วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระประวัติพระวชิรมหาสัตว์บรมโพธิสัตว์

ในภาพอาจจะมี 1 คน

พระประวัติพระวชิรมหาสัตว์บรมโพธิสัตว์
  • นานมาแล้วในช่วงยุคต้นแห่งการถือกำเนิดดวงจิตทุกๆดวงในบรรพกาล ซึ่งเป็นยุคของมนุษย์ต้นกัลป์ มีมหาโพธิสัตว์ผู้หนึ่ง ซึ่งบำเพ็ญบารมีแบบลองผิดลองถูกเป็นร้อยอสงไขย เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ สร้างบารมีรวมกันกว่าร้อยอสงไขย จึงสำเร็จปฐมอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นปฐมสัพพัญญุตญาณ องค์ต้นธาตุต้นธรรมพระนามว่า “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นพุทธวงศ์ สิกขีทศพลญาณที่ ๑”
  • ทางทิเบตขนานพระนามว่า “พระอาทิกะพุทธเจ้า” แปลว่า ต้นแบบแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงประกาศพระศาสนายุกาล ๖o,ooo ปี ขณะนั้นก็มีมานพ ๓ คน ได้มีความศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ได้สร้างองค์พระพุทธปฏิมากรแทนพระพุทธเจ้า พร้อมธรรมานุธรรมะปฏิบัติได้หลอมจิตรวมใจพร้อมเพื่อนสหธรรมทั้งหลาย แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม
  • กลุ่มที่ ๑ มานพผู้นำกลุ่มมีกำลังใจสร้างพระพุทธปฏิมากรเล็กกว่าพระวรกายจริง (ในยุคนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมีพระวรกายสูง ๘o ศอก) จึงก่อให้เกิดหน่อโพธิญาณกลุ่มปัญญาธิกะพระพุทธเจ้าเป็นกลุ่มแรก
  • กลุ่มที่ ๒ มานพผู้นำกลุ่มมีศรัทธาสร้างพระพุทธปฏิมากรมีขนาดเท่าพระวรกายของพระพุทธเจ้าคือ ๘o ศอก ก่อให้เกิดเป็นหน่อพระโพธิญาณกลุ่มสัทธาธิกะพระพุทธเจ้า
  • และกลุ่มที่ ๓ กลุ่มสุดท้าย มานพผู้นำกลุ่มมีศรัทธาสูงสุดสร้างพระพุทธปฏิมากรมีขนาดใหญ่กว่าพระวรกายจริง สูงถึง ๑o๘ ศอก จึงเป็นกลุ่มวิริยะธิกะพระพุทธเจ้า 
  • มานพผู้หนึ่งในกลุ่มสุดท้ายนี้มีนามว่าพระวชิรสัตว์ ต่อมาท่านจึงบำเพ็ญบารมีจนเป็นพระบรมมหาโพธิสัตว์ เป็นอาจารย์ เป็นบรมครูแห่งพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์
  • สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก่อนพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มีอยู่ และมีคัมภีร์ปฐมมูลรับรองพระนาม คือ“พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า” 
  • หอสมุดแห่งชาติมีคัมภีร์เก่าๆมากมายที่ยังไม่ได้แปล และมีสุดยอดคัมภีร์อีกหลายๆคัมภีร์ที่คนไทยยังไม่รู้ และเป็นของเถรวาทแท้ๆด้วย
  • พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงตรัสแสดงแก่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ และพระปฐมสาวก(พระสาวกองค์แรก) ทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทูลถามพุทธประวัติของ “พระพุทธเจ้าองค์ปฐม” 
  • พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตทุกพระองค์ ก็จะทรงตรัสแสดงให้สาวกองค์แรกได้ฟัง แม้มาในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน 
  • คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่มาก ต้นฉบับเป็น “ภาษาล้านนา” คณาจารย์ของกรมศิลปากรได้แปลรวมไว้อยู่ในหนังสือเล่มใหญ่ชื่อ “โลกุปปัตติ อรุณวดีสูตร ปฐมมูล ปฐมกัป มูลตันไตรย”
  • สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมต้นพุทธวงศ์ อุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 
  • พระองค์จึงไม่มีแบบให้เรียนรู้ว่าต้องสร้างบารมีอย่างไร จึงทรงใช้เวลาในการสร้างสมบารมียาวนานที่สุด 
  • แม้แต่การประทับนั้งบนโพธิบัลลังก์ ก็ทรงใช้เวลายาวนาน ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง คือทรงใช้เวลาทั้งหมด ๕,ooo ปี ประทับอยู่ใต้ต้นไม้ ๒๕ ต้นๆละ ๒oo ปี
  • พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมูล ทรงมีพระชนมายุ ๑oo,ooo ปีแล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปภายหน้า ตระกูลของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะมาตรัสรู้ต่อจากพระองค์มี ๓ ตระกูลคือ
    • ๑.ปัญญาธิกะ
    • ๒.สัทธาธิกะ
    • ๓.วิริยาธิกะ
  • ซึ่งมีเหตุมาจากมานพ ๓ คนได้มีศรัทธาเลื่อมใสปั้นพระพุทธรูปเหมือน “พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า”
  • คนแรกมีวิริยะน้อย ต้องการจะปั้นให้เสร็จเร็วพระพุทธรูปที่ปั้นจึงมีขนาดเล็กที่สุด ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภท “ปัญญาธิกะ” คือใช้เวลาในการสร้างบารมีน้อยเพื่อที่จะตรัสรู้ได้เร็วที่สุด และมีพระวรกายเล็ก เหมือนกับพระรูปที่ปั้น
  • คนที่ ๒ มีศรัทธามากแต่มีวิริยะน้อย ปั้นเหมือนสมเด็จองค์ปฐมมากกว่าคนแรก พระพุทธรูปมีขนาดปานกลาง(เท่าสมเด็จองค์ปฐมพระองค์จริง) ด้วยผลกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ประเภท “สัทธาธิกะ” คือทรงใช้เวลาในการสร้างบารมีปานกลาง
  • คนที่ ๓ มีวิริยะแก่กล้ามากที่สุด และต้องการจะปั้นพระพุทธรูปให้เหมือนสมเด็จองค์ปฐมมากที่สุด จึงได้ใช้ระยะเวลาในการปั้นนานที่สุด และพระพุทธรูปที่ปั้นก็ขนาดใหญ่กว่าพระวรกายจริง ด้วยผลแห่งกรรมนี้ จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าช้าที่สุด แต่มีพระวรกายสูงใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการสร้างบารมีนานที่สุด
  • ในกลุ่มวิริยาธิกะนั้นเอง มีมานพหนุ่มคือพระวชิรมหาสัตว์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะเป็นมหาโพธิสัตว์ที่สำคัญพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล จะเป็นผู้รักษาพระสัทธรรมและสร้างหน่อพุทธางกูรเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาไปทั่วทุกโลกธาตุ 
  • ด้วยพระหทัยของพระวชิรมหาสัตว์ ทรงตั้งปณิธานว่า 
    • ตราบใดก็ตามที่ยังมีดวงจิตอยู่ในขุมนรกต่างๆ 
    • ตราบใดก็ตามที่ยังมีดวงจิตมัวเมาอยู่ในโลก สวรรค์ พรหม 
    • ตราบใดก็ตามที่ยังมีดวงจิตเวียนว่ายตายเกิดอยู่ทั่วโลกธาตุ 
    • ตราบใดที่สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ขึ้นสู่พระนิพพาน พระองค์ก็ยังไม่เข้าสู่แดนพระนิพพาน จนกว่าทุกดวงจิตจะขึ้นสู่พระนิพพานทั้งหมด
  • พระวชิรมหาสัตว์ทรงทำให้หน่อโพธิญาณ เกิดขึ้นแก่ดวงจิตผู้มีกำลังกล้า ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล 
  • เพื่อฉุดช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ขึ้นสู่อมตมหานฤพาน จึงถือได้ว่าพระองค์ท่านทรงเป็นครูของบรมโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ ทรงได้รับพระบารมีและหน้าที่จากองค์ต้นธาตุต้นธรรม หรือสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ให้ดำรงพระสัทธรรมบารมีสืบต่อพระศาสนา
  • ในสายวัชรญาณในประเทศทิเบต ถือว่าพระวชิรมหาสัตว์เป็นทุติยาจารย์ รองจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม พระวชิรมหาสัตว์นั้นพระหัตถ์ขวาถือปกรณ์วัชระ(วัชระแบบทิเบต) พระหัตถ์ซ้ายถือระฆังเงินยอดวชิระทองคำหงายขึ้น เป็นเครื่องบอกถึงพระกรุณาอันล้นพ้นหาประมาณมิได้ เสียงระฆังก็หมายถึงเสียงเตือนสรรพสัตว์ไม่ให้หลงในอวิชา และพระหัตถ์ขวาทรงวัชระอันหมายถึงปัญญา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายทรงระฆังอันหมายถึงความเมตตากรุณา
  • พระศากยมุนีตถาคต หรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงแสดงไว้ว่า พระวชิรมหาสัตว์ ทรงเป็นอธิบดีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ลักษณะแห่งองค์พระวชิรมหาสัตว์นั้น ทรงมีลักษณะดุจมหาบุรุษ พระเศียรทรงไว้ซึ่งปัญจตถาคตมหามาลา ประทับบนเศวตปัทมอาสน์ เบื้องหลังของพระองค์คือรัศมีจันทรจักร พระหัตถ์ขวาทรงไว้ซึ่งมหาวัชระ พระหัตถ์ซ้ายทรงไว้ซึ่งระฆัง
  • ประวัติของวชิราวุธ (วัชระอาวุธของพระวชิรมหาสัตว์) เกิดจากฤาษีองค์หนึ่งชื่อว่ามหาฤาษีพลาสูร ได้บำเพ็ญบารมีตบะอันยิ่งยวด เป็นพระบรมโพธิสัตว์แต่มิได้กำหนดไว้ เพื่อเป็นพระพุทธ เจ้า ในอนาคตกาล เมื่อมีจิตเข้าสู่อำนาจวิปัสนาญาณ เกิดนิพพิทาญาณเบื่อหน่ายในการเกิด ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ทำให้เบื่อหน่ายในสังขาร สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทิ้งไว้ซึ่งมหาบารมีอันยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับวิริยาธิกะพระพุทธเจ้า
  • ก่อนขึ้นสู่อมตมหานฤพาน เทพยดาได้ขอสิ่งอันเป็นมงคลประเสริฐไว้เพื่อสักการะบูชาเป็นสิริมงคล ท่านจึงได้อธิษฐานขันธ์ธาตุให้มีประโยชน์แด่มนุษยเทพยดาทั้งหลาย ร่างของฤาษีมหาพลาสูร แปรสภาพเป็นแก้ว ๙ ชนิด หัวใจกลายเป็นเพชร พร้อมทั้งกระดูก นัยน์ตาขวาเป็นแก้วไพฑูรย์ นัยน์ตาซ้ายเป็นแก้วโกเมน ฟันเป็นมุกดา เนื้อกลายเป็นบุษราคัม เป็นต้น
  • และท่านได้อธิษฐานมอบกระดูกไขสันหลัง ๒ ข้อซึ่งกลายเป็นมหาวัชระ ให้แก่พระวชิรมหาสัตว์บรมโพธิสัตว์ เพื่อให้กำราบหมู่มาร และอภิบาลซึ่งพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดำรงโพธิจิตและให้คำแนะนำแก่มหาสัตว์ทุกๆ พระองค์ไปตลอดจนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระองค์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น