ของต่ำ ทุกอย่าง..ที่กูเคยถอนมาทั้งหมด..และในตัวของพวกมึงทุกคนให้หมดไป.และที่สำคัญจะทำลายวิชชา..ของคนที่ส่งของมาด้วย..มันจะได้นำวิชชาไปทำร้ายใครอีกไม่ได้”
พอถึงวันนั้น หลวงปู่พาศิษย์เอก ไป ๓ คน..ไปที่ราวป่าติดป่าช้า....ขึงสายสิณฑ์ ๔ ทิศ..เครื่องบูชาครูอาจารย์.และอื่นๆ...หลวงปู่อุกบอกให้ลูกศิษย์..นั่งอยู่ข้างหลังท่าน..และกำชับว่า
++...”พิธีนี้ศักดิ์สิทธิ์สำคัญมาก..มันจะชี้เป็นชี้ตายชีวิตกูด้วย..กูบอกไว้เด็ดขาดเลยว่า..ขณะกูทำพิธี...ถ้าพวกมึงเห็นอะไร..ทำใจให้นิ่ง..คนไหนกลัว..ให้หลับตา .ที่สำคัญห้ามวิ่งออกจากวงสายสิณฑ์นี้..เด็ดขาด..ถ้าพิธีล่ม...กูคงไม่ได้อยู่กับพวกมึงอีก”..
.++...พอเริ่มพิธีไปสักพัก..ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของหลวงปู่...เริ่มมีทั้งเสียงลมพายุ..รอบๆจากเบาและหนักขึ้น..มาหลายทิศทาง..มีเสียงสวบสาบ เหมือนคนเดินรอบๆ..แล้วกลิ่นสาบสางมาเป็นระลอก..และได้กลิ่นชัดขึ้น..เริ่มมีเสียงหวีดหวิว..เสียงเหมือนคนคุยกัน.จากแสงเทียน เริ่มเห็นเงาดำ.ผลุบๆโผล่...อากาศความหนาวเหน็บ ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดกำชับกับลูกศิษย์อีกว่า” อย่าลุกออกจากที่” แล้วหลวงปู่พูดไปที่ความมืดว่า”มากันแล้วเหรอ”.มี.เสียงดังอื้ออึง..
......ทีนี้..ท่ามกลาง..แสงเทียนข้างหน้า..พลันปรากฏ..ร่างของผีวิญญาณ.3 ตัว...กลุ่มลูกศิษย์มีคนหนึ่ง..ที่แอบลืมตามอง..เกิดอาการตกใจ..จะลุกขึ้นวิ่ง..เสียงหลวงปู่ดังว่า.”จับมันไว้”..หลวงปู่ยังคงท่องมนต์คาถาต่อ...ท่ามกลางเสียงดังเหมือนมีใคร เขวี้ยงก้อนหินรอบๆ...ทั้งเสียง ภาพ บรรยากาศก่อกวน..จนสุดท้าย..ศิษย์คนนั้น..ก็สะบัดหลุด วิ่งออกจากวงสายสิณฑ์..จนสายสิณฑ์ขาด..ศิษย์ที่เหลือจึงวิ่งไปตะครุบตัวกลับมานังหลวงปูอุก...ส่วนหลวงปู่ยังค่องท่องมนต์ต่อไป..จนพิธีจบ..
*+*+*....หลังพิธี...เสียงหลวงปู่พูดกับลูกศิษย์ทั้งหมด ด้วยความเมตตาว่า”..กู..คงอยู่กับพวกมึงไม่ได้นานแล้ว.ไม่น่าเกิน.๗ วัน...แต่พวกมึงไม่ต้องกลัว..ของทุกอย่าง..วิญญาณทุกตัว..มันมาอยู่ที่กูหมดแล้ว..ทั้งวิชชามนต์ดำ..กูรับไว้หมด.กูหมดอายุขัยแล้ว.กูจะไปพร้อมของพวกนี้.”.....กลุ่มลูกศิษย์ตกตะลึง..และพูดอะไรไม่ออก..เพราะรู้ว่า..พิธีมันไม่สมบูรณ์ ..หลวงปู่..จึงดูดของไสยเวทย์มนต์ดำทั้งหมดไว้ที่ตัวเองหมด..ส่วนลูกศิษย์ไม่เป็นไรเลย..
$..ก่อนที่หลวงปู่อุกจะละสังขาร หลวงปู่อุกบอกกับเตี่ย ลูกศิษย์ก้นกุฏิว่า ” คนอื่นๆเขาขอของดีกูไป ทั้งผ้ายันต์ พระเครื่อง.หมาก พลู.คาถา..แล้ว.มึงจะขออะไรกู”..เตี่ยตอบ”แล้วแต่ท่านพ่ออุก “ หลวงปู่อุก จึงเขียนยันต์ลงกลางกระหม่อม แล้วบอกว่า..”ตั้งแต่นี้ไป..มึงจะไม่มีอาการเจ็บป่วยหนัก..ตลอดชีวิต..มึงจะเป็นแค่ไข้หวัดเล็กๆน้อย..ถ้ามึงป่วยหนัก มึงจะไม่ทรมาน มึงจะตายเลย..แต่มืข้อห้าม..มึงห้ามกินของในงานศพ..ถ้ามึงทำผิดพลาดไป ลืมกฎ..มึงจะปวดหัวแทบระเบิด แม้ถ้ากูตายไปแล้ว..ให้มึงจุดธูปกลางแจ้งขอขมาบอกกล่าวกู แล้วมึงจะหายปวดหัว”...
***...ข้าพเจ้าจึงไม่เคยเห็นเตี่ยกินของในงานศพใครเลย..และไม่เคยป่วยเข้าโรงพยาบาลเลย.จนถึงวาระสุดท้าย..เข้าโรงพยาบาลได้ 5 วัน ก็จากไปอย่างสงบ..ดังคำพูดหลวงปู่อุกทุกประการ
*-+*-+..ความเมตตาของหลวงปู่..ที่มีต่อเตี่ย..จนถึงวาระสุดท้าย..ข้าพเจ้าได้ให้เจ๊.ถ.พี่สาวทางธรรมข้าพเจ้า..ช่วย วิญญาณของเตี่ยตอนออกจากร่าง..เป็นอย่างไร?..ภาพที่เห็น..มีหลวงปู่อุกมายืนรับ..เหนือลำตัวของเตี่ย..ส่วนเตี่ยออกในชุดเสื้อผ้าสีขาว..แล้วอาจารย์และลูกศิษย์..ก็เหาะลอยขึ้นไปข้างบน. .และในที่ว่าง..มีหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง..นั่งรอรับวิญญาณเตี่ยอยู่...
+*+*.....และในปัจจุบัน..เตี่ยบวชพระแล้ว..บวชที่ข้างบน..และทุกวันนี้..เตี่ยอยู่และช่วยงานกับหลวงปู่อุก.อยู่ชั้นพรหม..แต่ทำกิจทางโลกและวิญญาณ.ดังนั้นข้าพเจ้าเวลาเห็นเตี่ย...ในปัจจุบัน...จึงเห็นเตี่ยในกายพระสงฆ์เสมอ....คลาสสิกมากๆ..กับความรักความผูกพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์..เอวัง.ปัจจโยโหตุ..
++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

ตระกูลเอราปถะ

ตระกูลเอราปถะ


😱 นี่คือ

ผู้ใดเเชร์บอกกล่าวผู้อื่น ขอให้ปู่อวยพร




 
  • ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง (เจ้าอุรคา)
  • ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว ( ภุชเคนทร์/เจ้าปู่ศรีสุทโธ)
  • ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง (เจ้าแม่นาคี)
  • ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ (วาดจันทร์)

พญานาคตระกูลสีทอง 
  • เป็นพญานาคในตระกูลสูงสุด เป็นชนชั้นปกครอง มีกำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที พญานาคในตระกูลนี้จะอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะค่ะ พญานาคในตระกูลนี้ เป็นเพียงตระกูลเดียวพญาครุฑไม่สามารถทำร้ายได้ รวมถึงมนตรา อาลัมพายน์ ก็ไม่ระคายเช่นกัน 

ตระกูลสีเขียว 
  • เป็นชนชั้นรองลงมา มีกำเนิดจากครรภ์ (ภุชเคนทร์/เจ้าปู่ศรีสุทโธ) เป็นพญานาคในชนชั้นปกครองในระดับรองลงมา 

ตระกูลสีรุ้ง 
  • เป็นวรรณะในระดับที่ 3 มีกำเนิดจากไข่ (เจ้าแม่นาคี)

ตระกูลสีดำ 
  • เป็นวรรณะในระดับล่างสุด (วัชระปราการ / วาดจันทร์ / พงษ์พญา)

=============

ส่วนการแบ่งชนิดนาค ตามพระพุทธศาสนา แบ่งนาคเป็น 1024 ชนิด ตามนี้ค่ะ
แบ่งตามตระกูลแบ่งได้ 4 คือ สีทอง สีเขียว สีรุ้ง สีดำ
แบ่งตามการกำเนิด ได้ 4 คือ 
  • 1.โอปปาติกะพญานาค เป็นนาคพวกกายทิพย์ผุดเกิดจากบุญบารมี
  • 2.ชลาพุชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดในครรภ์  
  • 3.อันฑชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดในไข่ 
  • 4.สังเสทชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดจากเหงื่อไคล 
แบ่งตามลักษณะพิษ ได้ 4 คือ 
  • 1.ปูติมุขะ (แผลเปื่อยเน่าถึงแก่ความตายในเวลารวดเร็ว) 
  • 2.กฎฐะมุขะ (แข็งทื่อไปทั้งตัว และจะปวดอย่างแสนสาหัส และตายอย่างรวดเร็ว) 
  • 3.อัคคิมุขะ (ร้อนไปทั้งตัวดุจไฟเผา แผลจะมีลักษณะคล้ายถูกไฟไหม้) 
  • 4.สัตถะมุขะ (ตายทันทีเหมือนถูกฟ้าผ่า) 
แบ่งตามลักษณะการทำอันตราย 4 คือ 
  • 1.ทัฏฐะวิสาพญานาค เมื่อขบกัดแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั่วร่างกาย 
  • 2.ทิฏฐะวิสะพญานาค ใช้วิธีมองแล้วพ่นพิษออกทางตา 
  • 3.ผุฏฐะวิสะพญานาค ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษแผ่ซ่าน 
  • 4.วาตาวิสะพญานาค มีพิษที่กาย จะแผ่พิษจากตัว 
แบ่งตามความรุนแรงของพิษ 4 คือ 
  • 1.อาตตะวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่รุนแรง 
  • 2.โฆระวิสนะอาคตะวิสะ มีพิษรุนแรงมาก แต่พิษนั้นแผ่ออกไปช้าๆ 
  • 3.อาคตวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก 
  • 4.นะอาควิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ช้าๆและไม่รุนแรง 

แบ่งตามสถานที่กำเนิด 2 ประเภท 
  • 1. ชลชะพญานาค (เกิดในน้ำ) 
  • 2. ถลชะพญานาค (เกิดบนบก)
⚠ การกดไลค์จะช่วยป้องกันผู้ไม่หวังดีสเเปมเฟส ด้วยความหวังดีจาก ZIGCER !