"...พระพุทธเจ้าในอนาคตกับเส้นทางการสร้างบารมี การได้ประกาศนามหรือเอ่ยถึงพระพุทธเจ้าข้าพเจ้ามีความสุขทุกครั้ง..."
...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แก่พระสารีบุตรถึงการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในอนาคตไว้ ๑๐ พระองค์ ต่อจากพระองค์ไปโดยลำดับกัปนับแต่ภัทรกัปนี้เป็นต้นไป
ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ พระองค์นี้ เมื่อทรงสร้างบารมี ๓๐ ทัศครบบริบูรณ์แล้ว จะทรงมีพุทธานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พระอนาคตวงศ์ ๑๐ พระองค์ มีประวัติโดยย่อดังนี้
...........................................................................................
๑.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น ๓ หลังๆละ ๗ ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ ๗ ประการ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๘ ศอก (๔๔ เมตร) และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน ๗ วัน
พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม
.............................................................................................
๒.)พระรามพุทธเจ้า
คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
...........................................................................................
๓.)พระธรรมราชาพุทธเจ้า
คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ ๒ ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕๐,๐๐๐ ปี จะมีพระสรีรกายสูง ๑๖ ศอก(๘เมตร) ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
................................................................................................
๔.)พระธรรมสามีพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร)
ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี)
พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์
.................................................................................................
๕.)พระนารทพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร
ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต
ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง ๑๒๐ ศอก (๖๐เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน
.............................................................................................
๖.)พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง ๓ ครั้ง ๓ คราว
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง
.............................................................................................
๗.)พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตสุภพราหมณ์
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก
..............................................................................................
๘.)พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตนันทมาณพ
ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล ๑ ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง
เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ
.................................................................................................
๙.)พระติสสสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี)
ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน
ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า
และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก (๔๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน
................................................................................................
๑๐.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ
ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ
ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน...
...........................................................................................
๑.) พระศรีอาริยเมตไตรย
ในอดีตพระองค์ คือพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช แห่งอินทปัตนครในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระองค์ได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า ทรงเกิดความเลื่อมใสในสามเณรนั้น
พระองค์จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม หลังจากที่พระองค์ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าสิริมิตรแล้ว พระองค์จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์เองแด่พระพุทธเจ้าเพื่อบูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ แล้วทรงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต และด้วยอานิสงค์แห่งบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
ขณะนี้พระองค์ทรงเสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระโพธิสัตว์เจ้าจะได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ในวรรณะพราหมณ์
เกิดในครรภ์ของนางพรหมวดีซึ่งเป็นภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราชแห่งเกตุมดีนคร
เมื่อทรงประสูติจะมีนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น
และมีมหาปราสาทสำหรับเป็นที่ประทับ ปรากฏขึ้น ๓ หลังๆละ ๗ ชั้น ประดับประดาด้วยรัตนะ ๗ ประการ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๘ ศอก (๔๔ เมตร) และทรงกระทำความเพียรเพื่อตรัสรู้นาน ๗ วัน
พระฉัพพรรณรังสีของพระองค์จะแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ส่องสว่างตั้งแต่อเวจีมหานรกถึงภวัคคพรหม
.............................................................................................
๒.)พระรามพุทธเจ้า
คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว)
นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาแด่พระพุทธเจ้า
หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย
ก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก่อนจะมาจุติเป็นพระรามพุทธเจ้า และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
มีพระฉัพพรรณรังสีส่องสว่างตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
...........................................................................................
๓.)พระธรรมราชาพุทธเจ้า
คือ อดีตพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่จะมาบังเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ สุทธมาณพ หาเลี้ยงชีพโดยเก็บดอกบัววันละ ๒ ดอกไปขาย ทรงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เมื่อได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้วจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าพระธรรมราชา และต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕๐,๐๐๐ ปี จะมีพระสรีรกายสูง ๑๖ ศอก(๘เมตร) ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้นเป็นนิจ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
................................................................................................
๔.)พระธรรมสามีพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยามาราธิราช (พญาวสวัตดีมาร)
ผู้เป็นจอมเทวดาฝ่ายมารบนสวรรค์ชั้นสูงสุด(ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี)
พระองค์จะได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีนามว่าโพธิ
และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ากัสสปะว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
และเมื่อไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็จะจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทรงมีพระนามว่าพระธรรมสามี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีจะสว่างดังแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์
.................................................................................................
๕.)พระนารทพุทธเจ้า
คือ อดีตพระยาอสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูร
ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นกษัตริย์มีพระนามว่าสิริคุต
ครองนิรมลนครในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่านารทะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี ทรงมีพระสรีรกายสูง ๑๒๐ ศอก (๖๐เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีบังเกิดขึ้นทั้งกลางคืนและกลางวัน
.............................................................................................
๖.)พระรังสีมุนีพุทธเจ้า
คือ อดีตโสณพราหมณ์
ที่จะมาบังเกิดเป็นพ่อค้ามีนามว่า มาฆมาณพในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
มาฆมาณพเป็นพ่อค้าที่ฉลาด แต่ประสบทุกข์
สูญสิ้นทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้จำนวนมากถึง ๓ ครั้ง ๓ คราว
จึงเดินทางไปเมืองโกสัมพี เพื่อรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ
พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า มาฆมาณพจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ทรงพระนามว่าพระรังสีมุนี
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๕,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมีสว่างไสวในเวลากลางวันเหมือนดังแสงทอง และสว่างไสวในเวลากลางคืนดังแสงสีเหลือง
.............................................................................................
๗.)พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตสุภพราหมณ์
บรมโพธิสัตว์ที่มาบังเกิดเป็นพระยาช้างฉัททันต์ ริมฝั่งสระฉัททันต์ในสมัยพระโกนาคมนพุทธเจ้า
พระยาช้างฉัททันต์ได้เห็นสรีระของพระสาวกอันมีพระนามว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ
ซึ่งดับขันธปรินิพพานที่ริมสระฉัททันต์นั้น จึงได้อธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมา ทำให้เกิดเลื่อยมาเลื่อยเอางาทั้งสองของตน โดยเอางาช้างหนึ่งมาทำเป็นราง อีกข้างหนึ่งทำเป็นรูปนกยูง เพื่อประดิษฐานสรีระของพระเถระไว้กับราง แล้วรวบขนบนศีรษะของตนจุดไฟบูชาสรีระของพระเถระ และตั้งความปรารถนา
ขอให้การถวายงาจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
สุภพราหมณ์ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ทรงมีพระนามว่า พระเทวเทพ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๘๐ ศอก(๔๐ เมตร)
มีฉัพพรรณรังสีประดุจดังช่อดอกไม้ ไม่มีความหนาวร้อน ส่องสว่างไปทั่วสากลโลก
..............................................................................................
๘.)พระนรสีหสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตนันทมาณพ
ซึ่งเคยถวายผ้ากำพล ๑ ผืนและทองแสนตำลึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยหนึ่ง ได้ตั้งความปรารถนาในคราวนั้นว่าขอให้ตนได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
มีอำนาจแผ่ไปตลอดหนึ่งโยชน์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ต่อมาเมื่อนันทมาณพตายไปแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงจุติลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ เสวยสัมบัติในเมืองมนุษย์ก่อนจะมาเกิดเป็นโตเทยยพพราหมณ์ ในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธองค์ได้พยากรณ์โตเทยยพพราหมณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต มีพระนามว่าพระนรสีหะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
แสงสว่างแห่งพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งแก้วมณี กลางคืนมีสีประหนึ่งสีทอง
เบื้องบนพระเศียร จะมีเศวตฉัตรอันประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ ลอยอยู่เป็นนิจ
.................................................................................................
๙.)พระติสสสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างธนบาลบรมโพธิสัตว์(ช้างนาฬาคีรี)
ที่เคยเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของพระธรรมราชาแห่งแคว้นจำปานคร ทรงมีพระนามว่าธรรมเสน
ต่อมา พระองค์ได้เสด็จออกผนวชอยู่ในสำนักพระฤาษีธรรมเสนได้ฟังธรรมของพระโกนาคมนพุทธเจ้า
จนเกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายศีรษะของพระองค์บูชาพระโกนาคมนพุทธเจ้า
และตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตมีพระนามว่าพระติสสะ
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๘๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก (๔๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีประดุจเปลวเพลิง สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
แสงสว่างจากพระอุณาโลมเป็นประหนึ่งแวดล้อมด้วยเศวตฉัตรนับพัน
................................................................................................
๑๐.)พระสุมลสัมพุทธเจ้า
คือ อดีตช้างปาลิไลยกะ
ซึ่งได้เคยบังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอดีตชาติ ทรงพระนามว่ามหาปนาทะ
ทรงผนวชในสำนักพระกกุสันธพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า
จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต มีพระนามว่าพระสุมงคล
พระองค์จะทรงมีพระชนม์มายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี มีพระสรีรกายสูง ๖๐ ศอก(๓๐ เมตร)
พระฉัพพรรณรังสีในเวลากลางวันเป็นเช่นเดียวกับแสงสีทอง และในเวลากลางคืนเป็นเช่นเดียวกับแสงสีเงิน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น